บทที่ 16.4 การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ (4)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างระมัดระวังและส่ายหัวโดยไม่ลังเล “ไม่ ข้าไม่ต้องการ”

เซียวเซ่อขมวดคิ้วของเธอแล้วพูดว่า “เจ้ากลัวรึ?”

โจวเหว่ยชิงถามเธอกลับแทน “ทำไมข้าต้องแข่งขันกับท่าน? แข่งไปข้าจะได้อะไร?”

เซียวเซ่อกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะยกตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยให้แก่เจ้าเป็นอย่างไร?”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงกรอกไปมา จากนั้นเขาก็พูดว่า “แล้วถ้าข้าแพ้ล่ะ?”

เซียวเซ่อกล่าวอย่างเจ็บแสบ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หายไปจากค่ายทหารของเราซะ หรืออย่างน้อยก็ออกไปจากกองพันที่ 3 ของเรา!” เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถเอาชนะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้หากวัดจากความแข็งแกร่งเฉพาะตัว นั่นเป็นเพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แต่เธอเชื่อว่าเธอแข็งแกร่งกว่าทหารทุกคนในกองร้อยของเธอมาก อย่างไรก็ตาม อ้วนน้อยโจวดันปรากฏตัวขึ้นและขัดขวางแผนการของเธอในการทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องเสียหน้า นั่นก็หมายความว่า แผนการจะคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของเธอก็ยากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือการพิสูจน์ว่าเธอเก่งกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“ ไม่ล่ะ เป็นผู้บัญชาการกองร้อยแล้วดียังไง? เทียบกับการได้ติดตามข้างกายผู้บัญชาการกองพันผู้งดงามได้  หรือ?” โจวเหว่ยชิงส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก สีหน้าของเขาปรากฏร่อยรอยความจริงจัง แน่นอนว่าในใจของเขากำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ เด็กหนุ่มคิดกับตัวเอง เซียวเซ่อ เซียวหรูเซ่อ หึๆๆๆๆๆ

“เจ้าอายุเท่าไหร่? ในหัวคิดได้แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือ? ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องการอะไรล่ะ?” ความโกรธพุ่งวาบเข้ามาในดวงตาของเซียวเซ่อ

โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ หากข้าแพ้อย่างที่ท่านว่า ข้าจะละทิ้งผู้บัญชาการกองพัน และออกไปจากกองพันที่ 3 ของเรา อย่างไรก็ตาม หากท่านแพ้ ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งจากข้า แต่ว่าข้ายังไม่คิดว่าเงื่อนไขนี้จะเป็นเช่นไร”

คิ้วของเซียวเซ่อขมวดขึ้นขณะที่เธอมองโจวเหว่ยชิง แต่เจ้าอ้วนน้อยโจวนี้มีหน้าตาที่บริสุทธิ์ และใสซื่อเกินไป ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์เช่นนี้ การตัดสินเขาจากการมองภายนอกนั่นยากเกินไปจริงๆ

“นั่นต้องเป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ และไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของข้า หรือทำอะไรที่ขัดกับสำนึกผิดชอบชั่วดีของข้า” หลังจากกรุ่นคิดสักพัก เซียวเซ่อก็กล่าวตกลงเสียงแข็ง เธอต้องการกันอ้วนน้อยโจวออกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ มิเช่นนั้นหากทหารที่มีศักยภาพสูงเช่นนี้ติดตามกองทัพของเธอ เธอจะชนะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างไร? นอกจากนี้เธอยังได้ฝึกฝนการยิงธนูอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าอ้วนน้อยโจวจะแสดงฝีมือการยิงธนูที่น่าประทับใจมาก่อนหน้านี้  แต่เธอก็ยังมั่นใจที่จะสู้กับเขา

“ตกลง” โจวเหว่ยชิงผงกหัวรับอย่างมีความสุข

“มากับข้า” เซียวเซ่อหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังเขตป่าดาราใกล้ๆ เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์

โจวเหว่ยชิงหันกลับไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วและพบว่าเธอกำลังชมการแข่งขันที่เหลืออยู่ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจเขาเลย เด็กหนุ่มจึงรีบหลบออกไปอย่างเงียบๆ

เซียวเซ่อเดินไปใกล้เขตป่าดาราก่อนหยุดรอโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงมาถึงด้านข้างของเธอ และถามว่า “ ท่านต้องการแข่งอย่างไร?”

เซียวเซ่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ 1 ต่อ 1 เจ้าและข้า ป่าที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถแสดงความแข็งแกร่งของนักธนูได้ดีที่สุด เราจะเข้าป่าในเวลาเดียวกัน เมื่อมีระยะห่าง 300 หลาระหว่างเราแล้ว หากข้าบอกว่าเริ่ม เราทั้งสองจะเริ่มโจมตีซึ่งกันและกัน ใครก็ตามที่ยิงโดนศัตรูก่อนจะเป็นผู้ชนะ นั่นเป็นอย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างระมัดระวัง “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านไม่ได้พยายามจะยิงข้าด้วยลูกธนูจริงใช่มั้ย?”

เซียวเซ่อกล่าวด้วยความโกรธ “เหลวไหล! เจ้าเป็นทหารของอาณาจักรของเรา ทำไมข้าจะต้องฆ่าเจ้า? แม้ว่า…บิดามันเถอะ!…ข้าจะไม่ชอบเจ้า แต่เจ้าไม่คุ้มค่าจะให้มือข้าเปื้อนเลือดหรอก! พวกเราจะใช้ลูกธนูที่ใช้สำหรับฝึก” ขณะที่เธอพูด เธอก็ถอดแล่งธนูออกแล้วโยนมันไปที่โจวเหว่ยชิง จากนั้นหยิบแล่งธนูของเธอออกมาอีกอันหนึ่ง เบ็ดเสร็จแล้วทั้งสองคนจึงครอบครองลูกธนูคนละ 50 ลูก

โจวเหว่ยชิงเหยียดแข้งเหยียดขาและพูดว่า “ท่านไปก่อนเลย ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว”

เซียวเซ่อให้ส่งเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นก็เข้าสู่ป่าดาราอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงมองเห็นธนูอุษาม่วงบนหลังของเธออย่างชัดเจน ด้วยอิทธิพลของตระกูลของเธอในเมืองเกาทัณฑ์สวรรค์ นี่จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เธอจะหาธนูอุษาม่วงมาได้อีกแทนคันที่เขาเผลอหักทิ้งไป

เมื่อเห็นเซียวเซ่อเข้าไปในป่าดาราแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ขยับตามเข้าไป เขารำพึงในใจว่า พี่หรูเซ่อ ให้ข้าดูหน่อยสิว่าความสามารถของท่านหลังจาก 7 ปีที่เราไม่ได้เจอกันจะเป็นยังไงบ้าง?

ไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในป่าลึก ผ่านไปสักครู่เสียงของเซียวเซ่อก็ดังขึ้นมาจากระยะไกลๆ “อ้วนน้อยโจว พร้อมหรือยัง?”

“พร้อมแล้ว มาเริ่มกันเถอะ” โจวเหว่ยชิงตะโกนตอบตกลงกลับมา หลังจากเขาพูดจบ เด็กหนุ่มก็ขยับตัวเพื่อกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วจากตำแหน่งก่อนหน้าขึ้นไปบนต้นไม้

“เริ่มได้!” เซียวเซ่อตะโกนออกไปอย่างเย็นชา

ขณะที่พวกเขาเริ่มการต่อสู้ในป่าดารา อีกด้านหนึ่งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค้นพบว่าโจวเหว่ยชิงหายตัวไปแล้ว

“อ้วนน้อยโจวอยู่ที่ไหน?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปรอบๆ เพื่อตามหาโจวเหว่ยชิงอย่างเคร่งเครียด

หนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าเห็นเขาและผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเดินออกไปด้วยกันเมื่อกี้นี้ พวกเขาทั้งคู่มาจากกองพันของท่าน ฉะนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ใช่หรือไม่?”

สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง เธอพูดอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลไป นี่เป็นการดีที่จะสอนบทเรียนให้เขา”

ผู้บัญชาการกองร้อยคนนั้นยิ้ม และไม่พูดอะไรอีก อนิจจา ชายหนุ่มกลับไม่รู้เลยว่า “เขา” ที่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวถึงไม่ใช่โจวเหว่ยชิง แต่เป็นเซียวเซ่อ!

ในป่าดารา โจวเหว่ยชิงกำลังเฝ้ารออย่างเงียบๆ บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกิ่งก้านและใบไม้ มือของเด็กหนุ่มกำธนูอุษาม่วงแน่น ตัวเขาตอนนี้เปรียบได้กับเสือดาวที่กำลังนอนรอเหยื่อ พลังปราณสวรรค์เริ่มไหลเวียนอย่างเงียบๆ จากนั้นมณีสวรรค์ปรากฏขึ้นลอยวนรอบข้อมือ วงล้อสีทั้ง 6 นั้นปรากฏอยู่ในสายตาของโจวเหว่ยชิงและประสาทสัมผัสของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทุกเสียงและการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ รอบๆ ตัวย่อมถูกเด็กหนุ่มจับได้ทั้งหมด

“อ้วนน้อยโจว เจ้ากลัวข้า?” ในเวลานี้เสียงของเซียวเซ่อก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเธอเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิมมาก ทว่าเสียงของเธอค่ก็อนข้างกระท่อนกระแท่น นั่นหมายความว่าเธอกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงก็ไม่โง่พอที่จะส่งเสียงตอบรับขณะที่เขากำลังซุ่มโจมตีอยู่บนต้นไม้ วงล้อทักษะธาตุในดวงตาของเขาหมุนไปที่บริเวณส่วนสีดำซึ่งเป็นตัวแทนของทักษะธาตุมืด และทันทีที่รัศมีความมืดแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา เงาดำทั้ง 12 สายก็เคลื่อนตัวออกจากร่างของเด็กหนุ่มเงียบๆ กระจายตัวออกไปจากต้นไม้แล้วเลื้อยออกไปรอบๆ ก่อนจะหายเข้าไปในเงามืด หากใครสักคนสังเกตอย่างถี่ถ้วน เขาก็จะค้นพบว่าเงาดำเหล่านั้นดูเหมือนเถาวัลย์ที่มีรูปร่างคล้ายแขนมนุษย์มาก ขาดก็แต่พวกมันไม่มีกายเนื้อจริงๆ เถาวัลย์พวกนั้นเลื้อยผ่านไปอย่างเงียงเชียบไร้เสียงรบกวนใดๆ

นี่เป็นทักษะธาตุแรกของโจวเหว่ยชิงที่เก็บไว้ในไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขา และเขาก็ได้มันมาจากสัตว์อสูรสวรรค์ระดับเทวะ ทักษะนี้เรียกว่า ‘สัมผัสมืด’

ณ สำนักกักเก็บทักษะ ความพยายามในการกักเก็บทักษะของโจวเหว่ยชิงประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกับการหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ที่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจของตัวเขาเอง เมื่อโจวเหว่ยชิงเข้าไปในสำนักกักเก็บทักษะ และได้เห็นอสูรสวรรค์ที่ถูกผนึกไว้ เขาก็อดจะหวาดกลัวไม่ได้ อสูรสวรรค์ระดับเทวะส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่มากและทุกตัวก็เปล่งรัศมีที่น่ากลัวออกมาอีกด้วย

ทว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงพยายามจะกักเก็บทักษะของอสูรสวรรค์ระดับเทวะก็พลันเกิดปรากฏการณ์ที่แตกต่างกันขึ้น เหตุผลที่ว่าทำไมการกักเก็บทักษะธาตุมณีนั้นมักจะล้มเหลวได้ง่ายๆ ก็เป็นเพราะอสูรสวรรค์นั้นกำลังอยู่ในสถานะอ่อนแอที่สุด อีกทั้งพวกนั้นยังถูกผนึกไว้ ดังนั้นจิตใต้สำนึกของพวกมันจึงต่อต้านเหล่าจ้าวมณีด้วยกำลังที่มีทั้งหมดอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อจ้าวมณีหรือจ้าวมณีสวรรค์ที่พยายามซึมซับทักษะของพวกมันเข้าไปยังมณีของตนเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อโจวเหว่ยชิงดำเนินการกักเก็บทักษะกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ ตามวิธีการปกติแล้ว แรงต้านจากพลังปราณภายในของอสูรสวรรค์ระดับเทวะจะสามารถผลักเขากระเด็นออกไปได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าอสูรสวรรค์ที่ถูกผนึกไว้ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านใดๆ เลย อีกทั้งพวกมันยังร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดีเพื่อให้เด็กหนุ่มสามารถกักเก็บทักษะจากพวกมันได้ ในขณะที่ทำเช่นนั้นกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะไปต่อเรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงยังรู้สึกได้อีกว่าอสูรสวรรค์เหล่านั้นดูเหมือนจะตัวสั่นระริกเสมอ และหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก

………………………………………………………….