บทที่ 29
ห้องทำงานเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศหนักหน่วงจนหายใจไม่ออกกดทับไปทั่วภายในห้องทำงานมันคือแรงกดดันของความมืดมนขนาดที่เหล่าคนร้ายคงจะรีบหันหลังกลับวิ่งหนีทันทีที่เหยียบเท้าเข้ามาในห้องนี้
คนที่สร้างบรรยากาศน่าหวาดหวั่นนั่นก็คือรูลลัก ลอมบาร์เดีย เจ้าตระกูลซึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือในห้องทำงาน
คาริสม่าอันเหลือล้นที่เคยได้รับชื่อเล่นว่า ‘ราชสีห์แห่งลอมบาร์เดีย’ สมัยที่ยังหนุ่มๆ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งสร้างความกดดันข่มขวัญได้มากขึ้นไปอีก
สถานการณ์ตอนนี้มีเรื่องที่ทำให้เขาโมโหจนไฟลุกน้อยลงจากแต่ก่อนมากแล้วก็จริง แต่วันอย่างวันนี้ที่ต้องครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน มันทำให้เขาเปิดเผยภาพลักษณ์น่ากลัวราวกับจะขู่เข็ญใครขึ้นมาอีกครั้ง
รูลลักนั่งมองรูปไม้แกะสลักของนาตาเลียผู้เป็นภริยาที่วางไว้อยู่ริมหน้าต่าง
มันคือประติมากรรมที่ฟีเรนเทียหลานสาวมอบให้เขาเป็นของขวัญเมื่อไม่นานมานี้
มันเป็นสิ่งที่เขามักจะชื่นชมด้วยความรักและความอาลัยถึงภริยาอยู่เสมอ แต่สำหรับวันนี้แล้วมันต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
“นาตาเลีย…”
รูลลักเอ่ยเรียกชื่อของภรรยาผู้ล่วงลับเสียงแผ่ว
“พวกเราควรจะเป็นบิดามารดาที่เข้มงวดกว่านี้เสียหน่อยใช่มั้ย”
เบเจอร์คือบุตรชายคนแรกของพวกเขาสองสามีภรรยา
ก่อนหน้านั้นอาจจะมีชานาเนสซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตก็จริง แต่นางเป็นเด็กที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย และเขาก็ไม่ได้ใกล้ชิดอะไรมากตั้งแต่เด็ก
ดังนั้นเบเจอร์ซึ่งมีด้านซุกซนชอบก่อเรื่องสมวัยเขาจึงยึดครองความรักของสองสามีภรรยา โดยเฉพาะความเอาใจใส่ของนาตาเลียไปทั้งหมด
ทว่านั่นก็คือปัญหา
ตอนที่เขาตระหนักได้ว่าเบเจอร์ที่เติบใหญ่ขึ้นมามีนิสัยและพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มันก็สายเกินไปแล้ว
อาณาจักรแลมบลูเป็นสังคมที่บุตรชายคนโตจะขึ้นเป็นผู้สืบทอดตระกูล และเบเจอร์ก็ทราบเรื่องนั้นด้วยวัยที่ยังเด็กเกินไป
แต่ทุกยุคทุกสมัย ลอมบาร์เดียเป็นตระกูลที่ผู้มีความสามารถโดดเด่นจะได้ขึ้นสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลมากกว่าจะสนใจเรื่องบุตรชายคนโต
รูลลักเริ่มแก่ชรามากขึ้นทุกวัน เขามองดูบุตรชายทั้งหลายเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันความกังวลก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
หากมีบุตรสักคนที่เหมาะสม พรุ่งนี้เขาก็คงจะมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้อีกฝ่ายในทันที จะได้หยุดพักกันเสียที แต่กลับไม่มีใครเหมาะสมเลยสักคน
เมื่อไม่นานมานี้ เขาเองก็แอบคิดมีใจอยากมอบตำแหน่งให้ชานาเนสซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตอยู่เหมือนกัน ทว่าคำตอบของบุตรสาวกลับเย็นชาเหลือเกิน
“ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด คนที่เห็นว่าท่านพ่อแบกรับภาระมากมายขนาดไหนก็คือข้าค่ะ และข้าก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตแบบนั้นหรอกนะคะ ท่านพ่อ”
รูลลักได้แต่ยิ้มขมขื่น และพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
ถึงแม้มันจะเป็นตำแหน่งที่ได้รับอะไรมากมาย แต่ถ้าหากเจ้าตัวไม่ต้องการมันก็จะไม่ต่างจากเก้าอี้น่ากลัวที่มีหนามคอยทิ่มแทงเท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ เบเจอร์ได้ทำเรื่องผิดพลาดขึ้นอีกครั้ง
เบเจอร์รับผิดชอบดูแลอสังหาริมทรัพย์ที่ลอมบาร์เดียเป็นเจ้าของในแถบภาคกลางของอาณาจักร เขาได้ทำการขายที่ดินในราคาที่ต่ำมากเกินไปให้แก่ขุนนางคนหนึ่งที่สนิทสนมกับตัวเอง
ปัญหาคือ ที่ดินผืนดังกล่าวเป็นที่ดินที่พูดกันต่อๆ มาว่าเป็นที่ดินซึ่งมีแร่เหล็กฝังเอาไว้
ทั้งๆ ที่รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี แต่เบเจอร์ก็ยังขายที่ดินผืนนั้นไป เพื่อที่จะสร้างอำนาจภายนอกให้แก่ตนเอง
ถึงจะโล่งอกที่มันเป็นแค่สายแร่ขนาดเล็กตั้งแต่แรกแล้วดังนั้นความเสียหายทางการเงินจึงไม่ได้มากมายอะไรนัก
แต่เรื่องครั้งนี้ทำให้ในที่สุดรูลลักก็แน่ใจ
หากเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแล้ว เบเจอร์สามารถละทิ้งผลประโยชน์ของลอมบาร์เดียได้อย่างไม่ลังเล
คิดได้ถึงตรงนี้ เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็หลุดออกมาจากปากของรูลลักในที่สุด แต่แล้วในตอนนั้นเอง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะแผ่วเบาระคายหูก็ดังขึ้น
“ใคร”
รูลลักถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูในจังหวะที่ไม่คุ้นเคย
“ท่านปู่! ข้าเทียเองค่ะ!”
“…เทียรึ”
เสียงดังกังวานกระจ่างใส เอ่ยตอบจากนอกประตู
รูลลักตกใจรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาเดินไปเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง
“ท่านปู่!”
ฟีเรนเทียยิ้มกว้างมองรูลลักด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยราวกับทาน้ำดอกไม้ลงบนแก้มทั้งสองข้าง
“โอ้ เทียของเรามานี่เอง! ”
และในขณะเดียวกัน บรรยากาศหนักหน่วงที่กดทับไปทั่วห้องทำงานก็พลันมลายหายวับไปในพริบตา
รูลลักหัวเราะฮ่าฮ่า อุ้มหลานสาวตัวน้อยที่วิ่งเข้ามากอดขาของตัวเองขึ้น
“กรี๊ด!”
เสียงหัวเราะคิกคักของฟีเรนเทียทำให้บนใบหน้าของรูลลักเองก็มีรอยยิ้มแต่งแต้มไม่จาง
ใบหน้ายิ้มแย้มจนริ้วรอยบนใบหน้ายิ่งลึกจนเห็นได้ชัดนั่น ทำเอาคิดได้ยากทีเดียวหากจะบอกว่าเป็นคนคนเดียวกับที่กำลังคิดมากอยู่เมื่อครู่
“ท่านปู่ยุ่งมั้ยคะ”
ฟีเรนเทียเอ่ยถาม
“ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นหรอก ทำไมล่ะ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
ฟีเรนเทียตอบคำถามของรูลลักด้วยความมั่นใจ
“ช่วยเขียนใบแนะนำให้ข้าหน่อยสิคะ ท่านปู่! ”
“ใบแนะนำ?”
“ค่ะ! ”
รูลลักเอียงคอด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางฟีเรนเทียลงบนโซฟา
มันเป็นตำแหน่งที่นั่งประจำของฟีเรนเทียทุกครั้งที่แคลอฮันกับหลานสาวแวะมาที่ห้องทำงานด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน จานคุกกี้กับน้ำผลไม้ก็ถูกวางลงบนโต๊ะ
ฟีเรนเทียมองของพวกนั้นเพียงครู่ แล้วจึงหยิบคุกกี้ขึ้นมากัดเข้าปาก
ท่าทีของเด็กหญิงตรงหน้าดูสงบเสงี่ยมมากเกินกว่าจะบอกว่ามาเพื่อขอใบแนะนำของเจ้าตระกูล
‘แต่ก็นะ เด็กอายุแค่แปดขวบ จะไปรู้เรื่องอะไรได้’
รูลลักบอกตัวเองเช่นนั้นพลางส่งยิ้มให้หลานสาว
“อร่อยมั้ย”
“ค่ะ! หวานดีค่ะ!”
ท่าทางใสซื่อของเด็กบริสุทธิ์ที่ยังไม่ถูกกาลเวลาทำให้แปดเปื้อน ทำให้รูลลักยกมือขึ้นลูบศีรษะของฟีเรนเทียด้วยความอ่อนโยน
“อืม แล้วนี่มาขอให้เขียนใบแนะนำให้อย่างนั้นหรือ”
ฟีเรนเทียอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่การขอใบแนะนำจากเจ้าตระกูลมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น
คนที่ได้รับใบแนะนำซึ่งประทับตราของเจ้าตระกูล พูดง่ายๆ ก็คือหมายความว่าคนคนนั้นได้รับการสนับสนุนจากลอมบาร์เดียในทันทีและถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคนคนนั้น ลอมบาร์เดียเองก็จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน
“ไม่มีทางเป็นของเจ้าแน่ นี่ขอไปเพื่อใครหรือ”
“เอสทีร่าค่ะ! ลูกศิษย์ของดอกเตอร์โอมัลลี่ บอกว่าอยากจะไปวิจัยค้นคว้าสมุนไพรศาสตร์ที่อะคาเดมีของอาณาจักรค่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอใบแนะนำจากดอกเตอร์โอมัลลี่สิ”
“ดอกเตอร์ดันให้ใบแนะนำกับไอ้ ไม่สิ ให้กับคนอื่นไปแล้วน่ะค่ะ”
บางทีฟีเรนเทียคงจะแค่มาหาปู่แบบนี้ เพราะรู้สึกอยากช่วยเด็กคนนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจสินะ
รูลลักรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ใบแนะนำของเจ้าตระกูลนั้นถือเป็นเรื่องทางธุรกิจไม่ใช่ของที่จะเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาตัดสินใจ
ตอนนี้เรื่องที่เหลือก็มีแค่ จะต้องโน้มน้าวยังไงให้หลานสาวของเขาไม่รู้สึกเสียใจ
“แต่ฟีเรนเทีย ใบแนะนำของปู่คนนี้มันไม่ใช่ของที่จะให้กันได้ง่ายๆ นะ”
ฟีเรสเทียลืมตากลมโต นั่งฟังคำพูดของท่านปู่อยู่เงียบๆ
รูลลักเหงื่อตก ในหัวสมองได้แต่ครุ่นคิดว่า ถ้าหากหลานสาวร้องไห้ขึ้นมา เขาจะทำเช่นไรดี
ริมฝีปากของหลานสาวที่กำลังฉีกยิ้มนั่นสั่นระริกไม่หยุดเลยทีเดียว
นิสัยใจอ่อนกับสายเลือดของตนมันกำลังถูกเปิดเผยออกมาตรงนี้
“ใช่แล้วละ! ใบแนะนำของบรรณารักษ์โบรชูลน่าจะดีกว่าใบแนะนำของปู่คนนี้นะ!”
โบรชูลเป็นบัณฑิตมากความสามารถ ทั้งยังเป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ของอะคาเดมี หลังจากเกษียณก็กลับมายังตระกูลลอมบาร์เดียที่คอยมอบการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เขามาโดยตลอด
ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้มีอิทธิพลมากขนาดใบแนะนำของเจ้าตระกูล แต่ก็ถือว่ามีอำนาจมากพอตัว
“ส่งเด็กที่ชื่อเอสทีร่านั่นไปหาโบรชูลดูสิ ถ้าได้รับการประเมินว่าเหมาะสม…”
“ต้องการทั้งสองแผ่นเลยค่ะ! ”
รูลลักหยุดชะงักคำพูด
“ทั้งใบแนะนำของท่านปู่กับใบแนะนำของท่านโบรชูล ต้องการทั้งสองแผ่นเลยค่ะ! ”
รูลลักตื่นตระหนก พยายามคิดหาคำพูดว่าจะพูดอะไรต่อดี
ฟีเรนเทียเอ่ยถามรูลลักที่กำลังครุ่นคิด
“บอกว่าต้องได้รับการประเมินว่าเหมาะสมไม่ใช่เหรอคะ”
“ชะ…ใช่แล้วละ”
“งั้นถ้าต้องการใบแนะนำของทั้งสองท่านเลย จะต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ”
ฟีเรนเทียจริงใจมาก
“เอสทีร่าน่ะ ฉลาดมากจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ทำได้หมดเลยนะคะ!”
“ทำได้หมดอย่างนั้นหรือ”
รูลลักเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสงสัย
“ค่ะ! ”
การรู้เกี่ยวกับยาเป็นอย่างดี กับการใช้ความรู้ที่มีเพื่อพัฒนาหลอมยาขึ้นมานั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน
ถึงจะมีนักวิชาการผู้รอบรู้ทางทฤษฎีอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ลงมือปฏิบัติมันได้จริงนั้นมีจำนวนน้อยจนหาได้ยาก
“ถ้าอย่างนั้น จะลองเอายาที่เอสทีร่าหลอมขึ้นมาให้ดูนะคะ! ”
ฟีเรนเทียวางคุกกี้ที่ถืออยู่ในมือลงพลางเอ่ยถาม
“จะให้ข้ากับโบรชูลถูกใจได้พร้อมกันคงจะยากทีเดียว”
“ถ้าเป็นเอสทีร่าต้องทำได้แน่ค่ะ! ”
“เด็กคนนี้นี่ มั่นใจพอตัวเลยนะเรา”
รูลลักหัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า ชื่นชมหลานสาวตัวน้อย
“ค่ะ! เพราะฉะนั้นถ้ายาที่เอสทีร่าหลอมขึ้นถูกใจ ช่วยเขียนใบแนะนำให้ด้วยนะคะ ท่านปู่?”
รูลลักหัวเราะ พยักหน้าตอบรับคำพูดของฟีเรนเทีย
“ได้ เอาตามนั้น ข้าจะบอกโบรชูลไว้ให้ด้วยเลยก็แล้วกัน”
“ว้าว! ท่านปู่สุดยอด!”
ฟีเรนเทียดีใจมากจนวิ่งเข้ามาสวมกอดรูลลัก
ความขี้อ้อนที่ไม่เคยได้รับจากหลานสาวคนอื่นๆ ที่มักจะกลัวท่านปู่อย่างเขา ทำให้รูลลักใจอ่อนยวบ
“อืมๆ”
แต่รูลลักที่หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า พลางลูบหลังเล็กของเด็กน้อยอยู่นั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าความจริงแล้วหลานสาวที่ฝังใบหน้าลงบนตักของท่านปู่ แสร้งทำตัวขี้อ้อนเป็นเด็กๆ คนนี้ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ กำลังใช้หัวสมองครุ่นคิดอะไรบางอย่าง