ตอนที่ 70 น้องชายของเธอยังไม่มีฟันเลย

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 70 น้องชายของเธอยังไม่มีฟันเลย

ซูตานหงได้ยินแล้วรู้สึกตื้นตันใจมาก เธอเองก็กังวลเช่นกันว่าเขาจะคิดมากเกินไป วันเวลาของเธอกำลังเงียบสงบและมีความสุขอยู่แล้ว เธอจึงไม่อยากให้มีช่องว่างระหว่างพวกเขาเกิดขึ้น

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอจึงอยากบอกเขา

และไม่คิดเลยว่าเขาจะใจกว้างขนาดนี้

“งั้นคุณก็ต้องดูแลฉันให้ดี ๆ นะคะ ฉันขอบอกคุณไว้เลยว่าถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ถ้าคุณกล้าปฏิบัติไม่ดีกับฉัน หรือกล้าจะเลียนแบบการกระทำของผู้ชายนอกบ้านพวกนั้น ฉันจะหอบลูกชายเราเหาะหนีไปเป็นนางฟ้ากับเทวดาตัวน้อยบนสวรรค์ และปล่อยให้คุณเป็นชายโสดตัวคนเดียวอยู่ในโลกมนุษย์นี้!” ซูตานหงกล่าว

จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ฟังก็ยิ้มกว้าง “งั้นก็เกรงว่าคุณจะต้องอยู่กับผมในโลกมนุษย์นี่ไปชั่วชีวิตแล้วล่ะครับ”

ซูตานหงรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงเอ่ยต่อ “พูดไปก็ไร้ประโยชน์ค่ะ ต้องดูสิ่งที่คุณทำในภายภาคหน้า วันเวลายังอีกยาวไกลนะคะ”

ทั้งคู่เดินทอดน่องไปทั่วทั้งภูเขา และซูตานหงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากกลับบ้าน เนื่องจากคิดถึงลูกชายมากเหลือเกิน

เธอไม่เคยห่างจากเหรินเหรินน้อยนานกว่า 1 เดือน เพียงแค่จากมาชั่วครู่ก็รู้สึกเป็นกังวลมากแล้ว

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงพาเธอกลับไป

ซูตานหงมอบบัวรดน้ำให้เขาถือ จากนั้นก็เอ่ยทักคุณแม่จี้ก่อนกลับเข้าไปดูลูกชายในห้อง ซึ่งตอนนี้เขายังคงนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย

“ตั้งแต่ที่เธอออกไป เขาก็ยังไม่ตื่นเลยล่ะ” คุณแม่จี้ยิ้ม

ก่อนหน้านี้นางก็มาดูแลหลานชายของนาง ทั้งขาวทั้งอวบขนาดนี้ ไม่ต้องบอกเลยว่าจะน่าหมั่นเขี้ยวขนาดไหน

“ช่วงนี้เขานอนหลับเป็นว่าเล่นเลยนะครับ เหมือนแม่ของเขาเลย ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่รู้สึกตัว” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

ซูตานหงหน้าแดง “อย่าว่าฉันเลยค่ะ ฉันแค่เพลีย แล้วที่บ้านก็มีต้าเฮยเฝ้าอยู่ แถมคุณเองก็อยู่ใกล้ ๆ จะไม่ให้ฉันทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเหรอคะ?”

คุณแม่จี้ยิ้ม

“คุณแม่นั่งลงก่อนค่ะ ฉันจะปักผ้าต่อ ถ้าเด็กตื่นแล้วฉันจะปักต่อไม่ได้” ซูตานหงบอก

“อืม งั้นแม่นั่งนะ” คุณแม่จี้พยักหน้าและนั่งแยกถั่วต่อ จากนั้นก็คุยกับจี้เจี้ยนอวิ๋นถึงเทศกาลปีใหม่ปีนี้ “เจี้ยนเหวินโทรกลับมาบอกว่าปีนี้เขาจะกลับมาเร็วหน่อยน่ะ”

“อืม” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร

“เจี้ยนอวิ๋น พ่อกับแม่อดช่วยเขาไม่ได้น่ะ ตอนนั้นเจี้ยนเหวินเพิ่งจะได้เป็นพ่อคน แล้วเขาก็อยู่ในเมืองเจียงสุ่ยตัวคนเดียว ลี่ลี่เลยพูดว่าจะซื้อบ้านอยู่ เพราะถ้าเช่าเขาอยู่ก็อาจเลี้ยงดูหลานสาวของแกได้ไม่พอ แล้วในตอนนั้นบ้านยังราคาถูกมากอยู่ พ่อกับแม่ก็เลยต้องออกเงินช่วยเขาไป” คุณแม่จี้บอก

“ผมรู้แล้วครับ เรื่องนี้มันก็ผ่านไปแล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ

ความจริงแล้วเขานึกตำหนิน้องชายสี่ที่กล้าขอเงินส่วนแบ่งของพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรอง ซึ่งการเช่าบ้านในเมืองเจียงสุ่ยไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย

อย่างไรก็ตามเขายังเป็นลูกชายคนหนึ่ง จึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย แต่นับตั้งแต่เด็กมาจนโต พวกเขาก็เอาแต่ตามใจลูกชายคนที่สี่อยู่ตลอด

ซึ่งเรื่องนี้ยังคงทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ

ดังนั้นเมื่อแม่ของเขาเอ่ยแบบนี้ขึ้นมา เขาก็อยากจะเปิดใจ

แค่มีชีวิตอยู่ด้วยตัวเองให้ดีก็พอแล้ว คนอื่นนั้นไม่ต้องไปสนใจ

“คราวที่แล้วเจี้ยนเหวินโทรมาบอกว่าราคาบ้านเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 40 หยวนต่อตารางเมตรแล้ว ก่อนหน้านั้นที่ซื้อไปยังนับว่าถูกมาก คือแค่ 20 กว่าหยวนต่อตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งมันเพิ่มมาสองเท่าเลย แล้วบ้านนี้ก็ถือว่าซื้อมาอย่างถูกต้องแล้วด้วย อวิ๋นอวิ๋นจะได้เรียนในเมืองได้โดยไม่ต้องออกไปเช่าหออยู่ แค่ได้อยู่กับเจี้ยนเหวินก็ประหยัดเงินไปได้มากแล้ว” คุณแม่จี้พูด

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า

พวกเขาเองก็มีบ้านอยู่ในเมืองเจียงสุ่ยเหมือนกัน ขนาดใหญ่กว่าบ้านที่น้องชายสี่อยู่เสียอีก น้องชายสี่ของเขาซื้อมาเพียง 80 ตารางเมตร ส่วนภรรยาของเขาซื้อมาในขนาด 108 ตารางเมตรในชุมชนแถวนั้น

ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่กว่าเป็นเกือบ 30 ตารางเมตรเลยทีเดียว

แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่คิดจะบอกเช่นกัน

“แล้วเจี้ยนเหวินก็ยังบอกอีกว่าถ้าแกมีเงินก็ให้ซื้อห้องชุดในตลาดไว้สักห้อง ต่อไปราคามันจะเพิ่มสูงขึ้น ถ้าแกไม่อยากอยู่ก็เก็บไว้ขายทีหลัง ซึ่งแกจะได้เงินเยอะมากเลยทีเดียว” คุณแม่จี้พูดต่อ

“ตอนนี้ผมใช้จ่ายไปกับทางบ้านหมดแล้วครับ จะมีเงินพอได้ยังไง” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบอย่างไม่ลังเล

ถ้าอยากจะซื้อบ้านจริง ๆ ก็ค่อยถามหงเจี่ย หล่อนรู้จักคุ้นเคยกับการซื้อห้องชุดในย่านโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมาก จำเป็นต้องฟังที่จี้เจี้ยนเหวินบอกด้วยเหรอ?

และถ้าฟังที่จี้เจี้ยนเหวินบอกจริง ๆ มันก็จะมีปัญหาเรื่องเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ เกิดครั้งหน้าอวิ๋นลี่ลี่มายืมเงินไปซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์อะไรอีกจะให้หล่อนยืมไหมล่ะ? ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้แหละ

จึ้เจี้ยนอวิ๋นจึงเอ่ยตัดบทในทันที ครอบครัวของเขามีห้องชุดสามห้องแล้วทั้งในเมืองเจียงสุ่ยกับในย่านมหาวิทยาลัย แค่นี้ก็ถือว่าพอแล้ว เขาไม่ต้องซื้ออะไรอีก

คุณแม่จี้ไม่รู้ว่าลูกชายที่ดูเหมือนจะว่าง่ายคนนี้คิดอะไรอยู่ นางจึงกล่าวเพียงว่า “แม่บอกเจี้ยนเหวินไปแล้วล่ะว่าตอนนี้แกเป็นพ่อคนแล้ว แกต้องใช้เงินกับทุกอย่างนอกบ้านแต่ยังไม่มีเงินอยู่แบบนี้ แล้วแกจะซื้อบ้านในเมืองเจียงสุ่ยได้ตอนไหนกัน?”

ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น คราวที่แล้วเขาก็ซื้อตู้เย็นกับเครื่องซักผ้ามา คิดเป็นเงินหลายร้อยหยวน แถมยังมีเงินค่าลูกแกะ ลูกเจี๊ยบ เงินเดือนที่จะให้จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งอีก ซึ่งคุณแม่จี้คิดแล้วก็ท้อใจนัก

นางหวังว่าตอนนี้ลูกเจี๊ยบทั้งหมดจะเติบโตได้อย่างดี เพื่อจะได้ขายในต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าได้ ถึงตอนนั้นนางคงได้เงินคืนแล้วใช่หรือไม่?

คิดดังนี้นางก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ยถาม “เจี้ยนอวิ๋น ตานหงได้ไปเห็นลูกเจี๊ยบหรือยัง?”

“เห็นแล้วครับ ตานหงบอกว่าลูกเจี๊ยบพวกนี้โตดีมาก” จี้เจี้ยนอวิ๋นหรือจะไม่รู้ว่านางหมายถึงอะไร? เขาตอบด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าพวกมันโตดี แกก็ตุ๋นไก่ให้เซียนจิ้งจอกกินเพิ่มอีกในปีหน้าสิ” คุณแม่จี้บอก

จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ฟังก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม่ของเขาพูดอะไรอยู่เนี่ย?

ช่วงอยู่ไฟหลังคลอด ภรรยาของเขาก็ไม่ได้กินไก่มากนัก เธอดื่มแค่น้ำแกงเท่านั้นแล้วก็กินน่องไก่แค่สองอัน ที่เหลือล้วนลงท้องของเขาหมด

ภรรยาของเขาต้องอยู่ไฟนานเป็นเดือน เขาก็เลยต้องกินไก่ตลอดทั้งเดือน

“อืม ถ้าถึงเวลานั้นก็ตุ๋นให้ภรรยาผมกินอีกแล้วกันครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้ปฏิเสธ ได้แต่พูดตามน้ำไป

คุณแม่จี้ได้ยินก็พอใจมาก หลังพยักหน้าแล้วนางก็ทำการคัดถั่วต่อ

ในตอนเย็น โหวหวาจือก็กลับมาจากโรงเรียนและมาที่นี่เพื่อมาดูน้องชายตัวน้อย เมื่อเขามาถึง เหรินเหรินน้อยก็ตื่นแล้วและส่งเสียงร้องไห้โยเยอยู่บนเตียง

“น้องชาย” โหวหวาจือปราดเข้ามาหาและทำท่าจะอุ้มเหรินเหริน แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ห้ามไว้และเอ่ยขึ้น “น้องตัวหนักนะ เธออุ้มไม่ไหวหรอก ถ้าเขาถูกจับมาก ๆ เขาก็จะฉี่ใส่เธอ”

ครั้นพูดจบเขาก็อุ้มเหรินเหรินที่ตื่นแล้วไปปัสสาวะ โหวหวาจือผู้มองโลกในแง่ดีเห็นดังนั้นก็ตกใจ “โชคดีแล้วที่ผมไม่ได้อุ้มเขา ไม่งั้นคืนนี้ผมต้องอาบน้ำแน่ ผมเกลียดการอาบน้ำที่สุด มันโคตรหนาวเลย”

ตอนนี้อากาศเย็นลงแล้ว ทำให้เขาเริ่มไม่ค่อยอาบน้ำมากขึ้น

“มีน้ำร้อนอยู่ในครัวน่ะ เธอตักมาล้างมือซะ วันนี้อาสะใภ้สามทำเกี๊ยวไว้ เธอไปขอกินสักชามได้” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“ครับ!” โหวหวาจือรับคำด้วยดวงตาเป็นประกาย

ตอนนี้ซูตานหงกำลังหมักหมูสามชั้นอยู่ เมื่อเห็นเด็กชายเข้ามา เธอก็ยิ้มและเอ่ยทัก “เลิกเรียนแล้วเหรอจ๊ะ?”

“ครับ อาสะใภ้สาม ผมอยากกินเกี๊ยวจังเลยครับ” โหวหวาจือเอ่ย

“งั้นอาจะตักให้ชามหนึ่งนะจ๊ะ” ซูตานหงพยักหน้าและตักเกี๊ยวให้โหวหวาจือหนึ่งชาม พอ 10 นาทีผ่านไปเขาก็กินหมดเกลี้ยงและมีสีหน้าพึงพอใจมาก เกี๊ยวแต่ละตัวอัดแน่นไปด้วยเนื้อและมีกลิ่นหอมน่ารับประทานเป็นพิเศษ ทำให้เขาเอ่ยออกมาด้วยความอิจฉา “ผมไม่ได้มาหาน้องชายตั้งหลายวัน น้องผมก็อ้วนขนาดนี้แล้ว”

มีอาหารอร่อย ๆ แบบนี้กินทุกวัน แล้วน้องชายของเขาจะไม่อ้วนได้อย่างไร?

“น้องชายของเธอยังไม่มีฟันเลยจ้ะ” ซูตานหงยิ้มและเอ่ยขึ้นอย่างรับรู้ว่าเด็กชายหมายถึงอะไร

…………………………………………