ภาคที่ 2 บทที่ 69 มาเยือน

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนหลับสนิท ท้องฟ้ามืดแล้ว

แสงไฟสลัวส่องแสงจากตรงมุมกำแพงอย่างเงียบเชียบ ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้นมานางลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

ไป่เจี๋ยเข้ามาบอกนาง “ไทเฮาเสด็จมาถึงตอนยามโหย่วหนึ่งเค่อ และเข้าประทับที่ตำหนักเต๋อฮุยหลังวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วแล้ว ไทเฮาทราบว่าท่านหญิงเข้าพักที่ตำหนักชิ่งซั่น ยังตรัสว่าตำหนักชิ่งซั่นเสียงดังเกินไป พรุ่งนี้หลังจากอวยพรวันเกิดเสร็จแล้วให้ท่านไปพักที่เรือนชิงหวาของวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่ว ไว้อีกสองสามวันค่อยกลับวังพร้อมไทเฮาเจ้าค่ะ”

เฉาไทเฮาศูนย์กลางอำนาจ ยิ่งอยู่ใกล้นางเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่าฐานะสูงเท่านั้น

นางจัดการเช่นนี้ก็ถือว่าไว้หน้าเจียงเซี่ยนที่สุดแล้ว

เจียงเซี่ยนพยักหน้า และลุกขึ้นแต่งตัวอย่างเกียจคร้าน

ไป่เจี๋ยมองแล้วก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยว่า “ท่านหญิง เมื่อครู่ไทเฮาส่งคนมาเยี่ยมท่าน ท่านกำลังหลับอยู่ พวกบ่าวจึงไม่กล้าปลุกท่าน แต่พี่ซ่งบอกว่าจะเสียมารยาทไม่ได้ จะไปคุกเข่าคำนับขอบพระคุณไทเฮาแทนท่าน พี่ฉิงเค่อไม่ห้ามไว้ ข้าก็ไม่อาจพูดอะไรได้เช่นกัน นางจึงไปแล้ว แต่ตอนนี้เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว นางก็ยังไม่กลับมา…”

ดูเหมือนว่าซ่งเสียนอี๋จะฟังคำพูดของนางและไปไขว่คว้า ‘อนาคต’ ของตนเองแล้ว

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนที่อยู่ข้างกายข้า อยากไปก็ปล่อยนางไปเถอะ! พวกเจ้าอย่าเลียนแบบนางก็แล้วกัน”

ไป่เจี๋ยได้ยินก็โล่งอก และอารมณ์ดีขึ้น จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ห้องครัวทำแกงไก่หน่อไม้เจ้าค่ะ”

แกงไก่หน่อไม้เป็นหนึ่งในอาหารที่เจียงเซี่ยนค่อนข้างชอบ และวัตถุดิบของอาหารนี้ก็ง่ายมากเช่นกัน ตุ๋นหน่อไม้กับไก่ไม่ถึงหนึ่งชั่งในน้ำแกง ฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิใช้หน่อไม้ฤดูหนาว ฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงใช้หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ ทว่าเจียงเซี่ยนไม่ชอบกินหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นฤดูที่ไม่มีหน่อไม้ฤดูหนาวจะไม่นำอาหารนี้ขึ้นโต๊ะ

เวลานี้ไป่เจี๋ยเอ่ยถึงอาหารจานนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ แสดงว่ามีหน่อไม้ฤดูหนาวแล้ว

เจียงเซี่ยนรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไป่เจี๋ยยิ้มและเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเป็นของที่จวนจิ้งไห่โหวน้อมถวายในครั้งนี้ มีแค่สองตะกร้า ฝ่าบาทเก็บไว้ตะกร้าหนึ่ง บอกว่าจะให้รางวัลแก่เหล่าขุนนาง ส่วนอีกตะกร้าส่งไปที่วังคุนหนิงแล้ว ฝ่าบาทรับสั่งว่าอาหารค่ำวันนี้ให้ทำอาหารนี้เจ้าค่ะ”

หน่อไม้ฤดูหนาวของฝูเจี้ยนมีชื่อเสียงมาก

จู่ๆ จ้าวอี้ก็คิดจะทำอาหารนี้ เจียงเซี่ยนเดาว่าหลังจากแยกกับนาง จ้าวเซี่ยวน่าจะไปเจอจ้าวอี้ที่ตำหนักเหรินโซ่วแล้ว

นางตอบ “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก และถามถึงเรื่องอาหารมื้อค่ำ

ฉิงเค่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทได้ยินว่าท่านเข้านอนแล้ว จึงไม่ให้พวกข้าปลุกท่าน ตรัสว่าท่านตื่นเมื่อไรก็ให้คนไปแจ้งที่ตำหนักเหรินโซ่ว ฝ่าบาทจะได้ไม่กังวลพระทัยเจ้าค่ะ”

เจียงเซี่ยนร่างกายอ่อนแอจนเป็นที่รู้กัน ดังนั้นเวลาที่นางนอน หากไม่ใช่เรื่องสำคัญก็จะไม่ไปปลุกนาง

ฉิงเค่อไปยกอาหารมื้อค่ำ

เจียงเซี่ยนอยู่คนเดียว รู้สึกเบื่อ จึงขยับกำไลบนข้อมือเล่น

มีคนโยนหินก้อนเล็กมาที่หน้าต่างฉลุลายของนาง

ในวังนี้ยังมีใครที่ว่างจนทำเรื่องแบบนี้ได้

เจียงเซี่ยนหลับตาลง นางโกรธจนเจ็บหน้าผาก แล้วเปิดหน้าต่างที่ฉลุลาย พลางมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านต่อกันเหมือนร่มนอกหน้าต่าง

หลี่เชียนคุกเข่าอยู่บนต้นไม้จริงๆ ด้วย

เขาส่งสายตาให้นาง และกระโดดลงมาจากต้นไม้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

เจียงเซี่ยนตกใจมาก คำว่า ‘ระวัง’ มาถึงริมฝีปากแล้ว แต่หางตากลับเห็นว่ามีนางในสองคนอยู่เคียงข้างกันในลานกว้าง นางกลืนคำพูดลงไปอย่างยากลำบาก ทว่าหัวใจกลับเต้นผิดจังหวะอย่างแรง และเต้นแรงกว่าตอนที่ได้ยินว่าเมืองหลวงถูกบุกยึดแล้วเสียอีก

หลี่เชียนกระโดดมาถึงหน้าหน้าต่างอย่างว่องไวเหมือนกระต่าย แล้วยันขอบหน้าต่างไว้และกระโดดเข้ามา เผยให้เห็นขากางเกงสีขาวราวกับหิมะที่สวมอยู่ข้างใน

สองขาตรงและเรียวยาว แข็งแรงและมีพลัง

เจียงเซี่ยนเห็นแล้ว หัวใจก็เต้นแรงขึ้น

“ไม่เป็นไร!” แต่หลี่เชียนกลับเหมือนไม่รู้ว่านางเป็นห่วงด้วยซ้ำ เขาเอ่ยพลางยิ้มทะเล้นว่า “ข้าคอยสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบอยู่! พวกนางไม่มีทางเห็นหรอก”

นี่ใช่เรื่องที่จะเห็นหรือไม่เห็นหรือ?

เจียงเซี่ยนจ้องหลี่เชียนครั้งหนึ่ง

หลี่เชียนไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มอย่างสดใสมากขึ้น และหันไปปิดหน้าต่างฉลุลาย พลางเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน!” ตอนที่พูด น้ำเสียงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น

เจียงเซี่ยนจึงไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้กับหลี่เชียนต่อได้เช่นกัน จึงหันตัวจะนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ

ใครจะรู้ว่าพอก้าวขา นางถึงพบว่าตนเองไม่มีแรง ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงเหมือนเป็นตะคริว

เจียงเซี่ยนอึ้งไป

อะไรบางอย่างฉายวาบผ่านไปในสมอง

แต่นางยังไม่ทันได้จับ หลี่เชียนก็นั่งลงเองแล้ว และมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง พลางเอ่ยว่า “ทำไมท่านหญิงต้องมาภูเขาวั่นโซ่ว? มีธุระอะไรให้คนอื่นทำแทนไม่ได้หรือ?”

นี่เขากลัวว่าจะนางทำลายงานหรือกังวลว่านางจะมาเป็นตัวถ่วงทุกคน?

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “ในเมื่อข้ามา ก็มีเหตุผลที่ข้ามา เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ข้าได้ยินว่าตอนนี้เจ้าวางมือจากงานที่ตำหนักหยวนหล่าง และเข้าพักที่ประตูวังทางทิศตะวันออกแล้ว ที่นั่นห่างจากตำหนักเต๋อฮุยไกลทีเดียว และคุ้มกันอย่างแน่นหนา แทนที่เจ้าจะกังวลว่าทำไมข้าถึงมาที่ภูเขาวั่นโซ่วได้ สู้กังวลว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะเข้าใกล้เฉาไทเฮาอย่างไรดีกว่า”

“ทุกเรื่องล้วนมีข้อดีข้อเสีย” หลี่เชียนฟังที่นางพูดแล้วก็ไม่ได้คิดว่านางพูดจาล่วงเกิน แถมกลับเอ่ยอย่างได้ใจเล็กน้อยว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าจะใช้อ๋องเหลียวเป็นข้ออ้างดีหรือไม่ คิดว่าหากเฉาไทเฮารู้ว่าข้ารู้แผนการที่ฝ่าบาทจะกักขังไทเฮาจากอ๋องเหลียว ไทเฮาจะต้องคิดว่าอ๋องเหลียวกับฝ่าบาทเป็นพวกเดียวกันและต้องเกลียดอ๋องเหลียวมากอย่างแน่นอน ข้าก็รู้สึกผิดต่ออ๋องเหลียวนิดหน่อย แต่ตอนนี้ข้าพักที่ประตูวังทางทิศตะวันออกแล้ว ถึงแม้จะอยู่ไกลจากเฉาไทเฮาเล็กน้อย แต่คนที่รับเคราะห์นี้แทนก็คงต้องเป็นฝ่าบาทเท่านั้น เฉาไทเฮาจะได้รู้สึกว่าน่าเชื่อถือมากขึ้น”

เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ได้

นางรู้ว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ทำอะไรหลี่เชียนไม่ได้ทั้งนั้น

ไม่สิ ก็ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้ ทว่าเรื่องลำบากใดๆ พอมาถึงหลี่เชียนแล้ว เขาก็มักจะสามารถจัดการทุกเรื่องได้สำเร็จลุล่วง เมื่อมองจากภายนอกเหมือนเป็นเรื่องง่าย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเพียงแค่ไม่เคยบ่นเท่านั้น

นางอดที่จะถามไม่ได้ “เข่าของเจ้า ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หลี่เชียนยิ้มกว้าง เขารู้ว่าหากเขาเสียเปรียบ เจียงเซี่ยนก็จะชดเชยให้เขา ดูสิ ตอนนี้ก็ถามถึงเข่าเขาแล้วไม่ใช่หรือ?

“ท่านลองคิดดู พ่อข้าเป็นเพียงแม่ทัพระดับสามเล็กๆ ส่วนข้าก็เป็นแค่องครักษ์เล็กๆ คนหนึ่งเช่นกัน แน่นอนว่าอยู่ข้างนอกก็พอดู แต่ที่ภูเขาวั่นโซ่วที่มีขุนนางที่มีอำนาจมากมาย และขุนนางที่มีความดีความชอบกับชนชั้นสูงก็เดินกันทั่วทุกที่ เจอใครข้าก็ต้องเป็นคนคุกเข่าคำนับ” เขาหรี่ตา และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบา เหมือนกำลังแบ่งปันความลับเล็กๆ น้อยๆ กับเจียงเซี่ยน “ดังนั้นตอนที่ข้ามาจึงให้คนเย็บฝ้ายบนขากางเกงให้ข้าชั้นหนึ่ง…”

เจียงเซี่ยนมองเขาโดยไม่กระพริบตาแม้แต่นิดเดียว

ใต้แสงไฟนั้น ดวงตาที่สีขาวและสีดำแยกกันอย่างชัดเจนเหมือนสะท้อนดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน

หลี่เชียนใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก และคิดได้โดยไม่มีใครสอนว่าตนเองแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าเจียงเซี่ยนทุกครั้งก็ได้ผลดีเสมอ จึงเอ่ยต่อไม่หยุด “ใครจะรู้ว่าสาวใช้ในเรือนข้าไม่เข้าใจความหมายของข้าด้วยซ้ำ นางเย็บมาบางๆ ชั้นหนึ่ง ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตอนที่ข้าลุกขึ้นมา ขาก็แข็งไปหมดแล้ว หากไม่ใช่ว่าเซี่ยหยวนซีคอยพยุงข้าไว้ ตอนนั้นข้าก็คงล้มลงไปบนพื้นแล้ว…”

เจียงเซี่ยนไม่เชื่อ

นางเอ่ยว่า “เจ้ากล้าบอกว่านี่ไม่ใช่แผนทรมานร่างกายตนเองเพื่อหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อใจ จะได้ลงมือสะดวกหรือ?”

หลี่เชียนตะโกนเสียงดังว่า “ปรักปรำ!” และให้เจียงเซี่ยนหาใครสักคนมาตรวจเข่าของเขา

เจียงเซี่ยนฉวยโอกาสเอ่ยว่า “ได้สิ! อย่างนั้นเจ้าไปหาขันทีหลิวเถอะ! ข้าไม่สะดวกที่จะให้เจ้าอยู่ที่นี่”

หลี่เชียนเข้าใจแล้ว จึงจ้องนางอย่างไม่พอใจ และเอ่ยว่า “ดีนี่! นี่ท่านหลอกข้า วางแผนให้ข้าออกไปแล้วจะได้ฉวยโอกาสลงมือสะดวก!”

ยังถือว่าไม่โง่!

เจียงเซี่ยนอยากหัวเราะมาก

แต่นางฝืนอดทนไว้ถึงสามารถทำหน้าเย็นชาต่อไปได้

ทว่าความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก หม่นหมอง โดดเดี่ยว และอ้างว้างที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันหลังกลับจากตำหนักอี๋เล่อมาถึงตำหนักชิ่งซั่นนั้นกลับหายไปจนหมดสิ้น

——————