“ยูนิคอร์นสีนิลไปไหนแล้ว?”
เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของยูนิคอร์นสีนิล ชื่อเซียวก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
‘ในเมื่อมันเป็นผู้ลักพาฉินอวี้โม่เข้ามาในนี้ แล้วตอนนี้เจ้าอสูรศักดิ์สิทธิ์นั่นมันหายตัวไปไหนเสียเล่า?’
เขาไม่ทันได้สังเกตสิ่งมีชีวิตสีดำตัวน้อยๆ ที่อยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่เลย แน่นอนว่าเขาต้องคิดไม่ถึงว่ายูนิคอร์นสีนิลที่น่าเกรงขามจะกลายเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่และกำลังนอนขดเป็นก้อนอยู่บนไหล่ของนาง
หานโม่ฉือมองดูสิ่งมีชีวิตตัวเล็กสีดำบนไหล่ของฉินอวี้โม่ด้วยสายตาครุ่นคิด และดูเหมือนว่าเขาจะพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
“ข้าไล่มันไปแล้ว”
หานโม่ฉือที่ไม่ค่อยพูดกล่าวขึ้นมา ในเมื่อผู้ที่ปกติแทบไม่เคยเปิดปากเอ่ยวาจาเป็นผู้กล่าวออกมาเองเช่นนี้ คนอื่นที่ได้ยินไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
เมื่อรู้ว่าหานโม่ฉือจงใจช่วยนางปกปิดเรื่องของเสี่ยวเฮย ฉินอวี้โม่ก็หันมาส่งยิ้มงดงามให้บุรุษมนุษย์น้ำแข็งและไม่เอ่ยสิ่งใด
“งั้นหรือ แต่ก็เอาเถอะ ขอเพียงแค่ทุกคนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ชื่อเซียวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาหันไปสำรวจดูรอบๆ โถงถ้ำที่กำลังยืนอยู่ในตอนนี้ ทันใดนั้นเองเขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นต้นหญ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สองต้น รูปลักษณ์ของมันดูคุ้นตาเขาอย่างมาก
“เอ๊ะ นั่นมัน…หรือจะเป็นสมุนไพรที่ตระกูลอู๋ให้เราตามหา?”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชื่อเซียวก็รีบวิ่งเข้าไปถอนต้นหนึ่งขึ้นมา
ต้นไม้ทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกับหญ้าสีเขียวธรรมดาๆ ทุกประการ ถ้าหากชื่อเซียวไม่ได้เป็นคนพูดว่ามันเป็นสมุนไพรที่เขาตามหา ฉินอวี้โม่คิดว่าตัวนางไม่มีทางดูออกเลยว่าสิ่งนี้คือสมุนไพร
“เช่นนั้น เดี๋ยวข้าช่วยอีกแรง”
ฉินอวี้โม่ไม่พูดมากความ เมื่อกล่าวจบนางก็ลงมือถอนเอาต้นสมุนไพรอีกต้นหนึ่งขึ้นมา
แต่พอถอนขึ้นมานางกลับพบว่ามันเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ในมือของหัวหน้ากองทหารรับจ้าง ต้นไม้นี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับโสมที่เธอเคยเห็นในศตวรรษที่ 21 แต่ทว่าก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว
และดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สมุนไพรที่ชื่อเซียวต้องการ นางจึงนำพวกมันใส่ไว้ในแหวนมิติเผื่อเอาไว้สำหรับนำออกไปขายในภายหลังก่อนจะมุ่งหน้าค้นหาต้นไม้ที่หน้าตาเหมือนที่ชื่อเซียวถืออยู่และลงมือช่วยเขาเก็บสมุนไพรต่อ
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ชื่อเซียวคำนับฉินอวี้โม่และกล่าวขอบคุณนาง
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ หากไม่เป็นเพราะชื่อเซียวพวกเขาก็คงไม่พบถ้ำที่อยู่ของยูนิคอร์นสีนิลได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ และนางเองก็จะไม่ได้เจอกับลาภก้อนใหญ่นั้นด้วย
แม้ว่าตอนนี้นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูจะมีเรื่องราวที่สงสัยอยู่เต็มไปหัวหมด แต่เนื่องจากซิวกำลังนอนหลับอยู่ เธอจึงทำได้เพียงแค่รอคอยให้สหายประหลาดตื่นขึ้นมาเท่านั้น
“ไปกันเถอะ ในเมื่อพวกเราต่างก็บรรลุภารกิจแล้วเราก็ควรกลับกันได้แล้วล่ะ”
เวลานี้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วนับตั้งแต่ตอนที่นางออกมาจากเมืองหลิงซี ฉินอวี้โม่เกรงว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วจะเป็นกังวลที่นางจากมานาน
ทั้งชื่อเซียวกับหานโม่ฉือพยักหน้ารับ จากนั้นคนทั้งสามก็รีบเร่งเดินออกไปด้านนอก ในระหว่างทางที่กำลังเดินออกไปนั้น ฉินอวี้โม่ก็ทำทีเดินรั้งท้ายและแอบนำยูนิคอร์นตัวน้อยใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ต้องถือว่าโชคยังดีที่ชื่อเซียวผู้ตาเซ่อ มองไม่เห็นมันก่อนหน้านี้
หลังจากเดินมาได้ไม่นานนักพวกเขาทั้งสามก็พบกับหน่วยที่หนึ่งแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่อยู่ระหว่าง ชื่อเซียวถามไถ่อาการบาดเจ็บของลูกน้องในบัญชาจนมั่นใจว่าทุกคนปลอดภัยก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินออกจากถ้ำ
ทันทีที่ออกมาจากถ้ำยูนิคอร์นได้ พวกเขาก็มองเห็นรอยเลือดและศพกระจายตัวอยู่เกลื่อนกลาดทั่วบริเวณ….
ศพเหล่านั้นคือซากของเหล่าอสูรมายาที่ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าถ้ำ ส่วนบุรุษชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็นั่งรอกันอยู่บนพื้นอย่างเบื่อหน่าย
ขณะที่หลินจิ้งหงนั้น นั่งห้อยตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปและกำลังมองมายังปากทางเข้าถ้ำยูนิคอร์นเพื่อรอคอยการกลับมาหรือสัญญาณของความช่วยเหลือของสหายคณะสำรวจถ้ำ
และทันทีที่เห็นร่างบอบบาง ใบหน้างดงามของฉินอวี้โม่ หลินจิ้งหงก็กระโดดลงจากต้นไม้และวิ่งเข้ามาหาพวกพ้องในทันที
“เป็นยังไงบ้างงานสำเร็จรึเปล่า หาจุดที่ยูนิอคร์นสีนิลอยู่เจอหรือไม่?”
หลินจิ้งหงส่งคำถามใส่เพื่อนเป็นชุด เขามองดูทั้งหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ขึ้นๆ ลงๆ ด้วยความอยากรู้ คุณชายเจ้าสำอางอยากจะทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านในถ้ำบ้าง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเป็นการตอบคำถามเพียงหนึ่งครั้งโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมและหันไปกล่าวอำลาชื่อเซียวแทน
“หัวหน้าชื่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวกลับก่อน”
ชื่อเซียวพยักหน้าและกล่าวตอบ “เชิญสหาย ไว้ในอนาคตหากพวกท่านมีเวลาว่างก็แวะไปเยี่ยมข้าที่กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและแย้มรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมามองหน้ากันเป็นนัย ก่อนจะหันหลังและออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลิงซีในทันใด
หลินจิ้งหงผู้ถูกทอดทิ้งยังคงยืนทำหน้างุนงงที่ถูกเพิกเฉยในคำถาม เขามองตามแผ่นหลังของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ที่จากไปแล้วด้วยความประหลาดใจ*…. ‘เมื่อไหร่กันที่พวกเขาทั้งสองสนิทสนมจนถึงขั้นที่สามารถสื่อสารด้วยสายตาแบบนั้นได้? ….แต่ เฮ้ รอข้าด้วย’*
ทว่าเมื่อรู้ตัวคุณชายผู้ถูกทิ้งให้สงสัยก็เดินตามหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่กลับเมือง
“หลินจิ้งหง ภารกิจสำเร็จแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะได้ค่าแรงรึยัง?”
เพื่อป้องกันไม่ให้หลินจิ้งหงถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำยูนิคอร์น ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มหวานหยดส่งให้แล้วแสร้งเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเชิงหยอกเย้า
“อะไรกัน? เห็นข้าเป็นพวกที่ชอบเบี้ยวค่าแรงรึไง?”
หลินจิ้งหงหันไปมองฉินอวี้โม่และยิ้มตอบ ก่อนจะดึงเอาถุงเงินถุงใหญ่ที่อัดแน่นด้วยเหรียญทองจำนวนมากออกมา
“เอาไป ทั้งหมดสี่ชั่วยามกว่าๆ ข้าจ่ายให้เจ้าเป็นห้าชั่วยาม ช่วยสงเคราะห์สหายร้อนเงิน”
หลินจิ้งหงหลอกล้อกลับพร้อมกับส่งถุงเงินให้ ฉินอวี้โม่รับถุงเงินนั้นมาและส่องดูเหรียญที่อยู่ภายในอยู่ชั่วครู่ ทว่านางกลับไม่ได้นับแต่อย่างใด สาวน้อยทำเพียงแต่ชั่งน้ำหนักด้วยมือและพยักหน้าอย่างมีความสุข
“ขอบคุณมาก เงินรางวัลขอภารกิจข้าไม่ขอรับ”
นางเอาถุงเหรียญทองใส่แหวนมิติและแย้มรอยยิ้มสดใสให้กับสหายทั้งสอง
เพราะในวันนี้นางได้รางวัลอันยิ่งใหญ่มาจากภารกิจนี้แล้ว และเป็นเพราะบุรุษสองคนตรงหน้า ฉินอวี้โม่ถึงได้มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ ดังนั้นเพื่อความเท่าเทียม เงินรางวัลสำหรับภารกิจจึงสมควรยกให้พวกเขา เพียงค่าแรงที่นางได้มาก็เป็นเงินถึงห้าร้อยเหรียญทองแล้ว ที่สำคัญรางวัลอันยิ่งใหญ่ของนางนั้นก็พิเศษเกินกว่าจะประเมินค่าได้เลยด้วย