“อืม…”

ในที่สุดก็ได้รับประทานอาหารเช้าด้วยกันกับท่านพ่อหลังจากที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วยกันมาเสียนาน

เธอกำลังเคี้ยวผลไม้เสียงดังแจ๊บๆ ในขณะที่ตั้งมั่นอยู่กับการเปลี่ยนแผนเพื่องานที่จะทำหลังจากนี้อีกครู่หนึ่ง ก็ต้องหันหน้าไปมองท่านพ่อเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจหลุดออกมาเป็นครั้งที่สาม

“อืม…”

หน้าผากของท่านพ่อที่มักจะยิ้มดั่งแสงอาทิตย์อยู่เสมอทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันกับเธอ กลับยับย่นเป็นริ้ว

“พ่อ ทำไมเป็นงั้นล่ะคะ”

พอเธอกระตุกแขนเสื้อพลางเอ่ยถาม ท่านพ่อถึงได้ตั้งสติแล้วหันมามองเธอ

“อา ไม่มีอะไรหรอก แค่มีอะไรให้ต้องคิดอยู่ครู่หนึ่งน่ะ”

ดูเหมือนจะกังวลอะไรมากกว่าครุ่นคิดเฉยๆ นะ

“ถ้ามีเรื่องลำบาก ลองพูดกับคนอื่นบ้างก็ดีนะคะ!”

ท่านพ่อลูบศีรษะเธอคล้ายกับจะชมเชยในคำพูดของเธอ

“ทำให้เทียต้องเป็นห่วงเสียแล้วเหรอเนี่ย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วจะถอนหายใจราวกับพื้นถล่มได้ยังไง เพราะอย่างนั้นเธอยังคงเบิกตาจ้องท่านพ่อต่อ

พอเห็นลูกสาวตัวน้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอันใดมองตนด้วยนัยน์ตาราวกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง ท่านพ่อก็ถอนหายใจเสียงแผ่ว ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยพูด

“ก็แค่พ่อตั้งใจจะทำธุรกิจอื่นเหมือนอย่างกิจการผ้าทอเมื่อครั้งก่อนน่ะ แต่ดันไม่มีประสบการณ์ก็เลยลังเลอยู่”

“ธุรกิจเหรอคะ”

จะว่าไปที่งานเลี้ยงของจักรพรรดินี ท่านพ่อเองก็เคยกล่าวอะไรแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

บอกว่าอีกไม่นานจะวางมือจากกิจการผ้าฝ้ายโคโรอี แล้วหันมาทำธุรกิจส่วนตัวอย่างอื่นแทน

อันที่จริงตอนนั้นเธอคิดว่าท่านพ่อแค่พูดออกไปด้วยความโกรธเคือง เพราะอยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีเท่านั้นเสียอีก

ดูเหมือนจะตั้งใจจริงสินะแถมยังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งขนาดนั้น

ถ้าหากมีเรื่องอะไรที่เธอพอจะช่วยได้ เธอก็อยากจะช่วยเหมือนกัน

“พ่อ เท่จังเลยค่ะ! ว่าแต่กิจการอะไรเหรอคะ อธิบายให้ข้าฟังบ้างไม่ได้เหรอคะ”

เธอเขยิบเข้าไปข้างกายท่านพ่อ นั่งให้ใกล้อีกนิด พลางเอ่ยพูด

“อยากรู้มากๆๆ เลย!”

ว่าแล้วเชียว ท่านพ่อน่ะใจอ่อนกับเธอ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มอธิบายไอเดียกิจการของตัวเองด้วยคำพูดที่ง่ายพอที่เด็กจะสามารถเข้าใจได้

ถ้าให้พูดตามตรง คำอธิบายนั่นมันทั้งยาวทั้งซับซ้อนไปหมด

คล้ายกับว่าตัวท่านพ่อเองก็ยังจับคอนเซ็ปต์ที่แน่ชัดไม่ได้ ระหว่างที่เล่าไปถึงได้พูดฟังมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ ทั้งยังดูสับสนไปหมดแต่ในขณะที่ฟังคำอธิบายของท่านพ่อ เธอก็แอบลอบตะโกนในใจว่า ‘สุดยอด!’

ขนาดตัวเธอเองยังรู้สึกเลยว่าตอนนี้คงจะหน้าแดงด้วยความดีใจและตื่นเต้นสุดๆ

แผนธุรกิจของท่านพ่อมันเป็นไอเดียแปลกใหม่ที่โลกใบนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน แต่สำหรับเธอแล้วมันเป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

ถ้าหากกิจการนี้ลงตัวละก็ แค่กิจการนี้กิจการเดียว ท่านพ่อก็จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

ไม่สิ เธอมั่นใจว่าบางทีกิจการต่างๆ ของอาณาจักรอาจจะเกิดการพัฒนา พลิกโฉมเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่นที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้

“พ่อ เยี่ยมที่สุดเลยค่ะ!”

เธอกอดเอวท่านพ่อแน่น ตะโกนเสียงดัง

ท่านพ่อเองก็หัวเราะฮ่าๆ กอดเธอตอบ ดูเหมือนจะคิดว่าเธอเข้าใจทั้งหมดที่ท่านเพิ่งอธิบายให้ฟังเมื่อครู่

“เทียชอบใจขนาดนี้ พ่อเองก็มีแรงขึ้นมาเลยละ”

แต่คนที่ไม่เข้าใจทิศทางของกิจการนี้ทั้งหมดคือท่านพ่อต่างหากเพราะนี่มันเป็นเรื่องที่สุดยอดมากจริงๆ และในหัวสมองของเธอก็นึกถึงคนที่เหมาะเหม็งที่จะเป็นคู่หูดูโอ้ในอุดมคติของท่านพ่อขึ้นมาได้ทันที

“พ่อ พ่อ!”

“ทำไมเหรอ เทีย”

“เวลามีเรื่องสงสัย ลองไปถามอาจารย์เครย์ลีบันดูสิคะ! ”

“คุณเครย์ลีบัน?”

“ค่ะ! ”

ในระหว่างที่ดำเนินกิจการผ้าฝ้ายโคโรอีครั้งนี้ ท่านพ่อเองก็คงได้เรียนรู้จากการทำงานใกล้ชิดกับเครย์ลีบันเช่นกัน

ว่าเครย์ลีบันเป็นคนที่เก่งกาจด้านธุรกิจมากขนาดไหน

อายุเองก็ใกล้เคียงกันกับท่านพ่อ แต่เทียบกับอายุที่ยังน้อย เขากลับเป็นคนที่มีความรู้ด้านการค้ามากทีเดียว

แต่ไม่รู้ทำไม ท่านพ่อถึงได้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยอยากทำแบบนั้นเท่าไหร่

“คุณเครย์ลีบัน อืม…”

ปฏิกิริยาคลุมเครือของท่านพ่อทำให้เธอต้องรีบตะโกนออกไปด้วยความกระวนกระวายใจ

“ถ้าถามเพราะมีเรื่องไม่รู้ละก็ อาจารย์เครย์ลีบันมักจะช่วยสอนให้อย่างใจดีเสมอเลยค่ะ!”

ความประทับใจแรกเห็นอาจจะดูเย็นชาไปหน่อย แต่ไม่ดุเลยนะคะ!

“เหรอ ถ้างั้นจะลองไปคิดดูนะ”

ท่านพ่อตอบรับคำรบเร้าของเธออย่างช่วยไม่ได้ แต่ดูท่าทางจะไม่อยากไปหาเครย์ลีบันเลยจริงๆ

ใครมาเห็นเข้าคงได้คิดว่ากลัวเครย์ลีบันน่าดู

ฟีเรนเทียปลอบใจท่านพ่อเสร็จก็ส่งท่านไป ส่วนตัวเธอก็กำลังเดินอยู่ภายในคฤหาสน์เพื่อไปทำเรื่องที่เธอต้องจัดการ

ถ้าหากตารางงานของท่านปู่ไม่ได้มีเรื่องอะไรพิเศษ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก

ตารางงานที่ซ้ำกันทุกสัปดาห์ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีน่ะ มันยังคงเหมือนกับตอนสมัยที่เธอคอยช่วยงานอยู่ข้างกายท่านปู่

เพราะฉะนั้นวันที่สองของทุกสัปดาห์อย่างวันนี้ เป็นวันที่ท่านปู่จะอยู่ในห้องทำงานตามลำพัง เพราะไม่มีประชุมถือว่าเป็นตารางงานที่ค่อนข้างว่างทีเดียว

เธอกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานด้วยใจที่ปลอดโปร่ง

จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะเยาะค่อนข้างระคายหูดังมาจากข้างล่างบันได

“ฮ่าฮ่า! เอสทีร่า เจ้าอยากจะไปสถาบันศึกษาอย่างนั้นเหรอ”

เธอหยุดชะงักฝีเท้า มองลงไปข้างล่างบันได

ผู้ชายที่ชื่อเจสันกับเอสทีร่าที่ดูจะโมโหเล็กน้อย

“เอสทีร่า! เจ้ารู้มั้ยว่าอะคาเดมีของอาณาจักรเป็นสถานที่แบบไหน”

“ข้าทราบค่ะรุ่นพี่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เข้าได้ยากมาก แต่สักวันหนึ่งข้าก็อยากจะ…ถึงแม้ปีนี้จะสายไปแล้ว แต่สักวันหนึ่ง…”

“เดี๋ยวนะ เจ้าคงไม่ได้คิดว่าตัวเองอดไป เพราะข้าได้รับใบแนะนำจากดอกเตอร์โอมัลลี่หรอกใช่มั้ย”

เจ้าหนุ่มที่ชื่อเจสัน ต่อหน้าเธอก็ทำตัวเป็นคนมีมารยาทดีขนาดนั้น แต่พฤติกรรมที่ทำต่อเอสทีร่ามันแตกต่างไปอย่างสุดขั้ว

อืม นึกแล้วเชียวว่าเสแสร้งทั้งเพ

เธอนั่งลงบนขั้นบันได เอียงหูแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่

“เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าบ้านข้าคือตระกูลที่ทำกิจการใด”

เจสันเอ่ยถามเอสทีร่า

แต่ก่อนที่เอสทีร่าจะได้ตอบอะไร เจ้าตัวกลับยักไหล่ไม่ยี่หระพลางเอ่ยตอบ

“ร้านค้าฟรังค์ไงล่ะ ร้านค้าฟรังค์ผู้เชี่ยวชาญด้านโอสถ”

อา ก็ว่าใบหน้ามันเยิ้มนั่นมันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน

ไอ้โง่ที่ยุยงและลากอาสทันลีอูเข้าบ่อนพนันเป็นครั้งแรก ก็คือบุตรคนที่สองของร้านค้าฟรังค์คนนี้เนี่ยแหละ

อาสทัลลีอูที่เด็กกว่าเขาอยู่หลายปี ต่อมายังถึงกับเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพี่ แล้วเดินตามต้อยๆ อีกด้วยและเพราะอาสทัลลีอูติดหนี้การพนัน ทำให้ภายหลังทรัพย์สมบัติของลอมบาร์เดียถูกส่งมอบให้แก่ร้านค้าฟรังค์

ท่าท่างตอนแสร้งทำเป็นใจดี ยินยอมรับเอาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลไปด้วยราคาถูกแสนถูกจนเหมือนของไม่มีค่าแทนหนี้สินที่ติดไว้ มันทำให้เธอรู้สึกโมโหจนใจจะระเบิด

พอคิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นแล้ว ความโกรธแค้นก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

“ด้วยคอนเน็กชั่นที่ข้าจะสร้างขึ้นในอะคาเดมีของอาณาจักร ต่อไปมันก็จะกลายเป็นปีกให้แก่ข้า แต่เจ้ายังกล้าคิดอยากได้ใบแนะนำของข้าอย่างนั้นหรือ”

เจสันกวาดสายตามองเอสทีร่าที่ยืนก้มหน้านิ่งตั้งแต่บนจรดล่าง ก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา

“เจียมตัวบ้างเถอะ เอสทีร่า”

วินาทีนั้นเอง เธอรู้สึกราวกับคำพูดผสมเสียงเย้ยหยันมันปักแน่นเข้ากลางใจของเธอ

“ไม่รู้จักเจียมตัวจนถึงที่สุดเลยสินะ”

ไอ้ที่บอกว่าให้เจียมเนื้อเจียมตัวเนี่ย จะให้เจียมตัวเรื่องอะไรกันอีก

ภาพของเอสทีร่าที่ได้แต่ยืนนิ่งเฉยโดยไม่อาจพูดตอบอะไรเจสันได้แม้แต่คำเดียว มันซ้อนทับกับภาพของเธอในอดีต

ถึงจะมีความสามารถที่โดดเด่นยิ่งกว่าใครในตระกูล แต่วันเหล่านั้นที่ถูกเมินเฉยด้วยคำว่า ‘เจียมตัวเสียบ้าง’ อยู่เสมอ มันราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานจนทำให้เธอรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา

เอสทีร่าไปทำอะไรให้กันแน่ ก็แค่บอกว่า ‘อยากไปอะคาเดมี’ แค่ประโยคเดียวเท่านั้นเองแต่กลับต้องมาฟังคำพูดเย้ยหยันดูถูกกันแบบนั้น

ฟีเรนเทียลุกพรวดขึ้นจากขั้นบันไดที่นั่งอยู่และก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงาน

เดิมทีเธอวางแผนเอาไว้ว่าจะไปขอร้องท่านปู่ให้ช่วยเขียนใบแนะนำให้เอสทีร่า

ในเมื่อค่าวิจัยที่ยังขาดอยู่นั่น ฟีเรนเทียก็แค่ช่วยเพิ่มให้จากเงินค่าขนมของเธอก็พอแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้คิดลังเลอะไรมากแต่แผนการถูกเปลี่ยนไปแล้ว

เจสัน ฟรังค์ จะใช้ใบแนะนำของดอกเตอร์โอมัลลี่ เพื่อดึงความสนใจจำนวนมากจากผู้คนที่อะคาเดมีอย่างนั้นเหรอ

แค่คิดว่าไอ้หนุ่มผมมันเยิ้มราวกับทาน้ำมันทาผมทั้งขวดไว้นั่นจะใช้ชื่อตระกูลลอมบาร์เดียอวดเบ่งต่อหน้าคนอื่นๆ เธอก็รู้สึกโมโหจนข้างในมันบิดเบี้ยวไปหมด

“คงจะต้องเปลี่ยนแปลงแผนปฏิบัติการเสียแล้วสิ”

ฟีเรนเทียกำหมัดแน่น มุ่งหน้าต่อไปยังห้องทำงาน