บทที่ 67 ขึ้นเขา

เช้าวันถัดมา ทุกคนได้รับแผนที่จากฮั่นเปียวที่ได้เตรียมไว้ให้และเตรียมที่จะขึ้นเขาไป

“พี่ใหญ่เฉิน ข้าไปกับท่านได้หรือไม่”

ด้วยการแสดงออกของเฉินเฉียงเมื่อคืนนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆแต่ก็กลับทำให้สองพี่น้องตระกูลฮั่นรู้สึกชิดใกล้กับเฉินเฉียงอย่างมาก และเมื่อได้รู้ว่าเฉินเฉียงและทุกคนมาทำภารกิจสังหารวานรเขี้ยววายุแล้ว นี่จึงทำให้ฮั่นหยูขอร้องที่จะติดตามไปด้วย

“น้องหยู แค่พวกเราก็เพียงพอที่จะจัดการวานรเขี้ยววายุแล้ว เจ้าควรจะรออยู่ที่นี่รอรับฟังข่าวดีจะดีกว่า”

หลิวซวนเอ๋อได้ช่วยเฉินเฉียงปฏิเสธฮั่นหยูแทน

ฮั่นหยูที่ได้ยินก็รู้สึกได้ว่าตามไปไม่ได้แน่ๆ ในที่สุดเธอจึงได้พูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ

“ก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกพี่สังหารวานรเขี้ยววายุได้ล่ะก็ พี่ใหญ่เฉิน ท่านต้องนำซากร่างของมันมาให้พวกเราระบายแค้นนะ”

เฉินเฉียงพยักหน้ารับในทันทีและพูดออกมา “อย่าเป็นกังวลไป เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะนำร่างของมันมาให้เจ้าได้ระบายแค้น”

ในความเป็นจริงแล้วเฉินเฉียงเองก็อายุน้อยกว่าฮั่นหยูอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อสาวน้อยคนนี้นับถือเขาจนเรียกว่าพี่ใหญ่ เขาเลยไม่รู้จะปฏิเสธออกมายังไงเหมือนกัน ได้แต่รับเอาไว้

“ศิษย์น้อง ไม่คิดเลยจริงๆว่าเพียงศิษย์น้องออกมาทำภารกิจเป็นครั้งแรก กับได้พบว่าที่ภรรยาแบบนี้ การมาทำภารกิจในครั้งนี้ของเจ้าช่างคุ้มค่านัก”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่กัว หากว่าข้าบอกศิษย์พี่หญิงหนี่ว่าท่านรู้จักสาวน้อยที่ข้างนอก ท่านคิดว่าศิษย์พี่หญิงจะว่ายังไงบ้าง”

คำพูดของเฉินเฉียงได้ผลอย่างชะงักงัน กัวเหลียงเลิกหยอกเย้าศิษย์น้องของตนในทันที

“ศิษย์น้องหลิว จากแผนที่ที่นายพลฮั่นให้พวกเรามานั้น อีกไกลแค่ไหนถึงจะเจอไอ้ลิงแก่นั่นกัน”

“ศิษย์พี่กัว ข้าลองคำนวณดูแล้วน่าจะปรมาณครึ่งวันก็จะเข้าเขตของวานรเขี้ยววายุนั่นแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี งั้นรีบๆทำให้มันเสร็จๆกันไป ข้าล่ะอยากจะสู้เต็มแก่แล้วเนี่ย จะได้รีบๆจบและกลับสำนักซะ”

กัวเหลียงได้หัวเราะออกมาและรีบพุ่งตรงไป

ที่ข้างหลังพวกเขาประมาณหนึ่งไมล์ ได้มีชายหกคนในชุดผ้าคลุมดำติดตามไปอยู่ห่างๆ

“ไอ้พวกนี้กินดื่มอย่างสุขสบายในอาณานิคมกันทั้งคืนทิ้งพวกเราให้คอยหนาวอยู่ด้านนอก ข้าล่ะอยากจะรีบเข้าไปเด็ดหัวไอ้คนแล่เนื้อนั่นให้มันจบๆไปซะ จะได้รีบกลับไปรายงานนายท่าน”

“น้องหก ลดเสียงลงหน่อยสิ อย่าได้ลืมไปว่ากัวเหลียงก็อยู่กับไอ้คนแล่เนื้อนั่นนะ ถ้ากัวเหลียงพบพวกเราเข้าล่ะก็อย่าได้หวังว่าพวกเราจะรอดกลับไปได้เลย”

หุบเขาอูฐนี้อย่างห่างจากอาณาคมของฮั่นเปียวสามร้อยไมล์ หากมองจากระยะไกลๆล่ะก็หุบเขาแห่งนี้จะมีลักษณะคล้ายโหนกอูฐ เป็นโหนกอูฐที่มีความสูงถึงพันเมตรเห็นจะได้

“ศิษย์พี่กัว ถ้าดูจากข้อมูลที่นายพลฮั่นมอบมาให้นั้น วานรเขี้ยววายุสมควรจะอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”

หลิวซวนเอ๋อได้มองไปยังแผนที่ในมือด้วยท่าทีที่จริงจัง

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องหลิวอย่าได้กังวลไป พวกเรามากันตั้งหลายคน กับอีแค่สัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นจะหลุดรอดเงื้อมมือพวกเราได้อย่างไร” กัวเหลียงได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส

คำพูดของกัวเหลียงนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายลง ความจริงแล้วพวกเขานั้นค่อนข้างที่จะหวั่นๆเหมือนกันตอนที่เข้ามาที่นี่

หุบเขาอูฐนี้ถึงแม้จะแร้นแค้นแต่ไม่เคยมีการปรากฏของสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อน วานรเขี้ยววายุตัวนี้เองสมควรจะมาจากที่อื่น

หากยึดตามข้อมูลของนายพลฮั่นแล้ว อย่างมาก พื้นที่แทบนี้จะมีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงระดับทหารขั้นกลางเท่านั้น

และนี่เองทำให้อาณานิคมเขาอูฐนั้นสามารถอยู่รอดมาได้อย่างไม่ยากเย็น นั่นก็เพราะพื้นที่โดยรอบไม่มีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งนั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าระดับทหารปรากฏขึ้นมา นั่นคือภัยคุกคามร้ายแรงของอาณานิคมอย่างไม่ต้องสงสัย

กลุ่มภารกิจ ได้เดินทางขึ้นเขามากว่าครึ่งวัน ถึงแม้จะต้องเจอกับสัตว์ประหลาดที่อยู่ในระดับทหารอยู่บ้าง แต่เพื่อต้องการเก็บเรี่ยวแรงไว้สู้กับวานรเขี้ยววายุ พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่สนใจ และสัตว์ประหลาดเอง เมื่อต้องเจอกับกลุ่มคนระดับนายพลวิญญาณมากมายแบบนี้ พวกมันเองก็ถอยห่างไปด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด นี่ทำให้ทุกคนระวังตัวมากขึ้น

“ศิษย์พี่หลิว หากพวกเรายังคงค้นหาต่อไปแบบนี้ไม่ดีแน่ ด้วยการที่สัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณจะมีวิธีการโจมตีที่หลากหลาย หากว่าพวกเราโดนโจมตียามค่ำคืนเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก”

“ข้าว่าพวกเราน่าจะลองส่งเสียงเพื่อล่อมันดูนะ”

ผู้ติดตามของหลิวซวนเอ๋อได้เสนอความคิดเห็น

“ก็ดีนะ ศิษย์น้องหลิว ข้าว่าความคิดนี้ก็ไม่เลว” กัวเหลียงนั้นแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้และพร้อมที่จะเผชิญหน้าได้ทุกเมื่อ เขาจึงเห็นด้วยเป็นคนแรก

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคิดจะปฏิเสธหรือออกความเห็นอีก หลิวซวนเอ๋อก็ได้พยักหน้ารับในทันที “ก็ได้ ยังไงซะพวกเราก็ต้องหามันให้พบอยู่แล้ว หากว่าสัตว์ประหลาดที่มาต่อให้ไม่ใช่ลิงแก่นั่น เราก็จะฆ่ามันและใช้กลิ่นเลือดล่อมันออกมา”

เพียงสิ้นคำพูดนี้ เฉินเฉียงได้กระซิบออกมา “ศิษย์พี่หลิว ตรงนั้นมีความเคลื่อนไหว”

“ศิษย์น้องเฉิน ทักษะของเจ้ามันห่วยแตกชะมัด หากว่ามีอันตรายจริงทำไมพวกเราไม่มีใครรู้สึกเลยล่ะ” ไป่ชิจิ้งที่ไม่ชอบเฉินเฉียงอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมีโอกาสจึงได้เชิดหน้าเหลือกตามองเฉินเฉียงและพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง

“ไอ้นรกโง่เง่า หุบปากเดี๋ยวนี้ ศิษย์น้องของข้าพูดถูกแล้ว”

กัวเหลี่ยงที่ในตอนนี้พึ่งจะเริ่มสัมผัสได้ก็อยากจะตรงเข้าไปต่อยปากไป่ชิจิ้งสักที แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เขาทำได้เพียงมองไป่ชิจิ้งอย่างขุ่นเคืองก่อนที่จะหันไปมองทิศทางเดียวกับเฉินเฉียง

มีเสียงหนึ่งค่อยๆวิ่งใกล้เข้ามา

“แพะเขาเดียวเหรอ” เมื่อทุกคนเห็นได้ชัดแล้ว หลิวซวนเอ๋อก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “สักสามสิบตัวเห็นจะได้”

ถึงแม้ว่าแพะเขาเดียวนี้จะมีเขาที่แหลมคมอยู่กลางหน้าผากแบบยูนิคอร์นก็ตาม พลังการโจมตีของมันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่ที่น่ากลัวก็คือความเร็วของพวกมัน อย่างน้อยๆในตอนนี้ก็ดูเหมือนพวกมันยังไม่เห็นพวกเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่า คืนนี้เรามีเนื้อแกะดีๆกินกันแล้ว”

ในเมื่อยังไงซะ เขาก็คิดที่จะสร้างเสียงเพื่อหลอกล่อลิงแก่นั่นมาอยู่แล้ว กัวเหลียงจึงตั้งใจจะเล่นใหญ่ไปเลย เข้าพุ่งเข้าใส่แพะเขาเดียวพวกนี้ในทันที

เฉินเฉียงและคนอื่นๆเองก็ได้รีบตามไปติดๆ

พวกเขาทั้งเจ็ดคนเมื่อไปถึงจุดที่แพะเขาเดียวอยู่ พวกมันตื่นตระหนกในทันทีที่รู้ตัว และนี่ทำให้พวกมันรวมตัวเบียดกันเหนียวแน่นตามสัญชาตญาณ

ด้วยการที่กัวเหลียงและคนอื่นๆนั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าพวกมัน แต่ในด้านความเร็วยังด้อยกว่ามาก

เป็นตอนนี้ที่พวกมันต่างพากันพุ่งทะยานไปยังทิศทางหนึ่งกว่าสามร้อยเมตรทั้งฝูง

เมื่อเห็นฉากนี้ กัวเหลียงและคนอื่นๆต่างรู้สึกช่วยไม่ได้และทำได้เพียงมองพวกมันห่างไปไกล

“อ๊า…. เนื้อของฉ้านนนนนน”

กัวเหลียงร้องโหยหวนออกมาในทันที

เพียงสิ้นเสียงของเขา สิ่งหนึ่งก็ได้พุ่งออกไปจากกลุ่มของเขารวดเร็วประดุจดั่งสายฟ้า

“ศิษย์น้อง”

ดวงตาของกัวเหลียงเบิกโพลงขึ้นในทันทีที่เห็น

เฉินเฉียงที่ในตอนนี้พุ่งตัวออกไปกว่าสามร้อยเมตร เขาได้ทะยานออกไปอีกครั้งกว่าหกร้อยเมตร

ด้วยทักษะย่างก้าวสวรรค์ของเขาในตอนนี้ เพียงแค่สองก้าวย่าง เขาก็ได้ติดตามฝูงแพะเขาเดียวได้ทัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง สุดยอด”

กัวเหลียงและพวกหยุดเท้าในทันทีที่เห็น

ด้วยความเร็วของพวกเขาแล้วตามไปก็เท่านั้น

และอย่างที่เขาคาดไว้ ไม่นาน เฉินเฉียงก็ได้วิ่งไปถึงแพะเขาเดียวหนึ่งและได้ฟันมันขาดครึ่งได้อย่างง่ายดาย

….

หลิวซวนเอ๋อและผู้ติดตามทั้งสี่ในตอนนี้ได้หากิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟและทำการย่างเนื้อแกะเขาเดียวที่ได้มา

“เป็นยังไงบ้าง พวกเจ้าเห็นความสามารถของศิษย์น้องข้าบ้างแล้วรึยัง”

กัวเหลียงที่ในตอนนี้กำลังยิ้มแย้มเพราะได้กลิ่นเนื้อแกะย่างที่ลอยโชยมานั้นได้มองไปที่ไป่ชิจิ้งด้วยมุมสายตาของตนในขณะที่พูดออกมาอย่างภูมิใจเมื่อครู่นี้

เพียงนึกถึงเรื่องที่ไป่ชิจิ้งและผู้ติดตามคนอื่นๆของหลิวซวนเอ๋อที่คอยดูแคลนศิษย์น้องสุดรักอย่างเฉินเฉียงของเขาแล้วทำให้เขาพูดออกมาอย่างไม่แยแส นี่ทำให้ทั้งสี่คนทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะยังไงซะกัวเหลียงก็แกร่งกว่าพวกเขา

เมื่อเห็นว่าเนื้อแพะเขาเดียวสุกกำลังได้ที่ ทุกคนในตอนนี้ก็เริ่มน้ำลายสอกันแล้ว แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ เสียงวิ่งหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจนตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้ยิน

เมื่อกัวเหลียงหันไปเห็น เขาก็กัดฟันในทันที

“ไอ้พวกแพะโง่นี่อีกแล้ว ศิษย์น้อง ไปจับพวกมันกันดีกว่า เอาพวกมันไปให้ฮั่นเปียวได้ลิ้มลองเนื้อรสชาติดีๆสักหน่อย”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางของแพะเขาเดียวพวกนี้แล้วทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป

นั่นก็เพราะท่าทางของพวกมันตื่นกลัวสุดขีดประหนึ่งดังวิ่งหนีมาอย่างไม่คิดชีวิต