ตอนที่ 64 : หลี่จื้อเฉิง
“ฉันเห็นแล้วว่าเขาปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้ ที่เขาแสดงออกมานั้นก็แค่ส่วนหนึ่งของพลังที่เขามี” หวังเย่าพยักหน้าเห็นด้วย ด้วยการตรวจสอบจากระบบก็ทำให้รู้ว่าอสูรของหลี่จื้อเฉิงนั้นอยู่ระดับทองเลเวล 34 และมันคือไลเกอร์
แค่เลเวลและระดับของอสูรเพียงอย่างเดียวนั้นก็สูงกว่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนแล้ว ตราบใดที่เขาเรียกอสูรของตัวเองออกมาก็หมายความว่าการแข่งได้จบลงแล้ว เพราะยังไม่มีใครสามารถต้านทานได้นานกว่า 1 นาทีแม้แต่คนเดียว
แต่แม้ว่าหวังเย่าจะกดดัน แต่เขาก็ไม่ได้กลัวอีกฝ่าย ตลอดหลายวันมานี้หงอคงได้กินผลไม้หยวนเข้าไป การ์ฟิลด์เองก็ได้กินน้ำยาพลังและน้ำยาวิวัฒนาการเข้าไปด้วย ซึ่งทำให้ทั้งสองยกระดับขึ้นมาบ้าง
หงอคงเลเวล 23 แล้ว ส่วนการ์ฟิลด์ก็เลเวล 32
รวมทั้งตลอดหลายวันมานี้เขาก็ไปฝึกที่คลับอย่างหนัก ทำให้ทักษะการต่อสู้ของเขาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างมาก
อีกอย่างเขายังได้ดูวิดีโอการต่อสู้และเรียนรู้กลยุทธ์ต่าง ๆ แล้วปรับเอามาใช้กับตัวเองซึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย
1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ทั้งสองคนได้ขึ้นไปบนเวที ทุกคนก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา ยังไงซะการแข่งนี้ก็น่าสนใจ บางทีมันอาจจะเป็นการแข่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการแข่งขันนี้ก็ว่าได้
ผู้บรรยายของลานนั้นเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะบรรยายการต่อสู้ของทั้งสอง
ทั้งสองคนได้สู้มาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นลูกไม้ต่าง ๆ จึงถูกใช้ออกมาเกือบหมด
ที่บนอัฒจันทร์นั้น จ้าวจวินจ่างและคนอื่น ๆ ก็คาดหวังกับการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน
“หวังเย่าเอาชนะหลี่จื้อเฉิงให้ได้ เพื่อเกียรติของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์”
นักเรียนของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์พากันกำหมัดชูขึ้นและโห่ร้องออกมาอย่างฮึกเหิม
มีโรงเรียนกว่า 56 แห่งในเมืองอรุณ โรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่อันดับท้าย ๆ ไม่เคยมีเด็กจากโรงเรียนนี้ติด 10 อันดับแรกมาก่อน นี่ไม่ต้องนับที่ 1 เลย
เมื่อหวังเย่ามาถึงจุดนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนก็ต้องให้กำลังใจกับเขาอย่างล้มหลาม
ในอีกด้านนักเรียนของโรงเรียนดาวม่วงต่างก็พากันส่งเสียงให้กำลังใจหลี่จื้อเฉิงเช่นกัน
“หลี่จื้อเฉิง รีบจบการต่อสู้ อย่าทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนต้องเสียหาย”
“หลี่จื้อเฉิง ถ้านายครองที่ 1 ไว้ได้ เกียรติสูงสุดจะเป็นของโรงเรียนดาวม่วงของเรา”
“จัดการกับมันซะ โรงเรียนจะให้ 100,000 เครดิตสำหรับตำแหน่งที่ 1 ของนาย” พวกครูก็พากันตะโกนออกมา
เมื่อเห็นแบบนั้นครูของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่คิดจะยอมแพ้และตะโกนออกมา “หวังเย่า ถ้านายได้ที่ 1 มา นายจะเป็นนักเรียนในตำนานของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์ ฉันในฐานะครูประจำชั้นจะเอาเงินจากทางโรงเรียนมอบให้นาย 100,000 เครดิต”
“ฮึ่ม รางวัลของโรงเรียนดาวม่วงนั้นนอกจากเงินแล้วก็ยังมีรถมังกรราคา 98,000 เครดิตด้วยหากนายครองที่ 1 ไว้ได้” ครูใหญ่ของโรงเรียนดาวม่วงตะโกนออกมา
ครูใหญ่ของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์ตากระตุก เขาได้แต่นิ่งเงียบ ทรัพยากรที่โรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์มีนั้นไม่มากนัก การที่ให้รางวัล 100,000 เครดิตก็ถือว่าเป็นขีดสูงสุดแล้ว
แต่นั่นก็ทำให้การต่อสู้นี้น่าสนใจกว่าเก่า
ยังไงซะคนหลายสิบล้านคนในเมืองก็อาจจะดูการถ่ายทอดสดการแข่งขันนี้ด้วย ถึงหวังเย่าจะแพ้แต่ก็ไม่ได้เสียเปล่า หากหวังเย่าได้ที่ 1 มาครองจริง ๆ งั้นมันก็จะมีคนจำนวนมากแห่กันมาสมัครเข้าเรียนโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
ดังนั้นครูใหญ่ของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์จึงกัดฟันแน่นและตะโกนออกมา “ถ้านายได้ที่ 1 นอกจากเงิน 100,000 เครดิตแล้ว ฉันจะให้คอร์สเรียนกลยุทธ์ราคา 108,000 เครดิตกับนายด้วย”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็พากันหันไปมอง คอร์สกลยุทธ์งั้นหรือ ? คอร์สกลยุทธ์นั่นทำไมถึงได้แพงขนาดนี้ ?
พวกครูพากันภูมิใจกันมาและอธิบายว่า “นี่คือคอร์สเรียนที่สอนโดยศาสตราจารย์ห่าวเจินฉุนจากมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย ศาสตราจารย์ห่าวเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์ คอร์สเรียนของเขามีราคาถึง 108,000 เครดิต มีผู้ใช้อสูรหลายคนอยากจะเข้าไปเรียนคอร์สนี้ แต่น้อยคนมากที่จะมีปัญญาจ่ายค่าเรียน ดังนั้นมูลค่าของมันยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
ผู้ชมพากันเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ
มุมปากของหวังเย่ากระตุก เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนหน้าด้านที่ขายคอร์สราคา 108,000 เครดิตอยู่บนโลกนี้ด้วย
ตอนนั้นเพราะการแข่งกำลังจะเริ่มขึ้น ทุกคนจึงพากันเงียบกริบและจ้องมองดูการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
“หวังเย่า โรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์”
“หลี่จื้อเฉิง โรงเรียนดาวม่วง”
ทั้งสองต่างก็แนะนำตัวก่อนจะเรียกอสูรของตัวเองออกมาพร้อมกับจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
หวังเย่าไม่ได้ระวังตัวนัก เขาได้เรียกการ์ฟิลด์และหงอคงออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
แสงสีทองส่องประกายขึ้นมาในดวงตาของเขาพร้อมกับข้อมูลอสูรของอีกฝ่ายได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
****
สายพันธุ์ : ปีศาจไลเกอร์
ระดับ : ทองขั้นสูง
เลเวล : 35
****
“เพิ่งจะทะลวงผ่านรึไง ไม่ใช่ว่ามันเลเวล 34 งั้นหรือ ? ” ปากของหวังเย่ากระตุก เมื่อชั่วโมงก่อนมันยังเลเวล 34 อยู่เลย
****
สกิล : 1. หดตัว หดตัวลงเหลือ 1 ฟุต เพื่อพุ่งกำจัดเป้าหมายได้ง่ายขึ้น, 2. อวตารสิงโต กลายร่างเป็นสิงโตเพื่อเพิ่มความเร็ว, 3. อวตารเสือ กลายร่างเป็นเสือเพื่อเพิ่มพละกำลัง, 4. คลื่นเสียง คำรามออกมาพร้อมกับส่งคลื่นเสียงกระจายออกไปทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความลนลาน, 5. ร่างปีศาจ เผาไหม้แก่นเลือดเพื่อให้ได้รับร่างปีศาจ การป้องกันเพิ่มขึ้นหลายเท่า ความสามารถในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“เป็นสกิลที่ดีจริง ๆ ” หวังเย่าถอนหายใจ สกิลของมันดูเหมือนจะซับซ้อน มันหดตัวได้ เพิ่มพละกำลังและความเร็วได้ มีคลื่นเสียงไว้โจมตี รวมถึงเพิ่มพลังป้องกันได้ มันไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจน มันไม่แปลกที่จะบอกว่าเขาแข็งแกร่งติดระดับท็อปเท็นของมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย
แต่มันมีจุดอ่อนอยู่
****
จุดอ่อน : 1. ไม่สามารถใช้อวตารสิงโตและเสือพร้อมกันได้ และไม่อาจจะเปลี่ยนร่างได้ในทันที, 2. รูปร่างที่ใหญ่ แม้ว่าพลังของมันจะแข็งแกร่ง แต่ก็พอสร้างความเสียหายได้
****
ตอนนั้นเอง หวังเย่าก็ตาเป็นประกายขึ้นมา จุดอ่อนสองอันนี้ไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
ลองคิดดูว่าอสูรตัวยาวมากกว่า 2 ฟุตจะใหญ่แค่ไหน ขนาดตัวของการ์ฟิลด์เทียบได้กับแมลงวันด้วยซ้ำ หากใช้สกิลอำพรางเพื่อเปลี่ยนรูปร่างแล้ว การ์ฟิลด์สามรถยึดหดตัวได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเปลี่ยนร่างให้เล็กหรือใหญ่ขึ้นก็ได้ทั้งนั้น
ในตอนที่ความคิดต่าง ๆ โผล่เข้ามา ในหัวก็มีเสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมกับกรรมการที่ประกาศเริ่มการต่อสู้
“การ์ฟิลด์เปลี่ยนร่าง” หวังเย่าได้สวมชุดระดับ B เขาถือโล่ไว้คอยปกป้องตัวเองแล้วตะโกนออกมา
แม้ว่าการแข่งนี้จะไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธมีคมแต่ก็สามารถใช้กระบอง, แส้และอาวุธอื่น ๆ ได้อยู่ โล่เองก็สามารถนำมาใช้ป้องกันตัวได้
การ์ฟิลด์คำรามออกมาพร้อมกับตัวของมันที่เกิดเสียงราวกับเสียงกระดูกหักดังขึ้น จากนั้นการ์ฟิลด์ที่ตัวยาวกว่า 3 เมตรกลับหดตัวลงกว่าครึ่ง กล้ามเนื้อของมันยิ่งดูแน่นขึ้นไปอีก
นี่คือสกิลอำพรางที่ยกระดับขึ้นมาของการ์ฟิลด์