บทที่ 55

“ข้าได้ยินนามของท่านแม่ทัพถังผู้ยิ่งใหญ่มานาน และเพิ่งได้เห็นความจริงวันนี้แหละ ข้าละปลาบปลื้มจริง ๆ ที่เจอเจ้า!”

ตำแหน่งแม่ทัพคุมป้อมปราการไม่ได้ต่ำไปกว่าของถังหยินเลย แต่คำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกนิดหน่อย ด้วยป้อมปราการและแม่ทัพแบบนี้ ชายหนุ่มชักจะกังวลเสียแล้วว่าที่นี่จะต้องพังพินาศทันทีที่พวกโมเข้ามาถึงแน่

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องใส่ใจสักเท่าไหร่ ถังหยินนึกขำ ก่อนจะตีหน้านิ่ง ทำเหมือนว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

ที่นี่ไม่มีบ้านคนอยู่อาศัย ทั้งหมดเกือบจะเป็นค่ายทหาร ส่วนที่พักของแม่ทัพเองก็มีลักษณะง่าย ๆ มันทำจากหินและดินที่กองรวม ๆ กัน เกรงว่าถ้ามีลมแรง ๆ พัดมาก็ปลิวไปหมดแล้ว

เขารีบพูดให้ตรงประเด็น “แม่ทัพอิง แล้วองค์หญิงจะมาที่นี่เมื่อไหร่?”

“เรื่องนี้…” เขาลูบคางอยู่นานแล้วจึงตอบ “ข้าคิดว่าองค์หญิงน่าจะมาในวันหรือสองวันนี่แหละ”

“คาดเดาเหรอ?” ถังหยินไม่พอใจกับคำตอบแบบนี้มาก “หรือว่าทั้งฝ่าบาทและพวกโมต่างก็ไม่ส่งข่าวมาเลยงั้นหรือ?”

อิงปู้ส่ายหัว “ข้าไม่เคยได้รับข่าวสารใด ๆ เลย”

คำว่า ‘คาดเดา’ คือคำต้องห้ามสำหรับการทหาร เมื่อเห็นอิงปู้ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบนี้ ถังหยินก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังดำรงตำแหน่งนี้อยู่ได้

ในเมื่อคำตอบที่ต้องการก็ไม่ได้ ผนวกกับความประทับใจในตัวอีกฝ่ายที่ย่ำแย่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงพูดคุยเพียงเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายกลับไปยังกองทหารตนเอง ไม่มีโรงเตี๊ยมในป้อมปราการนี้ ดังนั้นเขาและชิวเจิ้นจึงต้องพักในค่ายทหาร

ระหว่างมื้ออาหาร ถังหยินถาม “อิงปู้คนนี้ไม่ได้เรื่องเลย!”

“ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยความเข้าใจ “ป้อมปราการแห่งนี้นั่นค่อนข้างยากจน ไหนจะบรรยากาศโดยรอบที่ไม่มีแม้แต่ความกดดันในการทำสงคราม คนที่มีความสามารถจะมาอยู่ไปทำไมกันล่ะ?”

เขายกไหเหล้า ก่อนจะรินให้กับถังหยินและตัวเอง “มันก็คือตำแหน่งที่ไม่มีใครอยากได้ในแคว้นเฟิงอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ส่วนอีกตำแหน่งนั้นต้องยกให้กับเขตปิงหยวน ที่แห่งนั้นมี 2 เมืองใหญ่ 5 เมืองย่อยและหมู่บ้านอีกไม่กี่แห่งที่อยู่กันแบบประปราย ที่แห่งนั้นมักโดนพวกข้าศึกและโจรป่าบุกตีอยู่ตลอดเวลา ในระยะเวลา 10 ปีมานี้ มีทหารถูกเปลี่ยนไป 6 ครั้งได้ มีครั้งหนึ่งที่ทหาร 5 พัน นายได้รับบาดเจ็บจนพากันหนีทัพออกมา”

“อย่างนี้นี่เอง” ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็พยักหน้าเข้าใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอิงปู้ถึงได้เป็นแบบนี้ เพราะนาน ๆ ทีถึงจะได้เจอทหารหน้าใหม่มาเยือนบ้างในรอบหลายปี ถ้าเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกันก็คงมีสภาพที่คล้ายคลึงกันแน่

“พวกเรายังมีเนื้อกับเหล้าอยู่อีกไหม?” ถังหยินถาม

“มีสิ ตอนพวกเราเดินทางมาจากเมืองกง ข้าก็ได้ให้คนซื้อเตรียมไว้เยอะทีเดียว” ชิวเจิ้นหัวเราะ

“เยี่ยมเลย เตรียมของพวกนั้นมาแล้วพวกเราจะไปกินกันในป้อมปราการแห่งนี้” ถังหยินยิ้มและลุกขึ้น การกลับมาของเขาทำเอาอิงปู้ประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนำเนื้อกับเหล้ามาด้วย

โดยไม่ต้องรีรอ ถังหยินวางอาหารทั้งหมดไว้บนโต๊ะ “แม่ทัพอิง มาดื่มกันข้าหน่อยไหม?”

อิงปู้ที่ได้สติก็รีบส่ายหัว “ไม่มีปัญหา!” ระหว่างที่พูดเขาก็วิ่งเข้าไปนั่งเก้าอี้และรีบกินเนื้ออย่างรวดเร็ว เขาหยิบเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากแล้วจากนั้นก็ยกไหเหล้าขึ้นมาดื่มอย่างเต็มคราบ จากนั้นเขาก็เหมือนจะรู้ตัว จึงหัวเราะแห้ง ๆ ใส่ถังหยิน “แม่ทัพถัง พวกเราห้ามดื่มในหน้าที่นี่นา นี่ท่านทดสอบข้าหรือ?”

ถังหยินหัวเราะแล้วยกจอกเหล้าขึ้น “แม่ทัพอิง ข้าทำตามที่ใจต้องการต่างหากล่ะ!” พูดจบเขาก็กระเดือกเหล้าลงไป

เหล้าที่ชายหนุ่มนำมานั้นมีรสเข้ม ทันทีที่ดื่มเข้าไปมันก็เหมือนมีอะไรเข้ามาทิ่มแทงในลำคอ ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อยเลย

เมื่อเห็นอีกฝ่ายดื่มรวดเดียวหมดแบบนี้ อิงปู้ก็ไม่ลังเลที่จะดื่มบ้าง “เยี่ยมมาก นับได้ว่าเป็นเหล้าที่เยี่ยม ! ข้าจำครั้งที่สุดท้ายที่ข้าดื่มได้ น่าจะราว ๆ ปีหรือสามปีที่แล้วล่ะมั้ง!”

อิงปู้ที่ยิ้มทำเอาถังหยินรู้สึกเศร้า เขายกไหขึ้นมาแล้วรินลงไปบนจอกเหล้าตัวเอง “เอ้า ดื่ม!”

ทั้งสองชนจอกเหล้ากัน ก่อนจะดื่มมันจนหมดอย่างรวดเร็ว ถึงชิวเจิ้นจะคอทองแดง หากแต่ก็เทียบกับทั้ง 2 คนนี้ไม่ได้เลย เขาเลยหน้าแดงหลังจากที่ดื่มไปไม่นานนัก กลับกัน ถังหยินและอิงปู้ดื่มกับดื่มไปเรื่อย ๆ จนหมดไปเหล้าไป 2 ไหแล้ว

ถังหยินดื่มได้เก่งมากแถมยังดูไม่เมาเลยด้วย และถึงจะดื่มเยอะขนาดนี้ หากแต่ความสามารถในการพูดของเขาก็ยังคงเดิม

เขาตบบ่าถังหยินและส่ายหัว “สหายถัง ข้าอิจฉาเจ้าจริง ๆ ที่ได้ทำงานในเมืองหลวง ที่นี่น่ะมันเงียบเหงาเกินไป แทบจะไม่มีอะไรให้ทำเลย”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทำเรื่องโอนย้ายล่ะ?” ถังหยินเปิดเหล้าไหใหม่

“คิดว่าข้าไม่ทำเหรอ?!” อิงปู้ส่ายหัว “ตอนแรกที่ข้ามาที่นี่ก็ยื่นเรื่องทุกเดือน แต่ทุกครั้งมันก็เงียบหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดข้าก็เลิก”

”ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงเป็นเรื่องไร้สาระ มีแค่คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะมาที่นี่” อิงปู้ดื่มอีกครั้งและหัวเราะอย่างขมขื่น “บางครั้งข้าก็หวังให้พวกโมเข้ามาโจมตีนะ ข้าจะได้รีบโดนปลดปล่อยจากที่นี่เสียที แต่ถ้าเป็นแบบนั้นสหายของข้าก็คงจะต้องเจ็บปวดมากกว่าข้าแน่…”

ถังหยินเข้าใจอิงปู้ดี แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงยกจอกเหล้าขึ้น ก่อนพูดว่า “ดื่มให้แก่เจ้า!”

“เขาว่ากันว่า การเมาหนึ่งครั้งมันช่วยปลดเปลื้องทุกปัญหาได้ เอ้าชนแก้ว!”

วันนี้อิงปู้เมา ส่วนถังหยินก็เกือบจะเมา การดื่มในครั้งนี้มันก็ทำให้พวกเขาเข้าใจกันและกัน และในอนาคตอิงปู้จะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน องค์หญิงไม่ได้ปล่อยให้พวกเขารอนาน เช้าวันต่อมากงจู่ก็เสด็จมาถึงพอดี

เมื่อยามบนกำแพงเห็นธงชัย เขาก็รีบวิ่งลงมาจากกำแพงเพื่อไปแจ้งอิงปู้ และถังหยินที่หลับอยู่ทันที เมื่อทั้งสองได้ยินข่าว พวกเขาก็รีบลุงขึ้นและสวมเกราะ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปยังกำแพงเมือง

ทั้งสองขึ้นมาและมองเห็นกองทหารม้า 2 แสนนายกำลังเข้ามาจากระยะไกล ธงชัยเป็นของแคว้นโม เมื่อคนพวกนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็พบว่ากองทหารม้าเหล่านี้มีชุดเกราะเบาที่ดูทรงพลัง และหมวกของทัพม้าที่ดูองอาจ

ทหารม้าพวกนี้นั้นเก่งกาจมากทีเดียว ซึ่งมันก็สามารถดูได้จากการเคลื่อนทัพของพวกเขา ที่ถึงแม้จะเร็วและมีทหารจำนวนมาก หากแต่ขบวนรบของพวกเขาก็ยังคงเคลื่อนตัวได้อย่างสวยงาม ช่างเป็นกองทหารที่สุดยอดมาก ! ถังหยินไม่คิดว่าพวกโมจะมีกองทหารม้าที่ดูองอาจได้ขนาดนี้มาก่อนเลย

“ไม่ใช่ศัตรู!” อิงปู้ตะโกน “ตรงกลางมีธงของกงจู่อยู่ เป็นกองทัพขององค์หญิง!”

“โฮ่?” ถังหยินเมื่อมองดูอีกครั้งก็เห็นถึงธงสีทองตรงกลางและมีคำ 2 คำสลักไว้ว่า เฮาเทียน

ด้วยความรวดเร็ว พวกทหารม้าพลันมาถึงจุดแบ่งเขตแดน แม่ทัพในชุดเกราะเบาพร้อมหมวกพู่สีขาวบนหัวได้วิ่งมายังป้อมปราการเล็กอย่างเร่งรีบแล้วตะโกนขึ้น “ข้าคือแม่ทัพเหลียวกังแห่งกองทหารอาชาทะยานฟ้าแคว้นโม เป็นผู้คุ้มครองฝ่าบาทมาส่งให้ถึงมือพวกเจ้า!”

แม่ทัพคนนี้มีอายุ 20 เท่านั้น เขาตะโกนออกมาด้วยความมั่นใจ แน่นอน! ถังหยินพยักหน้าให้อิงปู้ “ข้าจะไปต้อนรับองค์หญิงเอง แม่ทัพอิงอยู่ในเมืองเผื่อในกรณีฉุกเฉินก็แล้วกัน!”

“ได้เลย!” อิงปู้ยืนยัน “ระวังตัวด้วยแม่ทัพถัง”

“ไม่ต้องห่วงไป” ระหว่างที่พูดเขาก็รีบวิ่งลงไปด้านล่าง

อิงปู้ตะโกนกลับออกมา “ข้าคือแม่ทัพอิงปู้ ได้โปรดรอสักครู่”

แม่ทัพหนุ่มมองหน้าอิงปู้ ริมฝีปากของเขาบิดเล็กน้อย ก่อนที่จะเขายืนรอโดยไม่ตอบอะไรกลับไป ไม่นานนัก ถังหยินก็พากู่เยว่ หลีเทียน และหัวหน้ากองอีก 2 คนมากับเขาที่หน้าประตูเมือง

ชายหนุ่มขี่ม้าเข้าไปหาเหลียวกัง “ท่านแม่ทัพ รบกวนท่านพากองทหารขององค์หญิงเข้ามาได้เลย”

แม่ทัพหนุ่มมองถังหยินตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาสึกว่าอีกฝ่ายนั้นดูดีกว่าแม่ทัพบนเมืองเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงอดถามออกไปไม่ได้ว่า “เจ้าคือ…”

“แม่ทัพกองพันจากแคว้นเฟิง ถังหยิน!”

“เจ้าคือแม่ทัพสินะ” เหลียวกังเหยียดหยาม “ดูเหมือนว่าการรบกับพวกหนิง พวกเจ้าคงจะพ่ายแพ้มาสินะ ถึงได้ส่งแม่ทัพกองพันมาต้อนรับองค์หญิง น่าขันสิ้นดี!”

“ฮ่าๆ” ถังหยินหัวเราะ “เพื่อคุ้มครององค์หญิง แค่แม่ทัพกองพันที่มีฝีมือก็เกินพอแล้ว จะให้พวกเราเกณฑ์ทัพมายิ่งใหญ่ไปทำไมกัน?”

เหลียวกังหน้าแดงด้วยความโกรธ “นี่น่ะคือการแสดงถึงความเคารพต่อฝ่าบาท เจ้าไม่เข้าใจหรือยังไง?”