ตอนที่ 67 ใช่ว่าเธอไม่เหลืออะไรแล้วสักหน่อย

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

“บุหรี่ทุกมวนที่จัดหามาให้ทหารกองกำลังส่วนตัว ล้วนถูกส่งมาจากที่อื่นด้วยฝีมือของสมาคมตระกูลชิ่ง นายน่าจะเคยเห็นขบวนรถบรรทุกมาก่อนใช่ไหม สินค้าข้างในก็คือพวกบุหรี่นี่แหละ” ลั่วซินอวี่ว่า “ว่าตามตรง ป้อมปราการอื่นๆ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ไม่ต่างกัน ทว่าแม้ผู้ปกครองหลายป้อมปราการรู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงหุ่นเชิด แต่ก็มีอยู่บ้างที่คิดแข็งข้อตัดใยเชิด”

เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า ดูเหมือนว่าจะคาดเดากะเกณฑ์อำนาจของสมาคมจากความแข็งแกร่งของทหารกองกำลังส่วนตัวไม่ได้ วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้รับข้อมูลจากลั่วซินอวี่มาไม่น้อยเลย ต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลอยู่บ้าง

“คำถามสุดท้ายแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ทำไมถึงเลือกคนอย่างหลิวปู้มาเป็นผู้จัดการล่ะ”

ลั่วซินอวี่พูด “เขาเป็นน้องชายของหัวหน้าหน่วยในกองพลาธิการของป้อมปราการน่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่พอเข้าใจอะไรๆ คร่าวๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าหัวหน้าหน่วยในกองพลาธิการมีอำนาจอะไร

ลั่วซินอวี่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเธอกับหยางเสียวจิ่นและเริ่นเสี่ยวซู่ดูสนิทขึ้นมาบ้างแล้ว เธอสองจิตสองใจอยู่พักหนึ่ง จึงว่า “พวกนายช่วยพาฉันออกไปจากแดนรกร้างได้ไหม ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ได้แต่ต้องพึ่งพวกนายสองคน”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ใช่ว่าเธอไม่เหลืออะไรแล้วสักหน่อย”

ลั่วซินอวี่ผงะ “หมายความว่ายังไง”

“เธอยังมีหน้ามาถามว่า ฉันช่วยพาเธอออกไปจากที่นี่แบบมีชีวิตได้ไหมอยู่นี่ไง” พูดจบเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันหน้าหนีเธอ

ค่ำคืนฝนพรำขมุกขมัว ลั่วซินอวี่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสนด้วยคำของเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่ใช่ไม่เหลืออะไรแล้ว…เธอยังมีหน้าไปขอร้องเขา…

นี่มันภาษาพาทีระดับไหนเนี่ย พูดคุยด้วยภาษาเดียวกันอยู่หรือเปล่า

ลั่วซินอวี่พลันรู้แจ้งแถลงไขว่า ‘ความสัมพันธ์สนิทขึ้น’ นี้เป็นเพียงภาพลวงหลอกตา

ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าลั่วซินอวี่นั้นน่าสงสารอยู่หน่อยๆ โดดเดี่ยวในแดนรกร้าง หาคนเชื่อใจไม่ได้ และก็หาคนช่วยเหลือไม่ได้ด้วย รอบกายรายล้อมด้วยทหารอันธพาล ผู้ซึ่งคิดฉกฉวยโอกาสจากตัวเธอ

ทว่าใครบ้างเล่าไม่น่าสงสาร เหยียนลิ่วหยวนที่ตอนนี้กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เมืองจากผลข้างเคียงของการขอพร ก็น่าสงสารเหมือนกันมิใช่หรือ

ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ตั้งมั่นสัญญาจะช่วยคนผู้หนึ่งออกไปจากที่นี่ให้ได้เช่นนี้ ก็ถือว่าไร้ความรับผิดชอบต่อเหยียนลิ่วหยวนเกินไปแล้ว

ตราบใดที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดอาศัยโชคลาภ เหยียนลิ่วหยวนยิ่งต้องเผชิญผลข้างเคียงมากขึ้น

แม้ปกติเหยียนลิ่วหยวนจะมีเพียงอาการปวดหัวตัวร้อนอะไรเทือกนั้นหลังจากใช้พลัง ปัญหาคือว่าถ้าเริ่นเสี่ยวซู่คิดใช้ดวงเพื่อให้มีชีวิตรอดละก็ ที่เหยียนลิ่วหยวนต้องเจอ ไม่ใช่แค่อาการปวดหัวตัวร้อนเฉยๆ แน่นอน!

เป็นกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ฝ่ายหนึ่งโชคดีมากเท่าไร อีกฝ่ายย่อมโชคร้ายมากขึ้นเท่านั้น

วินาทีที่เหยียนลิ่วหยวนอธิษฐานให้เริ่นเสี่ยวซู่ ชีวิตเขาก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว

ดังนั้นเพื่อเหยียนลิ่วหยวน เริ่นเสี่ยวซู่จะไม่มีทางเอ่ยคำสัญญาว่าเขาจะช่วยใครก็ตามให้รอดออกไปจากที่นี่เด็ดขาด

ชีวิตคนอื่น มิได้มีค่าเท่าของเหยียนลิ่วหยวน

พอหยางเสียวจิ่นตื่นขึ้นกลางดึก เธอก็หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วพูด “ตานายพักแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า จากนั้นก็หลับตาเตรียมพักผ่อน เขาไม่ได้หลับมาเกือบสามสิบชั่วโมงแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ ยังถือว่าหนักหนาสาหัส

เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เกิดคำถามขึ้นมาสองข้อ หยางเสียวจิ่นเป็นใครกันแน่ และเธอเป็นคนของกองกำลังที่เรียกว่ากองพลน้อยแห่งสมาคมตระกูลชิ่งหรือเปล่า

ไม่หรอก ถ้าเธอมาจากกองพลน้อยจริง เธอก็คงไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนเพื่อเข้าร่วมกลุ่มหรอกมั้ง เธอถึงขนาดต้องจ่ายเงินลั่วซินอวี่เพื่อมาเข้าร่วมเลยนะ

ในความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่ ถ้ากองพลน้อยแห่งสมาคมตระกูลชิ่งที่รักษาการณ์ในป้อมปราการ 113 ส่งคนมาร่วมกลุ่มจริง พวกทหารในกลุ่มคงปฏิบัติต่อเธอเช่นเทพเจ้าแล้วไหม

อย่างไรในป้อมปราการพวกเขาก็มีอำนาจตัดสินเป็นตาย

เริ่นเสี่ยวซู่ยังเดาจุดประสงค์ของหยางเสียวจิ่นไม่ออก จึงได้แต่คาดเดาตัวตนของเธอไปเรื่อย

ช่วงก่อนฟ้าสาง[1]ในโพรงถ้ำเงียบสงัด หยางเสียวจิ่นตื่นมาอีกคราด้วยด้วยพลังเต็มเปี่ยม เธอได้รับการฝึกด้านนี้มา วิธีการนอนหลับของเธอเหนือกว่าจินตนาการของคนทั่วไป ต่อให้หลับอยู่ สติก็รับรู้อันตรายได้

คนธรรมดาย่อมไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับที่ว่าคนธรรมดาปัจจุบันนี้ไม่เข้าใจพวกผู้มีพลังพิเศษนั่นแหละ

ฝนข้างนอกหยุดตกแล้ว และก็เป็นไปตามที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดไว้ พื้นดินฉ่ำฝนเป็นโคลนแฉะ การเดินทางวันพรุ่งอาจจะมีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็เป็นไปได้

ทหารกองกำลังส่วนตัวบางนายยังไม่หลับ แอบกระซิบคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ ขณะเดียวกันหลิวปู้ก็อ้าปากรอรับน้ำหยดลงมา หลังจากทุกคนดับกระหายเพียงพอแล้ว ในที่สุดก็ถึงรอบเขาดื่ม

หยางเสียวจิ่นแกะเปลือกลูกสนที่เหลือมาจากเมื่อเย็น เธอโยนเมล็ดสนเข้าปากที่ละเมล็ด ใช้มันเป็นสารอาหารจำเป็นในการดำรงชีวิต

หยางเสียวจิ่นนั่งอยู่ตรงข้างเริ่นเสี่ยวซู่ ปากกินเมล็ดสนไปพลาง มองดูเริ่นเสี่ยวซู่ไปพลาง เขาหลับสนิท หรืออยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นนะ

แต่หยางเสียวจิ่นก็ได้ยินเสียงกรนครอกมาจากเริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าไม่ใช่เธอเท่านั้นที่ได้ยิน แต่มันกระหึ่มทั้งโพรงถ้ำ! กรนดังไปแล้ว!

ทันใดนั้นทหารสองนายก็ยืนขึ้นและกล่าวกับสูเสี่ยนฉู่ “พวกเราจะเฝ้ากะแทนเอง นายไปพักเถอะ”

สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “ตื่นตัวตลอด อย่าหละหลวมล่ะ”

“ไม่ต้องห่วง” ทหารนายหนึ่งตอบ

ทหารทั้งสองนายค่อยๆ คืบหน้าไปยังปากถ้ำ ราวกับว่าตั้งใจจะไปยืนเฝ้ายามตรงจุดนั้น

หยางเสียวจิ่นกดหมวกลงต่ำ ปิดบังสายตาไม่ให้ผู้อื่นเห็น ตอนที่เห็นทหารอันธพาลทั้งสองนั่น มุมปากก็กระตุกยิ้ม นี่ก็เพราะว่าเสียงกรนของเริ่นเสี่ยวซู่นั้น…เงียบหายไปแล้ว

เจ้าทหารทั้งสองนายแลดูไม่ทันสังเกตอะไรทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นโพล่งเอ่ย “พวกเราจะรอดกลับไปป้อมปราการหรือเปล่านะ”

“ไม่รู้สิ” อีกคนตอบ

พวกเขาทั้งสองเหมือนกำลังสนทนากันตามปกติ แต่พอเดินผ่านเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นแล้ว ก็เริ่มเคลื่อนไหวลงมือ

ฝนหยุดพรำตก อาณาบริเวณถ้ำเงียบสงัด

ทหารสองนาย หนึ่งยืนซ้าย หนึ่งยืนขวา ชักดาบปลายปืนออก พวกเขาคิดจะลอบโจมตีเริ่นเสียวซู่และหยางเสียวจิ่น!

ในระยะสามก้าว ระหว่างคนกับปืนอะไรจะไวกว่ากัน คำถามนี้เคยมีคนไม่น้อยถกกันมาก่อน ทุกคนเชื่อกันหมดว่าในระยะสามก้าวคนย่อมไวกว่า และตอนนี้ผู้ลอบจู่โจมทั้งสองอยู่ใกล้เริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นเพียงก้าวเดียว ด้วยระยะสั้นเพียงนี้ เริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นย่อมไม่อาจชักปืนออกมาได้ทัน

พวกเขาไม่ใช่พวกโง่งม จึงรอโอกาสลงมือชั่วลัดนิ้วขณะที่เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งหลับและหยางเสียวจิ่นเพิ่งตื่นขึ้น ยามผู้คนเพิ่งตื่น กล้ามเนื้อมักฝืดเคืองไม่ยืดหยุ่น นี่ไม่ใช่เพราะว่าร่างกายสภาพไม่ดี แต่เป็นเพราะร่างกายยังไม่ตื่นเต็มที่

ที่พวกเขาพร้อมใจลงมือ น่าจะเป็นเพราะคิดแย่งชิงปืน หรือไม่ก็คิดแย่งน้ำ หรือไม่ก็เพราะอยากได้ตัวลั่วซินอวี่ ทว่า พวกเขาไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร!

ปัง!

เสียงปืนดังสนั่น ทหารอันธพาลที่ยืนอยู่หลังหยางเสียวจิ่นตะลึงลานมองรูกระสุนที่ท้องตัวเอง เขาเห็นชัดเจนว่าหยางเสียวจิ่นกำลังแกะเปลือกสนอยู่ ปืนเองก็ยังไม่ได้ชักออกมา แล้วหยางเสียวจิ่นเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขาได้อย่างไรกัน

ขณะเดียวกัน ผู้ลอบจู่โจมอีกด้านก็กรีดร้องโหยหวน ขณะคิดใช้ดาบปลายปืนแทงออกไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ดีดตัวขึ้นตะครุบลำคอเขาดั่งสายฟ้าฟาด

ผู้จู่โจมคิดจะใช้ดาบปลายปืนแทงสวนเริ่นเสี่ยวซู่ ทว่ากลับพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่คว้าจับแขนเขาไว้แล้ว จึงไม่อาจขยับได้แม้องคุลี

เริ่นเสี่ยวซู่ยกชายฉกรรจ์หนักแปดสิบห้ากิโลกรัมได้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นความเจ็บปวดก็แล่นไปทั่วหลังของผู้ลอบจู่โจม เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เพียงมือเดียว บดร่างเขากระแทกเข้ากับผนังถ้ำ!

เกิดเสียงดังตัง มือของผู้จู่โจมสิ้นแรง ดาบปลายปืนเลื่อนหลุดไป

………