บทที่ 54

หลังจากพบปะกัน ถังหยินก็ขอตัวลาไปข้างนอก หากทว่าชายหนุ่มกลับโดนสองพี่น้องอู่ห้ามเอาไว้ เขาไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้ด้วยท่าทีทำตัวไม่ถูก

เมื่อทุกคนออกไปจนหมด อู่เหมยก็พูดขึ้น “ถังหยิน ครั้งนี้เรามีงานให้เจ้าทำ”

“งานอะไร?”

“ง่ายมาก มันง่ายมาก ๆ เลย แต่มันก็เป็นงานที่ใหญ่มากเช่นกัน” อู่เหมยลูบหน้าผากตัวเอง “พวกเราสู้กับพวกหนิงมานานหลายเดือน และพวกแคว้นโมเริ่มจะทำตัวมีปัญหาอีกครั้ง นี่จึงเท่ากับว่าสงครามสามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และทางจักรวรรดิเฮาเทียนนั้นก็ไม่อยากจะให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างกันและกัน พวกเขาจึงได้ส่งคนมาเจริญสัมพันธไมตรี งานของเจ้าในครั้งนี้ก็คือไปยังแนวหน้าของแคว้นโมแล้วคุ้มกันนางให้ปลอดภัยที่เมืองหยาน”

“นาง? นางไหน?”

“กงจู่(องค์หญิง)ของเฮาเทียน”

“สตรีเรอะ?!” ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ

“ก็บอกว่าเป็นองค์หญิง จะให้เป็นผู้ชายหรือไง?”

ตามที่นางได้กล่าวไว้ เมื่อเกิดสงครามขึ้นภายใน ทางจักรวรรดิเฮาเทียนก็ต้องออกมาห้ามอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วตั้งแต่ที่จักรวรรดิเฮาเทียนเข้ายุ่งเรื่องนี้ พวกแคว้นต่าง ๆ ก็เริ่มหยุดทำสงครามกัน อย่างไรก็ตาม อำนาจจากส่วนกลางเองก็เริ่มอ่อนแอลงไปทุกที พวกเขาจึงเริ่มที่จะไม่ฟังคำสั่งขององค์จักรพรรดิ

แคว้นเฟิงคือม้างานหลักของสงคราม และทุกปีพวกเขาจะส่งกองทหารเข้าไปช่วยตลอดเวลา ดังนั้นทางจักรวรรดิ เฮาเทียนจึงให้ความสำคัญกับแคว้นเฟิงเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทางแคว้นเฟิงจะทำตามคำสั่งจากทางการทุกครั้งไป

ทว่าในครั้งนี้นั้นแคว้นเฟิงพอเจอกับปัญหาเข้าให้แล้ว สงครามกับแคว้นหนิงทำให้พวกเขาเสียทหารไป 2 แสนนาย ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมถึงปัญหาเกี่ยวกับพวกโจรและกบฏที่พากันก่อความโกลาหลไปทั่ว

ถ้าทางราชสำนักยุติสงครามสำเร็จ มันก็จะทำให้แคว้นเฟิงหายใจได้สะดวกขึ้นบ้าง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงตอบรับการเจริญสัมพันธไมตรีในครั้งนี้ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง !

ครั้งนี้ราชสำนักได้ทำการส่งองค์หญิงลำดับที่ 1 หยินโรว มาด้วย องค์หญิงหยินโรวนั้นได้เสด็จไปยังแคว้นโมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป้าหมายถัดมาที่พระองค์ต้องไปเยือนก็ได้แก่แคว้นเฟิงทางเหนือ ก่อนจะจบลงที่แคว้นหนิงทางตะวันตก

ไม่ว่าราชสำนักจะอ่อนแอเพียงใด แต่ทว่าหยินโรวก็ยังคงเป็นกงจู่แห่งราชวงศ์อยู่ดี กองพิทักษ์องค์หญิงมีจำนวนมากทีเดียว ทำให้การเดินทางไม่รวดเร็วนัก จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังคงอยู่ในเขตเฟิง งานนี้จึงง่ายและไม่ยากมากสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นอู่หยูหรือเหลียงซิงเอง พวกเขาทั้งสองต่างก็อาสาที่จะไปคุ้มกันขบวนเสด็จ ซึ่งหลังจากผ่านการหารือสักเล็กน้อย สุดท้ายก็เป็นถังหยินที่ได้รับเลือก

“แค่คุ้มกันคนคนเดียว ถึงกับต้องใช้ทั้งกองพันเลยเหรอ?” ถังหยินไม่เข้าใจ

“แล้วจะให้องค์หญิงเดินทางมาด้วยพระองค์เอง? ยังไงพระองค์ก็ต้องมีข้ารับใช้กับทหารคุ้มกันมากมายอยู่แล้วเป็นธรรมดา” อู่เหมยหัวเราะ “แต่ไม่ว่าจะยังไง ผู้มาเยือนครั้งนี้ก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ ดังนั้นจึงต้องห้ามให้มีแม้แต่จุดด่างพร้อยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องส่งกองทหารไปช่วยคุ้มครองพระนาง ซึ่งถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นละก็ ต่อให้มีหัวของพวกเจ้าหมื่นเป็นหัวก็ชดใช้ไม่พอ แถมตระกูลอู่เองก็คงต้องสิ้นไปด้วยกันนี่แหละ นี่คืองานที่สำคัญที่สุด ถังหยิน เจ้าเข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้ว แล้วจะให้ข้าไปเมื่อไหร่?” “จากเมืองหลวงไปชายแดน แม้ว่าเจ้าจะรีบมากแค่ไหนก็ต้องใช้เวลา 6 หรือ 7 วัน หลังจากวันพรุ่งนี้เจ้าค่อยนำทั้งกองพันออกเดินทาง” อู่อิงกล่าว

“ไม่มีปัญหา”

ถังหยินชอบงานนี้มาก เขาอยู่ในเมืองหยานมาสักพักและกำลังรู้สึกเบื่อ ชายหนุ่มคิดว่าภารกิจในครั้งนี้จะช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง

“เอาล่ะ เตรียมตัวได้แล้ว”

“ขอให้โชคดี!”

หลังเดินออกมา ถังหยินกับชิวเจิ้นก็กลับบ้าน ระหว่างทางเด็กหนุ่มก็ดูมีท่าทียิ้มแย้ม เขาพูดออกมา “สหายถัง ภารกิจนี้มันยิ่งใหญ่มาก ดูเหมือนว่าท่านอู่จะหาทางเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าแน่”

ถังหยินเงยหน้า “ข้าเป็นแม่ทัพอยู่แล้วนะ ถ้าเลื่อนขึ้นไปอีกจะเป็นอะไรล่ะ?”

ชิวเจิ้นครุ่นคิดก่อนจะพูด “ตอนนี้ตระกูลเหลียงก็ใหญ่โตแล้ว ข้าว่าพวกอู่เองก็คิดจะขยายกองพันตัวเองแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะต้องคุมกองทหารสัก 2 ถึง 3 กองก็ได้”

“ฮ่าๆ” ถังหยินยิ้มและโบกมือ “ของแบบนั้นข้าไม่สนหรอก”

ชายหนุ่มไม่ได้จริงจังกับงานนี้มาก ซึ่งทางชิวเจิ้นที่รู้ดีก็ได้เตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว หัวของเขาครุ่นคิดแผนให้ถังหยินผ่านมันไปได้อย่างราบรื่นที่สุด ในวันที่ออกเดินทาง ถังหยินตื่นเช้าและไปที่ค่ายทหารกับชิวเจิ้น

ไม่นานนักหลังจากที่เข้าไป อู่เหมยก็ส่งเขาออกไปทันที พร้อมทั้งนางยังย้ำเตือนว่าอย่าทำเป็นเล่นในภารกิจนี้เด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิง ชายหนุ่มให้คำมั่นอย่างดิบดี ก่อนที่ทั้งกองพันจะเริ่มเคลื่นขบวน

กองพันที่ 2 แตกต่างจากกองพันอื่น ทหารของกองพันนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่การรบประชิดเพียงอย่างเดียว หากแต่พวกเขายังแบกธนูไว้คู่กับดาบด้วย แถมยังมีหอกกับโล่อีก บอกไม่ได้เลยว่าพวกเขาเป็นทหารแบบใดกันแน่ ด้วยอุปกรณ์ทั้งหมดที่ว่า มันก็ทำให้น้ำหนักตัวพวกเขามากกว่าทหารอื่น 2 เท่าตัว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยเลยสักนิด เพราะการฝึกของพวกเขามันหนักจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

ถึงแม้จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ดีและกำลังกายที่มากแค่ไหนก็ตาม แต่การจัดขบวนก็ยังคงเละเทะไม่เป็นท่าอยู่ดี มีหลายกองที่พากันยืนกระจัดกระจายจนมั่วซั่วไปหมด ถังหยินและชิวเจิ้นขี่ม้าเดินนำหน้าขบวน

กองทหารเคลื่อนที่ไปยังทิศใต้ แม้ว่าจะขบวนจะดูกระจายตัว หากแต่ความเร็วกลับไม่ได้ตกลงเลย

คืนนั้นพวกเขาก็เข้าสู่เมืองวาน

ท่านเจ้าเมืองได้ข่าวก่อนหน้านี้แล้ว เขาได้พาเหล่าขุนนางมาต้อนรับด้วยความรวดเร็ว ข่าวลือเรื่องถังหยินที่ว่าชายหนุ่มได้รับการดูแลจากตระกูลอู่ ทำให้ท่านเจ้าต้อนรับกองพันที่ 2 อย่างขยันขันแข็ง

กำลังทหารต้องถูกทิ้งไว้ด้านนอก มีเพียงแค่ถังหยินและชิวเจิ้นกับทหารเล็กน้อยเท่านั้นที่พากันเข้าไปในจวนผู้ว่า

ท่านเจ้าเมืองเชิญชวนถังหยินและชิวเจิ้นเข้าไปร่วมกันทานอาหารและให้ค้างคืนที่นี่ ถังหยินปฏิเสธ ก่อนที่เขาจะเข้าไปในเมืองกับชิวเจิ้น ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุใด เช้าวันต่อมาพวกเขาก็ออกเดินทางต่อ

ระหว่างทางพวกเขาผ่านเมืองฟาง เมืองเฟิง เมืองเจียน และหลาย ๆ ที่ก่อนที่จะไปถึงเมืองกง

เมืองกงอยู่ที่ชายแดนติดกับแคว้นโม ที่นี่เป็นดั่งป้อมปราการคล้าย ๆ กับประตูหน้าด่านตง หากแต่ภูมิประเทศไม่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่น้อย

ถึงกองพันที่ 2 จะกระจายตัว ดูไม่เป็นระเบียบ แต่ความเร็วก็ไม่ได้ตกลงเลย พวกเขาเคลื่อนทัพด้วยความเร็วเพียง 5 วันจนถึงเมืองแห่งนี้ บอกได้เลยว่าเป็นการเดินทางที่เรียบง่ายและราบรื่นมาก แน่นอนว่าถึงแม้ว่าพวกโจรภูเขาหรือกบฏจะออกอาละวาดอยู่โดยรอบก็จริง หากแต่เมื่อพวกมันเห็นว่าเป็นทหารจากทางการก็พากันเผ่นหนีเสียป่าราบ เพราะยังไงก็คงไม่มีใครอยากจะลองดีกับกองทหารของทางการอยู่แล้ว

ระหว่างทางมีแค่เมืองวานเท่านั้นที่ชิวเจิ้นได้อยู่กับถังหยิน หลังจากนั้นทุกเมืองที่เขาผ่าน ชิวเจิ้นก็เลือกที่จะนอนในจวนผู้ว่า ไม่ว่าชายหนุ่มจะชวนอีกฝ่ายหรือไม่ก็ตาม หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงจะหน้าด้านอยู่ให้ได้ ซึ่งทางถังหยินก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่โรงเตี๊ยมเองก็น่านอนมากแท้ ๆ

เขาถามชิวเจิ้นหลายรอบ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไร ในเมื่อไม่มีคำตอบ ถังหยินจึงไม่ซักไซ้ให้มากความและปล่อยเขาไป เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองกง ก็เที่ยงวันพอดี ถังหยินกะว่าจะรีบออกจากเมืองนี้อย่างรวดเร็ว เพื่อไปให้ถึงก่อนช่วงหัวค่ำ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะชักช้า

ทว่าชิวเจิ้นกลับอยากจะอยู่ที่เมืองกง

ถังหยินไม่เข้าใจและถามเหตุผล ซึ่งทางด้านชิวเจิ้นก็ให้คำตอบว่า “เปล่าประโยชน์น่า ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ต่อให้ไปถึงก่อนพวกเราก็ต้องไปรอกันอยู่ดี แถมที่ชายแดนก็ไม่มีสภาวะแวดล้อมที่ดีเช่นนี้ด้วย พวกเราที่เดินทางกันข้ามวันแบบนี้ควรจะได้รับการพักผ่อนในเมืองดี ๆ สักคืนสิ!”

เขาไม่คิดว่าชิวเจิ้นจะเป็นคนที่ใส่ใจลูกน้องตัวเองขนาดนี้ ถังหยินหัวเราะและถาม “ชิวเจิ้น เจ้าวางแผนอะไรกันแน่?”

เด็กนุ่มยิ้มออกมา “ไม่นานหรอกสหายถัง เดี๋ยวเจ้าก็รู้”

ชายหนุ่มส่ายหัวแต่ก็ยังรับฟังคำขอที่จะพักในเมืองกง ผู้ว่าเมืองกงให้การต้อนรับทั้งสองเป็นอย่างดี และชิวเจิ้นก็พักที่จวนผู้ว่าเช่นเคย

วันต่อมา

กองพันที่ 2 ก็ได้เคลื่อนพลจนกระทั่งมาถึงป้อมปราการแห่งหนึ่ง มันเป็นป้อมปราการขนาดเล็ก ไม่ใหญ่เท่าเมืองทางเหนือ และในยามสงครามก็สามารถจุทหารได้มากสุดแค่ 4 หมื่นนายเท่านั้น

กำแพงทั้งสี่ก็ไม่สูงมาก แถมไม่แข็งแกร่งเหมือนกับประตูตง มีสถานที่มากมายที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษามาเนิ่นนาน ส่วนการป้องกันที่สร้างเสร็จแล้วก็มีน้อยมาก หลังจากถังหยินเข้ามาในป้อมปราการแห่งนี้แล้ว เขาก็พบว่าที่นี่มันต่างจากประตูหน้าด่านตงมากทีเดียว

แม่ทัพซึ่งประจำอยู่ที่แห่งนี้มีชื่อว่า อิงปู้ เขาเป็นแม่ทัพวัยกลางคน อายุ 30 ทั้งผอมแห้ง ผิวดำหยาบกร้าน และมีหนวดที่ริมฝีปากนิดหน่อย สายตาของเขามักจ้องมองไปรอบ ๆ ตลอดเวลา เกราะของเขาดูเหมือนจะไม่ได้รับการขัดเงาเลย มันจึงเต็มไปด้วยฝุ่นมากมายแถมยังมีสนิมกินบางจุด