เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ยามมองเข้าไปในโพรงถ้ำ ก็วิเคราะห์อนุมานสถานการณ์ไปด้วย เดี๋ยวนะ! เริ่นเสี่ยวซู่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาเห็นน้ำหยดลงมาจากเพดานถ้ำ

น่าจะเป็นน้ำฝนที่ค่อยๆ ซึมลงมาจากบนเพดานถ้ำ ทหารนายที่อุทานคนนั้น คงเพราะตรึงเครียดเกินไปแถมยังขวัญหนีดีฝ่ออยู่ ผลคือจินตนาการไปว่าหยดน้ำเป็นศัตรู เป็นปีศาจที่อ้าปากกว้างน้ำลายหยดแหมะอะไรแบบนั้น…

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นแบบนี้ ก็ราวกับพบขุมสมบัติเข้า กล่าวกับคนอื่นๆ ว่า “น้ำตรงจุดนั้นดื่มได้ เพดานถ้ำจะเป็นตัวกรองธรรมชาติ ทำให้น้ำสะอาดกว่าน้ำบ่อนิดหน่อย ถ้าไม่มั่นใจ ก็ต้มน้ำก่อนดื่มก็ได้”

สูเสี่ยนฉู่ถามอย่างจริงจังยิ่ง “แน่นะว่าดื่มได้น่ะ”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “น่าจะเป็นแหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะหาได้ในแดนรกร้างแล้ว บางครั้งน้ำพุธรรมชาติก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเท่านี้หรอกนะ”

สูเสี่ยนฉู่ได้ยินแบบนั้น ก็นำกระติกน้ำทหารของตนไปรองน้ำ ถึงแม้ใบสนจะพอดับกระหายได้ก็จริง แต่ว่ามันช่างช่วยได้น้อยนิดนัก

อย่างมากก็แค่ทำให้ไม่ให้หิวน้ำตาย

สูเสี่ยนฉู่ไม่ได้ยึดแหล่งน้ำไว้คนเดียว หลังจากนำกระติกน้ำไปต้มเหนือกองไฟแล้ว ก็หันไปกล่าวกับคนอื่นๆ “พวกนายก็ควรดื่มน้ำหน่อยนะ”

คนที่เหลือไม่เหมือนสูเสี่ยนฉู่ที่มีกระติกน้ำทหารไว้กรอกน้ำ แถมยังใช้ต้มได้ พวกเขาจึงได้แต่ต้องอ้าปากรับน้ำเท่านั้น เรื่องจะเอาไปต้มนี่อย่าหวัง

พวกเขายื้อแย่งกันเข้าไปดื่มน้ำ พวกทหารยังพอไหว เรียงคิวผลัดกันดื่มได้ แต่หลิวปู้แทบสติแตกแล้ว ด้วยว่าไม่มีใครสนใจจะหลีกให้เขาไปดื่มน้ำด้วยเลย

หลังจากพักหนึ่ง ทหารนายหนึ่งก็พูดอย่างฉุนเฉียว “ดื่มน้ำที่ละหยดแบบนี้จะไปพออะไร เริ่นเสี่ยวซู่มีน้ำตั้งสองขวดในกระเป๋าไม่ใช่เหรอ เขาให้คนอื่นคอยเลียก้อนหินเลียใบสน แต่ตัวเองดื่มน้ำจากขวด น้ำมีปัญหาอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ทหารหลายนายต่างโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นมีปืนติดตัว เลยไม่กล้าทำอะไรซึ่งหน้าใส่

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองสามารถเก็บของในพระราชวัง คงเป็นเรื่องดีเยี่ยมอย่างมาก เขาสามารถลอบเก็บน้ำไว้ในพระราชวัง แล้วพรุ่งนี้ก็อ้างกับคนอื่นว่าเขาเผลอทำขวดน้ำหาย จะได้ไม่โดนหมายหัวแบบนี้

แถมถ้าเกิดคนพวกนี้เกิดหลังชนฝาขึ้นมา คิดจะลองเสี่ยงแย่งชิงน้ำกับตนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ตอนนี้น้ำสองขวด ล้วนอยู่คนละฝั่งของกระเป๋าแจ็กเก็ต เขาเอามือสอดกระเป๋าแจ็กเก็ตไปสัมผัสขวดน้ำ กะจะลองเก็บพวกมันเข้าพระราชวังอีกรอบ

แต่เสียงจากพระราชวังดังขึ้นว่า [ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงช่องเก็บของ]

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้ามุ่ย อย่างน้อยก็บอกหน่อยเซ้ว่าทำยังไงถึงจะได้รับสิทธิ์น่ะ ขนาดยาดำยังเก็บเข้าเก็บออกได้ตามสบาย ไหงขวดน้ำถึงทำไม่ได้ล่ะฟะ ทำไม ทำไมถึงเก็บไม่ได้!

เพราะเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่เคลื่อนไหว ลั่วซินอวี่มองเขา แล้วว่า “ไม่ดื่มน้ำด้วยเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นลั่วซินอวี่มองมาอย่างกังขา ดูแล้วเธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าที่เขาไม่ไปดื่มน้ำเพราะอยากแบ่งให้คนอื่น

เริ่นเสี่ยวซู่แสยะ “ฉันก็ดื่มน้ำจากขวดเอาไง”

ลั่วซินอวี่ “…”

ในวินาทีนั้น ลั่วซินอวี่พลันรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีพรสวรรค์ในด้านการทำให้คนอื่นหัวร้อน

แต่เธอคงไม่รู้ว่า ที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้คนอื่นไปดื่มน้ำก่อนนั้น เขาคิดมาดีแล้ว อย่างแรกเลย ทุกคนต่างคอแห้งผาก รับน้ำทีละหยดย่อมไม่เพียงพอ ส่วนสูเสี่ยนฉู่ที่เป็นผู้มีพลังพิเศษ หากคิดจะยึดแหล่งน้ำไว้ตามใจก็ย่อมได้ ไม่มีใครกล้ามีปากมีเสียงแน่นอน ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่นั้น ‘ไม่ได้เป็นผู้มีพลังพิเศษ’ เสียหน่อย

ตอนนี้เขามีน้ำสองขวดก็ทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำให้ผู้อื่นเกิดความมุ่งร้ายมากขึ้น

หนึ่งในหลักการการเอาตัวรอดในแดนรกร้าง คือการที่ไม่โลภมากเกินไป และเริ่นเสี่ยวซู่ได้ทำให้สูเสี่ยนฉู่สำเหนียกไว้แล้วด้วยว่า ถ้าอยากรอดออกไปจากแดนรกร้างนี้ บุคคลที่ขาดไปไม่ได้คือตนผู้มีนามว่าเริ่นเสี่ยวซู่ การที่เขามีผู้มีพลังพิเศษอย่างสูเสี่ยนฉู่หนุนหลัง แบบนี้ก็ยิ่งดีกว่าเดิมไม่ใช่หรือ

แล้วก็นะ กลิ่นข้างในถ้ำนี่เหลือทน…

บรรยากาศขมึงตึงเครียด แรกเริ่มลั่วซินอวี่หวาดหวั่นนัก จึงหาเรื่องคุยกับเริ่นเสี่ยวซู่ระบายความกลัว อย่างไรเสียมีคนไว้คุยด้วยก็ดีเสมอ

ว่าตามตรงวิธีนี้ก็ได้ผลดีเยี่ยมทีเดียว พอเริ่นเสี่ยวซู่พูดถึง ‘มีบุตรยามชรา’ ลั่วซินอวี่ก็คลายความกลัวไปได้ไม่น้อย เหลือเพียงอารมณ์แบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจิตใจมันตื้นตัน

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “รู้ไหมน่ะว่าบุหรี่ที่พวกทหารสูบหามาจากไหนกัน รอบๆ ป้อมปราการ 113 ไม่เห็นสถานที่เหมาะๆ สำหรับปลูกใบยาสูบเลยนะ”

“เธอไม่รู้เหรอ” ลั่วซินอวี่ประหลาดใจ “หวังฟู่กุ้ยบอกว่าเธอมีหลัวหลานหนุนหลังนี่ ทำไมถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ”

“หลัวหลานทำไมเหรอ” เริ่นเสี่ยวอวี่ตะลึงไป ถึงเขาจะได้ธงมาจากหลัวหลานก็จริง แต่ตัวเขากับเถ้าแก่หลัวเองไม่ได้มีข้อตกลงอื่นอะไรกัน

“เถ้าแก่หลัวเป็นตัวแทนของสมาคมตระกูลชิ่งในป้อมปราการ 113” ลั่วซินอวี่อธิบาย

“ในป้อมเขามีตำแหน่งอะไรเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม ถึงเขาจะเคยได้ยินหวังฟู่กุ้ยพูดชื่อเถ้าแก่หลัวอยู่ทุกวี่วันก็เถอะ เขาก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องของเถ้าแก่หลัวเท่าไร

“เถ้าแก่หลัวไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในป้อม” ลั่วซินอวี่มองดูเริ่นเสี่ยวซู่อย่างประหลาดใจ “อืม ดูเหมือนนายจะไม่รู้อะไรจริงๆ สินะ เขาดูแลพวกโรงงานที่เป็นโรงหลอม ผลิตน้ำ แล้วก็พวกสารเคมีน่ะ ถ้าจะถามว่าเขามีตำแหน่งอะไร…เรียกแบบตรงๆ ก็คงเป็นพ่อค้า”

“เป็นแค่พ่อค้าไหงถึงกลายเป็นคนใหญ่คนโตของป้อมปราการได้ล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก็พูดออกมา เขานึกว่าเถ้าแก่หลัวเป็นผู้ปกครองป้อมอะไรแบบนั้นเสียอีก

“เขาไม่จำเป็นต้องถือครองตำแหน่งอะไรหรอก” ลั่วซินอวี่ว่าหน้าเหยเก “พวกเขาเหมือนท้องนภาเหนือเหล่าผู้ปกครองป้อมปราการ ยามไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น คนตัดสินใจก็คือพ่อค้าผู้นี้แหละ”

“เขามีกองกำลังเป็นของตัวเองหรือเปล่าน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่คิดแล้วก็ถามออกไป

ลั่วซินอวี่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง พลางว่า “มี เขามีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าทหารกองกำลังส่วนตัวพวกนี้หลายเท่า กองพลน้อยที่รักษาการณ์อยู่ในป้อมปราการ 113 เข้มแข็งกว่าที่นายคิดมาก ไม่มีอะไรเหมือนกับทหารกองกำลังส่วนตัวที่นายกำลังเห็นอยู่นี่เลย”

แสดงว่าในป้อมปราการมีทหารสองประเภทรักษาการณ์อยู่สินะ ป้อมปราการจะมีผู้ปกครองแต่เพียงในนาม ไร้ซึ่งอำนาจอิทธิพล ตราบใดที่ไม่ต่อต้าน สมาคมก็จะปล่อยให้พวกเขาเป็นหุ่นเชิดเสวยสุขไป

“แต่มีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจอยู่อย่าง” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ทำไมพวกเขาไม่ยึดป้อม แล้วก็กลายเป็นผู้ปกครองเองไปเลยล่ะ ทำไมต้องสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาด้วย”

“เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีแต่สมาคมตระกูลชิ่งน่ะสิ” ลั่วซินอวี่ว่า

ได้ยินเช่นนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้แจ้งขึ้นมา ป้อมปราการร้อยกว่าแห่งล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของไม่กี่องค์กร ถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันครอบงำมีอิทธิพลเหนือป้อมปราการ ทว่าสมดุลอำนาจนี้ช่างเปราะบาง ใช้วิธีการร่วมมืออันลี้ลับชั่วร้าย ดูดกลืนทรัพยากรเป็นของตัวเอง

“สมาคมตระกูลชิ่งเป็นคนขายบุหรี่ให้ป้อมปราการ 113 สินะ?” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม