เล่ม 1 ตอนที่ 59 จะรวมพลังกันอย่างนั้นหรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

ในป่า มีคนสิบกว่าคนเดินออกมาจากทุกทิศทุกทาง รอบๆ ตัวเจียงหลีถูกล้อมไว้หมด

 

 

เดิมนางคิดว่าคนเหล่านี้จะเหมือนกลุ่มคนก่อนหน้าที่เห็นนางไม่มีพิษภัยอะไรแล้วก็ปล่อยนางไป คนเหล่านี้ไม่ได้เดินจากไปอย่างที่นางคิด แต่กลับค่อยๆ ใกล้เข้ามา

 

 

น่าแปลก เจียงหลีกลอกตาไปมาและระวังตัวขึ้น

 

 

นางนับคร่าวๆ คนที่ล้อมนางอยู่มีทั้งหมดสิบห้าคน แต่นางมีกระสุนที่ใช้ได้แค่สิบนัด

 

 

“คนเหล่านี้ไม่ใช่คนเมืองไป๋ลู่หรือ”

 

 

“รีบไป อย่าหาเรื่องใส่ตัว”

 

 

สองคนที่อยู่นอกวงล้อมเดินผ่านมา พูดคุยกันด้วยความประหลาดใจ เจียงหลีได้ยิน

 

 

คนเมืองไป๋ลู่ เจียงหลีตกใจ นางไม่รู้จักคนเมืองไป๋ลู่ แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงล้อมนางไว้ล่ะ

 

 

หรือว่า…… เพื่อกระสุนของนาง

 

 

เจียงหลีคิดถึงความเป็นได้ อ้อ น่าจะเป็นเช่นนี้ จำนวนกระสุนของพวกเขาไม่พอ ก็เลยจะมาแย่งเอาของนางไปเมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงหลีกะพริบตาแล้วยิ้ม ท่าทางนางในตอนนั้นเดิมก็งดงามอยู่แล้ว หลังจากยิ้ม ตาคู่นั้นราวกับพระจันทร์เสี้ยว ทำให้คนเอ็นดูเป็นอย่างมาก “พี่ชายทุกท่าน พวกเจ้าอยากได้กระสุนของข้าใช่ไหม”

 

 

“กระสุนก็เอา คนก็เอา” หลังจากที่นางพูดจบ ก็มีเสียงคนพูดตอบอย่างถือดีมาจากด้านหน้า

 

 

เจียงหลีแววตาเยือกเย็น มองไปด้านหน้า เห็นแค่คนคนหนึ่งเดินออกมาจากในป่า ท่าทางเก่งกาจ ไม่ธรรมดา

 

 

ช่างดูคุ้นตา เจียงหลีหรี่ตามอง

 

 

ทันใดนั้น นางนึกออกแล้วว่าเคยเห็นคนคนนี้ที่ไหน เขาก็คือคนรักใหม่ของเจียงอวี๋นี่

 

 

เจียงหลียิ้ม ไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่แสร้งไร้เดียงสาในตอนแรก ในรอยยิ้มครั้งนี้มีความเยือกเย็น “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คือหนึ่งในคนที่หลบอยู่ใต้กระโปรงของเจียงอวี๋ เจ้าอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ล่ะ”

 

 

ลั่วเทียนเจียวใบหน้านิ่ง แววตาเย็นชา ตอบกลับด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าอย่าพูดมั่วๆ คนที่เท่าไหร่อะไรกัน”

 

 

“ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่รู้เรื่องสินะ เจียงอวี๋งดงามขนาดนั้น ผู้ชายที่นางเก็บไว้มีมาก ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เย่ว์หนานซีเทียนเจียวของตระกูลเย่ว์แห่งเมืองซูหนานก็รักกันอยู่กับนาง”

 

 

“หุบปาก อย่ามาพูดมั่วๆ” ลั่วเทียนเจียวพูดด้วยความโมโห

 

 

เหมือนเขารับรู้ได้ว่าคนที่อยู่รอบๆ มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะคำพูดของเจียงหลี ราวกับว่าเขาคือคนโง่ แต่เดิมเขาคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้หญิงสำส่อน

 

 

ความรู้สึกอับอายนั้น ทำให้เขาโกรธจนหน้าแดง เจียงหลีที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งมองยิ่งไม่เข้าตา

 

 

“หึ ตอนแรกข้าแค่อยากจะสั่งสอนเจ้าสักหน่อย แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจกับคำพูดเมื่อกี้นี้ของเจ้า” ลั่วเทียนเจียวกัดฟันพูด

 

 

คำพูดของเจียงหลีทำให้เขาโกรธมาก แค่เสียงก็รับรู้ได้ถึงความดุดัน

 

 

“อย่างเจ้าน่ะหรือ” เจียงหลีเลิกคิ้วด้วยความเหยียดหยาม ชี้ไปที่พวกของลั่วเทียนเจียวแล้วพูดว่า “แล้วก็พวกเจ้าด้วย โถ่ ไอ้พวกสวะ”

 

 

“ปากคอเราะร้ายนัก”

 

 

“ฮึ อายุแค่นี้ แต่กลับอวดดีไร้มารยาทเช่นนี้”

 

 

“ดูท่าแล้วนายน้อยลั่วพูดถูก เป็นไปตามที่พูดเลยว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่หยิ่งผยอง”

 

 

“ตัวเองยังเด็กอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกพวกข้าว่าสวะ นายน้อยลั่ว พวกเราลงมือเถอะ ช่วยท่านสั่งสอนเด็กคนนี้เสร็จ พวกเรายังต้องแข่งขันกันต่อ”

 

 

ผู้เข้าประลองเมืองไป๋ลู่รอบๆ ถูกท่าทางของเจียงหลียั่วโมโห ต่างพากันพูดจาเยาะเย้ย

 

 

พวกเขามองสายตาของเจียงหลี เหมือนกับมองหมาแมวข้างถนนอย่างไรอย่างนั้น ดูถูกเหยียดหยาม อยู่เหนือคนอื่น

 

 

แววตาเป็นประกายของเจียงหลี มองไปที่หน้าของคนพวกนั้น หัวเราะในใจไม่หยุด “เมืองไป๋ลู่ คนไป๋ลู่แล้วอย่างไร โอ้อวดตนว่าเก่งกาจ เทียบกับนักเลงกระจอกๆ ก็ยังไม่ได้”

 

 

“พวกเจ้าจะหมาหมู่หรือจะเข้ามาทีละคน” เจียงหลียิ้มอย่างเยือกเย็น

 

 

ผู้ตรวจตราที่ซ่อนอยู่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตามกฎของการประลองชิงเจียว ขอเพียงแค่ไม่ทำผิดกฎ เขาก็ปรากฏตัวไม่ได้

 

 

ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่า ผู้มีความสามารถสิบกว่าคน รุมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวมันน่าอายไปหน่อย แล้วจะทำอะไรได้ เขามีหน้าที่ทำในส่วนของเขา

 

 

เขาแปลกใจ เจียงหลีอายุแค่นี้ เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ลุกลี้ลุกลนแต่กลับสุขุม ไม่เผยให้เห็นถึงความกลัวใดๆ เลย

 

 

หรือว่าคนตระกูลลู่ ล้วนแต่ทะนงองอาจเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะคาดเดาอยู่ในใจ

 

 

“รับมือกับเจ้า เช่นนั้นต้องให้คนอื่นลงมือ ข้าใช้แค่มือเดียวก็พอแล้ว” ผู้ติดตามลั่วเทียนเจียวที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืน เหมือนอยากจะทำดีเอาหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าลั่วเทียนเจียว

 

 

ใครจะรู้ เจียงหลีมองเขา หัวเราะอย่างดูถูก “เจ้าน่ะหรือ ไม่ไหวหรอก แต่ไม่เป็นไร พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”

 

 

ช่างอวดดีอะไรเช่นนี้

 

 

คนคนนั้นถึงกับหน้าชา ความรู้สึกที่ถูกเด็กเหยียดหยาม ทำให้เขาโกรธมาก ปลดปล่อยพลังขั้นหนึ่งของตัวเอง

 

 

คนอื่นๆ ก็ถูกท่าทางที่อวดดีของเจียงหลียั่วโมโห ต่างพากันปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตัวเอง

 

 

ทันใดนั้น ในป่าลมพัดแรงมากและเต็มไปด้วยพลัง

 

 

ที่ใดที่หนึ่งในเทือกเขาปู้กุย ฝูงนกแตกตื่นบินว่อน พลังที่หลั่งไหลออกมา ก็ทำให้ผู้เข้าร่วมการประลองที่อยู่ไกลๆ ตกใจ พวกเขามองไปตรงที่นกบินว่อนด้วยความแปลกใจ คาดเดาในใจ แท้จริงแล้วเจอกับใครกัน ถึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้

 

 

“คงไม่มีใครซวยเจอกับไป๋หลี่เฟิ่งหรอกนะ” มีคนพูดขึ้น

 

 

การคาดเดาของเขาได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมาก

 

 

“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน ไม่ต้องเข้าไปใกล้ แค่มองเห็นก็พอ” มีคนพูดขึ้น

 

 

มีแต่คนบอกว่าไป๋หลี่เฟิ่งเก่งกาจนัก ก็เคยแต่ได้ยิน วันนี้จะได้เห็นกับตา จะพลาดโอกาสได้อย่างไร

 

 

เจียงหลีไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวของทางนี้ดึงดูดคนทั่วทุกสารทิศมา นางยิ้มมุมปาก ยิ้มด้วยความเยือกเย็น แววตาเจ้าเล่ห์ ด้านหลังของนาง แสงสีทองเจิดจ้า ภาพมายาเลี่ยเทียนซื่อปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง

 

 

“นี่ นี่มันพลังอะไรกัน”

 

 

พลังวิญญาณยุทธ์ของสิบกว่าคน ถูกพลังเลี่ยเทียนซื่อข่มจนเสื่อมถอยลง

 

 

พวกเขามองเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าด้วยความตกตะลึง ใครก็นึกไม่ถึงว่านางจะมีพลังขั้นสูงเช่นนี้

 

 

“หลิงซื่อระดับห้า” ลั่วเทียนเจียวตกตะลึงจนตาโต

 

 

มีใครบอกเขาได้บ้าง บ่าวรับใช้ตระกูลลู่จะมีหลิงซื่อระดับห้าได้อย่างไร พลังมากกว่าพวกเขาที่อยู่ตรงนั้นครึ่งหนึ่ง แล้วยังมีวิญญาณยุทธ์ที่แม้แต่เขาก็ต้องอิจฉา

 

 

บริเวณรอบๆ ตกอยู่ในความเงียบอย่างประหลาด พลังฉีกเวหาไม่ใช่ใครก็สามารถแบกรับไว้ได้ ถึงเจียงหลีจะแค่ปลดปล่อยพลังและวิญญาณยุทธ์ ยังไม่ได้ลงมือ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกได้ว่าวิญญาณยุทธ์ของคนอื่นๆ นั้นหยุดชะงักภายใต้พลังของเลี่ยเทียนซื่อ

 

 

พูด “ทำไม จะรวมพลังต่อสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

เจียงหลีก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพลังเลี่ยเทียนซื่อยิ่งมากขึ้น นางยิ้มมุมปาก แววตาเป็นประกาย ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตา

 

 

—–