บทที่ 52

ถังหยิน อู่เหมย และชิวเจิ้นพร้อมด้วยคนอื่น ๆ ต่างก็พากันไปที่บ้านตระกูลอู่เพื่อตามหาอู่หยูและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง หลังจากได้ยินคำอธิบาย อู่หยูก็ได้แต่ตกตะลึง ไม่ใช่ในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะทักษะของถังหยินต่างหาก

ชายผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ไม่งั้นแล้วก็คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับการที่เขาจะจับตัวองค์ชายสามมาได้ แถมยังทำให้แม่ทัพหนิงโกรธมากด้วย อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าถังหยินจะโหดร้ายจนถึงขนาดจัดการพวกกองพันที่ 8 จนถึงขั้นตายไปหลายคน เรื่องดังกล่าวทำให้ทุกคนทึ่งมากทีเดียว

ชายชรานั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างช้า ๆ “แม้ว่าแม่ทัพถังจะลงมือหนักไปบ้าง หากแต่มันก็มีเหตุผลและพอรับฟังได้”

“ใช่แล้วท่านพ่อ ถังหยินไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่พวกเขาคือตระกูลเหลียง ดังนั้นเรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ แน่ ข้าจึงอยากจะให้ท่านไปเยี่ยมพวกเหลียงกับพวกเราด้วยเพื่อทำให้ทุกอย่างกระจ่าง”

อู่เหมยกระซิบกับพ่อของนาง

ดูเหมือนว่าอู่หยูจะเห็นด้วยกับนาง ดวงตาของเขาเริ่มมีรอยยิ้มออกมา ชายแก่ลูบเคราสั้น ๆ แล้วพูดอย่างหนักแน่น “นี่มันอาจดูไม่ดีนัก การให้ข้าร่วมด้วยมันดูจะมากเกินไปหน่อย!”

“ถ้างั้นแล้วจะให้พวกเราทำยังไง?” อู่เหมยตะโกน “ขืนพวกเราไปที่บ้านพวกเหลียงโดยไม่มีท่านพ่อ มีหวังต้องโดนพวกมันรังแกเอาแน่!”

“ฮ่าๆ” อู่หยูหัวเราะออกมาดังก้องแล้วพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ ก็ได้ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ระหว่างที่พูดเขาก็มองไปยังถังหยินและพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ครั้งนี้ข้าจะยอม อันที่จริงแล้วสิ่งที่ทำลงไป ถึงแม้มันจะดูไม่ดีนัก แต่มันก็ไม่ได้แย่เช่นกัน”

ถังหยินไม่ยอมรับคำพูดนี้ แต่ในเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ถ้างั้นก็ต้องทนฟังต่อไป ชายหนุ่มตอบกลับไป “ท่านเสนาบดีอู่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

อู่หยูมองความคิดของชายหนุ่มออกอย่างง่ายดาย เขาส่ายหัว ถังหยินอาจจะเป็นอัจฉริยะก็จริง แต่มันก็ยากเกินไปที่จะเชิดชูและสนับสนุนเขาจนออกนอกหน้า

จริง ๆ แล้วต่อให้อู่เหมยไม่มาขอร้องอู่หยู เขาก็จะจัดการเรื่องนี้ให้อยู่ดี ไม่ใช่เพราะถังหยิน แต่เป็นเพราะกองพันที่ 2 ต่างหาก

แม้ว่าอู่หยูจะเป็นคนใจดี แต่มันก็แค่เปลือกนอก จริง ๆ แล้วนั้นเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมหลักแหลม ชายชราเข้าใจเกี่ยวกับเมืองหลวงแห่งนี้เป็นอย่างดี เขาจะไม่ปล่อยใครหนีไปได้ง่าย ๆ แน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการควบคุมกองทหารเลย ถ้าหากมีปัญหาในค่ายทหารละก็ เขาจะรีบจัดการโดยที่ไม่มีทางให้คนอื่นเข้ามาจุ้นจ้านเลย

ด้วยอำนาจที่ตระกูลอู่มี มันก็ทำให้พวกเขาได้รับความเมตตาจากอ๋องแห่งแคว้นเฟิงอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะทำผิดมามากแค่ไหนก็ตาม ขอแค่ไม่ร้ายแรง มันก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ

อู่หยูตกลงที่จะร่วมเดินทางมากับพวกถังหยินเพื่อไปยังบ้านของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายพร้อมกัน ระหว่างเสนาบดีฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย หน้าที่ของฝ่ายหลังคือคนที่คอยควบคุมกิจการกองทหารทั้งหมด

ทั้ง 2 คือตระกูลใหญ่ ต่างก็เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักเฟิงด้วยกันคู่ แม้ว่าพวกเขาจะปะทะกันเนือง ๆ แต่เบื้องหน้าก็ทำเป็นสนิทกันดี เมื่อได้ยินว่าอู่หยูมาด้วย เหลียงซิงก็ถึงกับออกมาต้อนรับชายชราด้วยตัวเอง ซึ่งหลังจากพบกัน พวกเขาก็เดินจับมือกันราวสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานจนทำเอาคนที่เห็นฉากนี้หัวเราะออกมา

ถึงจะเห็นว่าทั้งสองกำลังยิ้มแย้มพูดคุยกัน แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็แอบแทงข้างหลังกันอยู่บ่อยครั้งไป

เมื่อเข้ามาด้านใน ถังหยินก็พึมพำอะไรไปเรื่อยเปื่อยออกมา ส่วนสายตาก็จดจ้องไปทั่วเรือนหลังนี้เพื่อให้เข้าใจสภาพโดยรอบ

เรือนของเสนาบดีทั้ง 2 นั้นมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบการจัดวางกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อู่หยูเป็นนักปราชญ์ ทำให้ทุกอย่างถูกปกปิดเอาไว้ ซึ่งผิดกับเหลียงซิงที่เป็นนักรบ

หลังจากเข้าห้องโถงหลัก สิ่งแรกที่เห็นก็คือภาพวาดบนผนังที่เป็นรูปเสือโคร่งกำลังยืนคร่อมบนภูเขาลูกใหญ่ มันคือภาพที่สวยงามราวกับว่ามันกำลังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองฟากของห้องโถงมีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงรายเต็มไปหมด และด้านหลังก็มีแผงอาวุธที่มีหอก ดาบ และง้าววางเต็มไปหมด

ยิ่งเขามองก็ยิ่งตะลึงในการจัดตกแต่งเรือนของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหลียงซิงและอู่หยูนั่งคุยกัน ทั้งสองเจอกันในราชสำนักทุกวัน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงมีเรื่องให้พูดกันไม่รู้จบ

ทั้งสองพูดคุยกันไม่หยุดราวกับลืมทุกสิ่งอย่างไป ในตอนนั้นเองก็ได้มีร่างหนึ่งกระโดดวิ่งเข้ามาข้าง ๆ เหลียงซิง คนผู้นั้นชี้ไปที่ถังหยิน แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านลุง หมอนั่นแหละ! ถังหยิน ชายคนที่ฆ่าลูกน้องทั้ง 4 คนของข้า!”

ทุกคนหันไปมองตาม ซึ่งคนที่มาใหม่ก็ไม่ใช่ใครนอกจากเหลียงหยวน แม้ว่าจะเป็นเรือนของเสนาบดี หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นบ้านของเขาเอง แต่เหลียงหยวนก็ยังคงไม่กล้ามองหน้าถังหยินตรง ๆ

“เจ้าเด็กเวร! เจ้าไม่เข้าใจกฎหรือไง!” เหลียงซิงมองหลานตัวเองพร้อมตะคอกต่อว่า

“ท่านลุง… เขา…” เหลียงหยวนชี้ไปที่ถังหยินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่จากสายตาอันคมกริบของชายหนุ่มมันกลับทำให้เขากลัวจนไม่อาจพูดอะไรออกมาได้

เหลียงซิงยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะพูดขอโทษอู่หยู “นี่คือหลานข้าเอง เหลียงหยวน เขายังเด็กและอ่อนต่อโลกมากนัก”

“ฮ่าๆๆ” อู่หยูหัวเราะเบา ๆ และโบกมือ “สหายเหลียง ท่านก็พูดเกินไป หลานเจ้าน่ะเป็นอัจฉริยะเชียวนะ บางทีอาจจะเป็นวีรบุรุษในอนาคตก็ได้”

เขาก็แค่ยกยอไปเท่านั้นแหละ

เหลียงซิงหัวเราะแห้ง ๆ “วีรบุรุษอะไรกันเล่า เขาก็แค่ลูกหมีเท่านั้นแหละ ในฐานะแม่ทัพกองพัน เขาเอาแต่รอดูลูกน้องตัวเองถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาเท่านั้น สหายอู่ ท่านคิดว่าเขาควรโดนลงโทษไหม?”

คำพูดนี้ออกมากระทบเหลียงหยวนโดยตรง แต่เมื่อเขาพูด สายตาของเขากลับมองไปที่ถังหยิน ราวกับจะทะลุทิ่มแทงร่างของชายหนุ่มให้ได้

อู่หยูเองก็ฉลาดมาก คิดว่าเขาจะไม่ทันคำพูดของอีกฝ่ายหรือ? “ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน ต่อให้สหายเหลียงอยากจะทำโทษเขา เขาก็ควรจะทำทุกอย่างให้กระจ่างเสียก่อน!”

“หึ สหายอู่พูดถูก” ระหว่างที่พูดเขาก็ยิ้มให้กับถังหยิน “ถ้างั้น ข้าขอถามแม่ทัพถัง ท่านพอจะอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ ?”

“เสนาบดีเหลียง เราขออธิบายก่อนเลย…” อู่เหมยรู้สึกว่าถังหยินไม่น่าจะพูดดี ๆ ได้ ดังนั้นนางจึงเตรียมจะพูดให้แทน

ชายหนุ่มโบกมือให้และยิ้ม “ไม่เป็นไร ให้ข้าพูดเถอะ!”

บทสนทนาระหว่างเหลียงซิงและอู่หยู ทำให้ถังหยินเข้าใจทุกเรื่องที่ตนต้องพูดแล้ว

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวออกไป “ลูกน้องของข้าออกไปหาอะไรดื่มกันในโรงเตี๊ยม ก่อนจะพบเข้ากันแม่ทัพเหลียงและพวกที่เหลือในที่แห่งนั้น จริง ๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรกันหรอก เพียงแต่แม่ทัพเหลียงเป็นคนที่กล่าวหาว่าข้ากับแม่ทัพอู่มีความสัมพันธ์กันเพื่อให้ได้ตำแหน่งแม่ทัพมา คำพูดเหล่านั้นมันทำให้ลูกน้องข้าไม่พอใจจนมีเรื่องทะเลาะกัน ใช่หรือไหมท่านแม่ทัพเหลียง?”

ทันทีที่สิ้นคำ ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปยังเหลียงซิง

เหลียงหยวนตัวสั่นด้วยความกลัวและพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว แต่การฆ่าคนมันก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน…”

“หึ” ถังหยินเชิดหน้าขึ้น “เท่าที่ข้ารู้มา การแต่งตั้งแม่ทัพจะต้องได้รับการอนุมัติจากท่านอ๋องเสียก่อน จากมุมมองของแม่ทัพเหลียง ท่านคิดว่าข้าจะเป็นแม่ทัพได้เพราะความสนิทงั้นหรือ?”

คำพูดพวกนี้มันโหดร้ายเกินไป การพูดแบบนี้มันก็หมายความว่าท่านอ๋องแห่งแคว้นเฟิงนั้นแต่งตั้งคนแบบมั่วซั่ว หรือถ้าให้ว่าตรง ๆ แล้วมันก็คือการบอกว่าท่านอ๋องเป็นแค่ไอ้โง่นั่นแหละ ร่างของเหลียงหยวนสั่นเทา ขาของเขาสั่นจนแทบร่วงลงบนพื้น นิ้วของเขาสั่น “เจ้า… อย่ามาเล่นลิ้นกับข้านะ!”

“ข้าพูดหรือ? ไม่ใช่แม่ทัพเหลียงเป็นคนพูดเองงั้นหรือ? ในความคิดของข้า แม่ทัพเหลียงด่าข้าแค่ผิวเผิน แต่ความจริงแล้วนั้นท่านต้องการจะก่นด่าท่านอ๋องต่างหาก!”

“ข้า ข้าไม่!” ไม่ว่าเหลียงหยวนจะโง่ขนาดไหน เขาก็รู้ว่าการต้องโทษที่เกี่ยวกับท่านอ๋องนั้นร้ายแรงเพียงใด เขามอง เหลียงซิงด้วยความสะพรึงกลัว “ท่านลุง ข้าไม่ได้หมิ่นท่านอ๋อง ข้าไม่…”

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก! ในฐานะของแม่ทัพเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างหลานของเขาและถังหยินมันมากเกินไป! เหลียงซิงเกลียดความอ่อนแอของหลานตัวเอง หากแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะลงมือ แม้ว่าตนนั้นอยากจะตบหน้าอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ฟังถ้อยคำดังกล่าว เหลียงซิงก็ถึงกลับต้องตกตะลึงในความสามารถด้านการตอบโต้ของถังหยิน ก่อนหน้านี้เขาไม่มีทางคาดฝันเลยว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นเช่นนี้ ใครมันจะคิดกับเล่าว่าอีกฝ่ายจะดึงเบื้องสูงมาเล่นด้วย นี่มันเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว อู่หยูคงไม่สอนเขาหรอก ใช่ไหม?

เมื่อเฒ่าชราคิดถึงมัน เขาก็ได้แอบชำเลืองมองอู่หยูที่ยังคงตีหน้านิ่ง อีกฝ่ายกำลังก้มลงจิบชา ทำราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของจน ยิ่งเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ!

จริง ๆ แล้วถังหยินฉลาดมาก เขามีความคิดที่หลักแหลม เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วจะพบว่าชายหนุ่มนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะทีเดียว ทว่าด้วยความที่เขาเป็นคนทำตัวตามสบายเกินไป จึงมักทำทุกอย่างที่เอาแต่ใจ และก็เพราะเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดจบ อู่หยูก็ปลาบปลื้มอยู่ในใจ

สถานการณ์ในตอนนี้ดูจะเข้าข้างถังหยิน ถ้าคำพูดก่อนหน้านี้เปรียบเสมือนสายน้ำที่ไหลหลากแล้วละกัน ถ้างั้นการโต้ตอบของถังหยินก็เป็นดั่งคันดินขนาดใหญ่ที่ขวางกันทุกสรรพสิ่งเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย “แม่ทัพถัง ข้าไม่อยากเดาส่งเดชหรอกนะ ว่าต่อไปสิ!”

เหลียงซิงสงบสติได้เก่งนัก เขาทำเพียงแค่สบตากับชายหนุ่ม ก่อนจะออกปากเพื่อให้อีกฝ่ายเริ่มพูดต่อ