ตอนที่ 71 เดือนสิบสองทางจันทรคติ
“ยังไม่มีฟันเลยเหรอครับ?” โหวหวาจืออึ้งไป “แล้วน้องกินอะไรล่ะครับเนี่ย?”
“ตอนนี้น้องดื่มได้แค่นมผงน่ะจ้ะ ถ้าโตขึ้นมาหน่อยก็กินข้าวบดได้” ซูตานหงบอก
โหวหวาจือพยักหน้า “น้องชายผมโตเร็วมาก เขาดื่มไม่พอหรอกครับ ขนาดผมดื่มแล้วออกไปวิ่งเล่นยังหิวขึ้นมาอีกรอบเลย”
คราวที่แล้วที่เขามาที่นี่ เขาก็เห็นอาสะใภ้สามกำลังชงนมผงอยู่ จึงเกิดอยากกินขึ้นมาบ้าง แม้มันจะเป็นของที่ให้น้องชายของเขาดื่ม และคุณย่าก็เคยสอนเขาว่าเขาโตแล้วไม่ควรแย่งของกินของน้อง แต่เขารู้สึกอยากกินเหลือเกิน เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินของแบบนี้เลย จึงรู้สึกอยากชิมมาก ๆ
อาสะใภ้สามจึงชงให้เขาชามหนึ่ง ซึ่งแทบจะเหมือนกับของที่น้องชายกิน หลังดื่มเข้าไปแล้วเขาก็พอใจมาก นมผงนี้รสชาติดีเหลือเกิน แต่เสียอย่างเดียวที่มันไม่อยู่ท้อง ดื่มไปได้แค่ครู่เดียวเขาก็รู้สึกหิวอีกแล้ว
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณย่าถึงบอกว่ามันเป็นของกินของน้องชาย น้องของเขายังเดินหรือออกไปเล่นไม่ได้ จึงกินแค่นมผงแล้วรู้สึกอิ่ม แต่ตัวเขาเองทำแบบนั้นไม่ได้เลย
เขายังต้องกินอะไรต่ออีก
แล้วเกี๊ยวนี่ก็อร่อยมาก
ซูตานหงที่ไม่รู้ว่าเด็กชายกำลังคิดอะไรนั้นกำลังทำหมูสามชั้นหมักอยู่ จี้เจี้ยนอวิ๋นชอบกินของสิ่งนี้มาก เธอจึงขอให้เขาซื้อเนื้อหมูมานิดหน่อย แค่ 8 หรือ 9 ชั่งเท่านั้น
โหวหวาจือกินอิ่มแล้ว เขาจึงมาเล่นกับเหรินเหรินพลางทำการบ้านไปด้วย เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลากลับแล้ว จึงกลับบ้านไปพร้อมกับกระเป๋านักเรียน
“เจ้าเด็กเหลือขอทำไมกลับมาป่านนี้ ออกไปเล่นเถลไถลที่ไหนมา? แล้วนี่ทำการบ้านหรือยัง?” เฝิงฟางฟางเอ่ยเมื่อเห็นลูกชายกลับมาถึง
“วันนี้ผมไปเล่นที่บ้านคุณอาสามมาครับ และก็ทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย ผมถามการบ้านคุณอาสาม เขาบอกว่าผมทำถูกหมด แต่ก็วงจุดที่ผิดให้สองข้อให้ผมไปแก้ใหม่ แล้วผมก็แก้จนถูกแล้ว!” โหวหวาจือเอ่ยในทันที
เฝิงฟางฟางได้ยินแล้วไม่เอ่ยอะไร เพียงพูดว่า “ไปวางกระเป๋านักเรียนแล้วเตรียมมากินข้าวเย็นได้แล้ว”
“แม่กับพ่อกินกันได้เลยครับ ผมกินมาแล้วจากบ้านคุณอาสาม อาสะใภ้สามให้ผมกินเกี๊ยวชามใหญ่เลย ตอนนี้ผมจุกมาก สาบานได้” โหวหวาจือพูดเสร็จก็เดินเข้าบ้านไป
คุณอาสามอธิบายบางอย่างให้เขาได้ฟัง เขาเป็นพี่ชายคนโตต้องขยันเรียนอย่างหนัก ในอนาคตถ้าน้องชายของเขาโตขึ้นและได้ไปโรงเรียน เขาจะเป็นคนสอนน้องชายของเขาเอง
ถ้าเขาถูกน้องชายถามแล้วตอบไม่ได้ เขาที่เป็นพี่ชายจะรู้สึกอับอายขนาดไหน?
เฝิงฟางฟางได้ยินเขาบอกแบบนั้นก็ไม่สนใจอีก
“ลูกไปกินข้าวบ้านคุณอาสามมาเหรอครับ?” จี้เจี้ยนกั๋วถามที่โต๊ะอาหารเย็น
“ค่ะ เด็กนั่นบอกว่าเขากินเกี๊ยวชามใหญ่มา” เฝิงฟางฟางยิ้ม หล่อนรู้สึกว่าตอนนี้ตานหงปรับปรุงตัวดีขึ้นแม้จะดูประหลาดไปสักนิดก็ตาม ดูสิ ลูกชายของหล่อนได้กินของดี ๆ บ้างแล้ว
จี้เจี้ยนกั๋วไม่เอ่ยอะไร เพียงพูดว่า “ลูกเราอยากกินเนื้อ แต่คุณกลับซื้อเนื้อมาเป็นครั้งคราวเนี่ยนะ คุณเองก็ทำเงินได้จากการขายธัญพืชที่เก็บไว้คราวที่แล้วนะ”
“แล้วมันได้เท่าไหร่ล่ะคะ?” เฝิงฟางฟางมองค้อนสามี
ชีวิตความเป็นอยู่ของหล่อนสบายดีอยู่แล้ว อีกอย่างก็ใกล้ถึงคราวซ่อมแซมบ้านของพวกเขาใหม่ด้วย ซึ่งหล่อนวางแผนไว้ว่าจะซ่อมบ้านในปีหน้า เมื่อเวลานั้นมาถึง บ้านของพวกเขาก็จะดูเหมือนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก มีไม่กี่ครอบครัวในหมู่บ้านหรอกที่จะได้ทำแบบนี้
ส่วนเรื่องเนื้อน่ะเหรอ?
แค่ซื้อเนื้อ 1 หรือ 2 ชั่งครึ่งต่อสัปดาห์ก็พอบรรเทาความอยากไปได้แล้ว ในอดีตไม่มีแม้กระทั่งข้าวให้กินเสียด้วยซ้ำ
พอจี้เจี้ยนกั๋วได้ยินหล่อนคุยเรื่องจะปรับปรุงบ้านขึ้นมา เขาก็คล้อยตามบ้างเหมือนกันและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อืม ถ้างั้นก็เอาตามที่คุณว่าเถอะ ประหยัดไว้สักหน่อย”
เขาเองก็อยากซ่อมบ้านใหม่เหมือนกัน บ้านหลังนี้พวกเขาสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ในช่วงที่แยกครอบครัวใหม่ ๆ และมันก็ผุพังใช้อยู่อาศัยไม่ได้แล้ว ทุกฤดูหนาวภายในบ้านก็จะหนาวเย็นและมีลมโชยเข้ามาตามรอยแยก ในตอนนี้พวกเขาเก็บเงินไว้ได้ไม่น้อยแล้ว หากอยากจะซ่อมบ้านก็สามารถซ่อมได้!
“ปีหน้าคุณพ่อคงไม่มีเวลามาจัดการที่ดินแน่ ผมเลยวางแผนจะคุยกับพ่อแม่ว่าจะขอที่ดินมาบางส่วน หากถึงคราวรวบรวมผลผลิตเมื่อไหร่ เราก็จะขนข้าวของเราไปให้คุณพ่อ” จี้เจี้ยนกั๋วพูด
คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้เลิกทำงานในไร่ในนาไปนานแล้ว แต่ต่อให้พวกเขาไม่ได้ทำงาน พวกเขาก็ยังมีที่ดินของตัวเองอยู่ 3 หมู่ โดย 2 หมู่ใช้ปลูกข้าวไว้กินเอง ส่วนอีก 1 หมู่ใช้ปลูกมันเทศ ถั่วลิสง งา และอื่น ๆ ซึ่งถือว่าไม่มากนัก ขนาดที่มีคุณแม่จี้คนเดียวก็สามารถจัดการได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากจะมีที่ดินไว้ปลูกอะไรเป็นของตัวเองบ้าง
ต้องบอกว่าปีนี้มีผลผลิตในปริมาณมาก และถูกขายไปทั้งหมดในราคา 20 หยวน
นี่ถือว่าเป็นรายได้มหาศาล แทบเรียกได้ว่ามากกว่าปีก่อน ๆ เสียอีก เป็นเพราะราคาข้าวในปีนี้เพิ่มสูงขึ้น
หากมีข้าวมากพอกินในครอบครัวแล้ว ส่วนที่เหลือก็สามารถนำไปขายได้ ซึ่งเงินก้อนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเงินส่วนเกินที่สามารถเก็บออมเอาไว้ได้
“งั้นคุณก็ไปคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อเถอะค่ะ” เฝิงฟางฟางพูด
วันต่อมา จี้เจี้ยนกั๋วจึงได้ขึ้นภูเขาไปเพื่อหาพ่อของเขา
“ที่ดิน 3 หมู่นั่นต่อไปจะเป็นของเจี้ยนอวิ๋น เพราะเขาไม่มีที่ดินอะไรเป็นของตัวเอง ฉันก็เลยจะให้เขาไป แต่พวกแกไม่ต้องห่วงหรอก ปีหน้าเขาจะเป็นคนดูแลที่นาของแม่ พวกแกไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น” คุณพ่อจี้พูด
จี้เจี้ยนกั๋วถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ครับพ่อ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เจี้ยนอวิ๋นยุ่งอยู่กับการจัดการสวนผลไม้อยู่แล้ว ทำไมเขาถึงอยากได้ที่ดินตรงนี้อีกล่ะครับ? เขาจะใช้ทำอะไรเหรอ?”
“เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าเขาอยากปลูกข้าวไว้กินเองที่บ้านน่ะ แล้วก็จะได้ขายหารายได้ด้วย ซื้อข้าวมามันก็ต้องเสียเงินเหมือนกันนะ ตอนนี้เขาเสียค่าใช้จ่ายไปแทบทุกอย่าง เลยอยากหารายได้เข้ามาเก็บไว้บ้างน่ะ” คุณพ่อจี้ตอบ
จี้เจี้ยนกั๋วได้ยินดังนี้แล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
เมื่อรอจนจี้เจี้ยนอวิ๋นขึ้นมาบนภูเขาเพื่อให้อาหารสุนัขทั้งสามตัวที่อยู่บนนี้แล้ว คุณพ่อจี้ก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษพี่ใหญ่ด้วยนะครับ”
“อืม ฉันบอกเขาแล้วล่ะ” คุณพ่อจี้พยักหน้า
จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คุยหัวข้อนี้กันต่อ
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้บอกความจริงไปว่าเป็นภรรยาของเขาที่อยากได้ที่ดิน 3 หมู่นี้ เพื่อที่จะได้ปลูกธัญพืชไว้กินเองที่บ้าน และจะปลูกเหมือนกับที่แม่ของเขาปลูกในฤดูก่อน นั่นคือนาข้าว 2 หมู่ อีก 1 หมู่ปลูกมันเทศ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง งา และอื่น ๆ ที่ต้องการใช้ที่บ้าน
จี้เจี้ยนอวิ๋นที่รักภรรยามากจะไม่สามารถสนองคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ของเธอได้อย่างไรล่ะ?
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทางโรงสีประจำเมืองก็มีการขนส่งรำข้าว 7 หรือ 8 กระสอบด้วยรถสามล้อ และยังมีข้าวเก่าจำนวนมากที่ยังไม่ขึ้นราแต่มีมอดขึ้นเต็มอยู่เป็นจำนวนมาก จี้เจี้ยนอวิ๋นเคยไปขอไว้ตอนที่เขาไปเห็นเมื่อก่อนหน้านี้ และตอนนี้มันก็ถูกส่งมาเก็บไว้แล้ว
มีข้าวพวกนี้สะสมไว้ในยุ้งแล้ว เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอาหารเลี้ยงไก่ในฤดูหนาวนี้เลย
ใน 2 วันที่ผ่านมานี้ ภรรยาของเขายังคงง่วนอยู่กับการสร้างโรงเรีอนปลูกดอกไม้ในสวนหลังบ้าน โดยที่เขาเป็นคนขนดินจำนวนมากไปไว้ในนั้น บางทีในฤดูหนาวนี้บรรดาไก่ที่อยู่บนภูเขาคงจะได้กินใบผักสดจำนวนมากเสียแล้ว
อากาศหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ และในที่สุดเดือนสิบสองทางจันทรคติก็ได้มาถึง
เหรินเหรินน้อยมีอายุได้ 2 เดือนแล้วเช่นกันและเติบโตอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาแสดงสีหน้าท่าทางในทุกวันได้ยาวนานขึ้นแล้ว และต้องมีใครสักคนอยู่กับเขาด้วย เมื่อมีคนอยู่ด้วยกันกับเขา เขาจะเล่นกับตัวเองได้เป็นเวลานานโดยไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่น แต่ถ้าไม่มีใครอยู่กับเขา เขาก็จะแผดเสียงดังลั่นในทันที
ในวันนั้นเอง ซูตานหงกำลังร้องเพลงกล่อมเด็กอยู่ขณะที่นั่งปักดอกไม้ ในตอนที่ส่งเสียงกล่อมลูกชายนั้น เธอก็ได้ยินเสียงต้าเฮยเห่ากรรโชกดังขึ้นด้านนอกบ้าน
จากนั้นก็มีเสียงแหวลั่นด้วยความโมโหของจี้อวิ๋นอวิ๋นดังตามมา “ไอ้หยา พี่สาม ทำไมพี่มีหมาตัวเบ้อเริ่มอยู่ในบ้านด้วยล่ะ มันดุมากไหมเนี่ย?…แกจะกัดฉันเหรอ?…พี่สาม ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ซูตานหงจึงนึกขึ้นได้เองว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นกลับมาเนื่องในวันหยุดยาว สีหน้าของเธอดูราบเรียบไร้อารมณ์ขึ้นมาฉับพลัน แต่นั่นก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน ถ้าเธอไม่ออกไป ต้าเฮยคงกระโจนเข้าไปกัดหล่อนแน่
“มา ออกไปกับหม่าม้ากันนะ” ซูตานหงอุ้มลูกชายแล้วเดินออกมา
……………………………………………