บทที่ 53

ถังหยินมองเหลียงซิง แล้วจึงพูดต่อ “สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ ข้าได้เห็นเข้ากับแม่ทัพเหลียงและแม่ทัพอีกคนที่ลักพาตัวหัวหน้ากองหญิงในกองพันของข้าไป ทั้งยังบังคับให้นางนั่งดื่มด้วยกัน ดังนั้นข้าจึงเข้าไปหยุดพวกเขาไว้ ซึ่งพวกแม่ทัพเหลียงก็ได้ใช้คนจำนวนมากพร้อมด้วยอาวุธเข้ามารุมล้อมข้าเอาไว้ สิ่งที่ข้าทำลงไปก็เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำร้ายพวกเขาก่อนแต่อย่างใด”

ถึงชายหนุ่มจะชอบพูดจาตรงไปตรงมา แต่เขาก็สามารถพูดเรื่องโกหกได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน ซึ่งในระหว่างที่ถังหยินพูดไปนั้น เขาก็ไม่ได้มีใบหน้าที่แดงหรือลมหายใจที่เร็วขึ้นเลยแม้แต่น้อย

สุดท้ายแล้วถังหยินก็กล่าว “ในระหว่างการต่อสู้ หัวหน้ากองทั้ง 4 ได้บังเอิญตายลงด้วยน้ำมือของข้า ทว่าพวกเขาก็สมควรตายอยู่แล้ว เพราะว่ากันตามกฎของเมืองหลวงแล้ว การรังแกสตรีที่อยู่ในกองทัพนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม ผู้บังคับบัญชาควรจะรับผิดชอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องโทษตายเป็นหมื่นครั้ง”

เขาพูดได้แยบยล และพูดถึงเรื่องของเหลียงหยวนก่อน จากนั้นเขาก็พูดถึงความผิดของพวกหัวหน้ากอง และทำให้ความผิดพวกเขากลายเป็นความรับผิดชอบของเหลียงหยวน ถ้าเกิดเหลียงซิงไม่คิดจะปล่อยเขาไป ชายหนุ่มก็จะใช้เรื่องนี้ดึงเหลียงหยวนให้ลงมาด้วยอย่างแน่นอน !

ทั้งอู่เหมยและชิวเจิ้นต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ช่างเป็นพ่อหนุ่มที่วาจาคมคายมาก! เหลียงซิงที่ได้ยินเรื่องดังกล่าวก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ซึ่งผิดกับสายตาของเขาที่กลับเต็มไปด้วยความเย็นชา หลังจากเงียบไปสักพัก ชายชราก็พูดขึ้น “ถึงจะเป็นอย่างที่ว่า แต่ยังไงเสียแม่ทัพถังเองก็ไม่ใช่ผู้คุมกฎของกองทัพเสียหน่อย ดังนั้นเจ้าไม่ควรจะไปจัดการพวกเขาให้ถึงแก่ความตายเช่นนี้”

ยิ่งไปกว่านั้น เหลียงซิงเองก็เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย ถ้าเกิดเขาคิดจะลงโทษถังหยินจริง ๆ มันก็คงไม่มีใครค้านได้

โดยไม่รอให้ชายหนุ่มได้ปริปาก อู่หยูก็วางถ้วยชาลง “สหายเหลียงพูดถูก แม่ทัพถังเองก็ผิดเช่นกัน พวกเราควรจะหาข้อไตร่ตรองให้ดีก่อน เพราะเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับแม่ทัพเหลียงด้วย มันคงเร็วเกินไปที่จะรีบสรุป ถ้าเรื่องนี้มันลามไปใหญ่โต ข้าเกรงว่ามันจะกระทบกับภาพลักษณ์ของกองทัพเฟิงด้วย ยิ่งในช่วงนี้แคว้นของเรากำลังวุ่นวายด้วยแล้ว การลงโทษแม่ทัพทั้ง 2 ย่อมไม่เกิดผลดีต่อกองทัพแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดว่าสหายเหลียงกำลังไปรบแนวหน้าด้วยแล้ว เมื่อฝ่าบาททราบว่าหลานของเจ้าทำตัวแบบนี้ ท่านอ๋องก็คงจะไม่ไว้หน้าพวกเราเหมือนกัน”

ถ้าเหลียงซิงปล่อยถังหยิน เขาก็คงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะถ้าทำจริงละก็ ไม่ใช่แค่ไม่กี่คนที่จะได้รับความเดือดร้อน หากแต่อาจเป็นทั้งตระกูลเหลียงเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้พวกเขากำลังได้เปรียบในเรื่องอำนาจ ซึ่งถ้าเกิดว่ามีเรื่องนี้ขึ้นมา มันย่อมกระทบกันทุกส่วนแน่

เหลียงซิงและอู่หยูทำงานด้วยกันมานานหลายสิบปี พวกเขาเข้าใจในคำพูดของอีกฝ่ายดี

เขาหวั่นเกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างอู่หยูจะวางแผนอะไรเอาไว้ ซึ่งตัวเขาเองก็วางแผนดักเอาไว้เช่นกัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอขึ้นมาก่อน ถ้างั้นก็หมายความว่าอู่หยูนั้นมั่นใจมากทีเดียว

เขาหัวเราะและพยักหน้าให้ “สหายอู่ เจ้าพูดถูก แถมยังมองสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วล่ะ”

อู่หยูหัวเราะออกมา “สหายเหลียงก็พูดเกินไป หลานของเจ้าเองก็ยังหนุ่มและห้าวหาญใช้ได้ แม้ว่าการกระทำของเขาจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องสั่งสอนเขาได้ในอนาคตแน่”

“แน่นอน!” เหลียงซิงรับคำที่จะไม่ทำอะไร

“สำหรับแม่ทัพถัง ข้าคิดว่าก็ควรจะลงโทษเช่นกัน ข้าว่าเขาต้องโดนโบ้ยสัก 20 ทีดีไหม?”

“ได้ยังไงกัน ? ” เหลียงซิงโบกมือพยายามทำเป็นใจกว้าง “แม่ทัพถังเองก็ยังหนุ่มยังแน่น คนหนุ่มสาวจะไม่ให้ทำพลาดได้ยังไงกันเล่า?! อย่าไปทำเช่นนั้นเลย!”

“หึหึ สหายเหลียงเองก็คิดเช่นนั้นสินะ…”

ทั้งสองคุยกันสนุกสนาน ทั้งอวยและชื่นชมกันไปมา ก่อนจะใช้เสียงหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราวทั้งหมด เหลียงซิงโกรธเป็นอย่างมาก ในใจของเขาตอนนี้นั้นมันคันคะเยอไปหมด ระหว่างที่พูดตาของเขาก็จ้องด้วยความอาฆาตไปด้วย

เหลียงซิงไม่ได้คิดจะลงโทษถังหยิน แต่ชายชราก็จะจดจำชื่อของชายหนุ่มผู้นี้เอาไว้จนวันตาย

ระหว่างทางกลับไปยังบ้านเสนาบดีขวา อู่เหมยก็ถึงกับถอนหายใจยาว ๆ ออกมา ตอนที่พวกนางเดินเข้าไปในที่แห่งนั้น นางยังกลัวอยู่เลยว่าเหลียงซิงจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่

“ขอบคุณท่านพ่อมากสำหรับการมาในครั้งนี้ ตาแก่เหลียงคงไม่กล้าทำอะไรเราไปสักพักล่ะ!” นางกอดแขนพ่อตัวเองอย่างเปรมสุข

อู่หยูทำแค่เพียงหัวเราะแล้วมองไปยังถังหยิน “ถ้าข้ารู้ว่าแม่ทัพถังจะพูดเก่งแบบนี้ ข้าน่าจะนั่งจิบชาอยู่ที่บ้านดีกว่า หึหึ…”

ถังหยินประกบมือเข้าหากัน “ท่านอู่ก็กล่าวเกินจริงไปแล้ว”

“พวกคนหนุ่มสมัยนี่ช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง แต่การกระทำบางอย่างก็ต้องสงวนเอาไว้บ้าง อย่าเล่นใหญ่จนเกินไปนัก”

อู่หยูนับถือถังหยินจากใจจริง คำพูดที่ออกมามีแต่ความชื่นชม แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วมันกลับไม่น่าฟังเสียเท่าไหร่

ชายหนุ่มเกลียดการถูกควบคุม และยิ่งกว่านั้นเขาเกลียดการถูกคนชี้นิ้วสั่งที่สุด อู่หยูที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาเลยในตอนนี้ การที่ชายชราพูดเช่นนี้มันเหมือนกับถูกตาเฒ่าคนหนึ่งสั่งสอนยังไงยังงั้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโกรธ อารมณ์ที่เคยดีก่อนหน้าได้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หากแต่เขาก็เลือกที่จะกักเก็บมันเอาไว้ และพูดออกไปว่า “ขอบคุณท่านอู่สำหรับคำแนะนำ ข้าน้อยจะจดจำมันไว้”

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์นั้นมันก็ทำให้มีข่าวลือเกิดขึ้นมากมาย แต่จากเรื่องราวในครั้งนั้น มันก็ทำให้ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดว่าถังหยินมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับอู่เหมยอีกต่อไป และไม่มีใครกล้าดูหมิ่นกองพันที่ 2 อีกเลย เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้ถังหยินและกองพันของเขามีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อมีคำพูดเหล่านั้น ถังหยินก็พลันรู้สึกสบายใจ เป็นเพราะเรื่องดังกล่าวทำให้ตำแหน่งของเขามั่นคงขึ้น ส่วนพวกพลทหารภายในกองพันที่ 2 ก็พากันรู้สึกภาคภูมิใจไม่ใช่น้อย

แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น เมื่อพวกทหารพบเจอเข้ากับการฝึกของกองพันที่ดูจะยิ่งยากมากขึ้นทุกวัน นั่นก็ทำให้พวกเขาไม่น้อยเริ่มที่หนีกันออกไปมากขึ้นทุกที จนถึงในจุดนี้กองพันที่ 2 แทบจะไม่เหลือกำลังพลอยู่เลย

ซึ่งถังหยินก็เชื่อว่านี่น่าจะไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

ไม่กี่วันต่อมา

ชายหนุ่มได้เดินทางไปยังลานเต้นรำเพื่อพบปะผู้คน คนจัดงานหลักคืออู่เหมยและอู่อิง ส่วนคนที่มาร่วมงานคือคนจากหน่วยที่กำลังได้รับฟื้นฟู

เมื่อเขามาถึง แม่ทัพของอีก 2 กองพันที่เหลือก็มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว

ทั้ง 3 กองพันคือ กองพันทหารราบที่ 2 กองพันทหารราบที่ 11 และกองพันทหารราบที่ 12 อู่เหมยและอู่อิงเคยควบคุมกองทหารเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับเชิญมาด้วย

ชายหนุ่มนั้นคุ้นเคยกับทั้ง 2 แม่ทัพในระดับหนึ่ง พวกเขามีนาม อู่ซงและจีฉาง ถังหยินเคยพบพวกเขามาก่อน ทว่าก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก การพบปะในครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญ เขาแค่ต้องการรู้ความคืบหน้าของกองพันอื่นเพื่อเอาไปเทียบกับของตนเองเท่านั้น

เมื่อมองไปยังกระดาน ชายหนุ่มก็พบกองพันทหารราบที่ 2 มีทักษะการต่อสู้และกำลังกายเป็นเลิศ หากแต่ขาดความเป็นวินัยมาก รวมไปถึงการแปรรูปขบวนทัพ หรือแม้แต่การบุกตีก็แย่ที่สุด

ทุกหน่วยมีความเป็นเอกลักษณ์ และแน่นอนว่าความเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้นำกองพัน ถ้าเขาเป็นคนที่เข้มงวด พวกทหารก็จะต้องมีวินัยที่เข้มข้นตามไปด้วย

ถังหยินเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง และความเป็นตัวเองก็สะท้อนตามนิสัยของเขา พวกทหารของเขาแม้จะมีความเก่งกาจ แต่คนพวกนี้ก็ชอบที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง

หลังจากพี่น้องอู่เสร็จสิ้นงานต่าง ๆ พวกนางก็หันจ้องที่ถังหยินด้วยความคิดเดียวกันและพูดพร้อมกัน “แม่ทัพถัง เจ้าควรจะอธิบายอะไรสักหน่อยไหม?”

ถังหยินที่เพิ่งจะดึงสติที่หลุดลอยกลับมาได้ก็เริ่มพูดจริงจัง “พวกทหารควรจะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่จะทำให้พวกเขาเก่งกาจในสมรภูมิ ข้าคิดว่าการไม่เคร่งในระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่พอรับได้ ส่วนเรื่องการแปรรูปขบวน ข้าจะพยายามให้มากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังไงเสียมันก็ไม่มีขบวนรบที่ตายตัวอยู่แล้วในสนามรบ การที่ไปยึดติดกับมันจะเป็นการบีบคั้นเกินไป”

ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ตะลึง ทั้งห้องเงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงพิณตก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อู่เหมยได้ไอเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมา “ทหารเจ้าไม่ได้ทำผิดกฎ แต่พวกเขาทำคะแนนในการแปรรูปขบวนได้แย่มาก เจ้ามีข้อแก้ตัวไหม?”

ถังหยินยักไหล่ มันคือเรื่องของระเบียบกองทัพที่ถ้าเถียงไปมันก็ไม่สิ้นสุด ทางที่ดีที่สุดคือการไม่พูดถึงมัน

“เราก็หวังเช่นนั้น!” อู่เหมยยื่นนิ้วออกมา 3 นิ้ว “เจ้าอย่าลืมสิว่าเราให้เวลาเจ้า 3 เดือนนะ 3 เดือน ช่วงเวลา 3 เดือนมันผ่านไปเร็วมากเลยนะ!”

ถังหยินพยักหน้า “ขอบคุณท่านแม่ทัพสำหรับการย้ำเตือน ข้าล่ะซาบซึ้งใจจริง ๆ”