เวลาที่หลี่เชียนเจอเจียงเซี่ยน ส่วนใหญ่นางก็กำลังยิ้มอยู่
เวลายืนอยู่ข้างหวังจ้านยิ้มอย่างมีมารยาท ตอนอยู่กับเฉาเซวียนยิ้มอย่างใจกว้าง เวลาที่หันหน้าหาท่านหญิงชิงฮุ่ยเม้มปากยิ้มอย่างสบายใจ ตอนที่อยู่ต่อหน้านางในและขันทียิ้มอย่างควบคุมอารมณ์…แต่เขากลับไม่เคยเห็นเจียงเซี่ยนเป็นแบบตอนนี้เลย
นางทำหน้าเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์ และจ้องเขาด้วยนัยน์ตาคู่โต ทว่ารอยยิ้มจางๆ กลับค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของนางเหมือนดวงดาว และเปล่งประกายด้วยความสุข
หลี่เชียนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าทำไมวันนั้นเขาถึงได้ใช้มือปิดตาของเจียงเซี่ยน
สายตาที่มัวเหมือนม่านฝนในเดือนสามไม่ควรปรากฏอยู่ในดวงตาของเจียงเซี่ยน นางควรจะเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง จ้องเขาอย่างเอาแต่ใจไร้ความเกรงกลัว และยิ้มออกมาจากใจเหมือนในเวลานี้…
“ท่านหญิง!” เขาก้าวมาข้างหน้าอย่างเลอะเลือน และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านยิ้มแบบนี้ ดีจริงๆ!”
ทำให้เขาเหมือนตกลงไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว และแยกทิศทางกับกลางวันกลางคืนไม่ได้
เจียงเซี่ยนมองความเลอะเลือนในดวงตาของเขา และกลับรู้สึกตกใจ จนรอยยิ้มค้างอยู่บนหน้า
ชาติก่อนหลี่เชียนก็เคยมองนางด้วยสายตาแบบนี้เช่นกัน ทำให้นางเข้าใจผิด…สุดท้ายเขาก็ยังพาทหารบุกเข้ามาในวังฉือหนิง…ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เคย…คุยกัน หัวเราะกัน และปรึกษาหารือกันเรื่องของแคว้น เขามอบของชิ้นเล็กที่แปลกมากให้นาง นางให้เขาขยายกองทัพ…แล้วหลังจากนั้นก็มีแต่ความเกลียดชัง!
นางเกลียดความโง่เง่าของตนเอง เกลียดความจอมปลอมของเขา เหมือนมีดกรีดลงบนใจนางทีละมีดทุกวันทุกคืน จนตอนหลังนางสามารถเข้าใจกระทั่งความไร้หัวใจของจ้าวอี้ ความดื้อรั้นของจ้าวเซี่ยว และการประจบประแจงของจ้าวอี้อ๋องเหลียวได้ ทว่ากลับไม่เคยปล่อยวางหลี่เชียนได้เลย
เรื่องเก่าในอดีตแทรกเข้าไปทุกทางและพลิกผ่านความทรงจำของเจียงเซี่ยนไปทีละภาพอีกครั้ง นางรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จนอดไม่ได้ที่จะกุมหน้าอกและงอตัว หน้าซีดเหมือนกระดาษ
หลี่เชียนสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาเข้าไปพยุงเจียงเซี่ยนโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ และเอ่ยว่า “ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าร่างกายของท่านหญิงเจียหนานอ่อนแอ สิบวันก็ป่วยไปเก้าวัน ส่วนอีกวันก็นอนป่วยอยู่บนเตียง
แต่ใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนกลับปัดมือเขาออกอย่างแรง และเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “ข้าไม่เป็นไร หากเจ้าอยากโน้มน้าวให้ข้ากลับไปหลบภัยที่วังฉือหนิง เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว เมืองหลวงรักษาการณ์ประตูทางเข้าอย่างเข้มงวด กลับไปไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้ามาเอาป้ายคำสัตย์ ขออภัยด้วย ของชิ้นนั้นข้าซ่อนไว้แล้ว หากเจ้าทรยศจะมีคนเอาไปให้เฉาไทเฮาทอดพระเนตร” นางพูดไปก็ยืดตัวขึ้นจนหลังตรง บนหน้าไม่มีความสุขอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว ใบหน้าเฉยชาเหมือนสวมหน้ากากไว้ สายตาที่มองเขาเป็นประกาย ราวกับมีไฟสองกองกำลังลุกไหม้ ไม่มีความอ่อนโยนเหมือนน้ำในแม่น้ำยามฤดูใบไม้ผลิที่ไหลอยู่ใต้น้ำแข็งบางๆ อย่างเมื่อครู่อีกแล้ว มีเพียงความเย็นชา ความห่างเหิน ความโกรธแค้น และระแวดระวัง
หลี่เชียนตกใจ
ถึงเขาจะเพิ่งมารู้สึก ทว่าเวลานี้ก็รู้สึกได้ว่าเจียงเซี่ยนปฏิบัติกับเขาต่างไป
ยิ่งกว่านั้นเขามีความรู้สึกไวต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะมีผู้ช่วยและองครักษ์กลุ่มหนึ่งยอมศิโรราบต่อเขาตั้งแต่อายุยังน้อย
ทำไมนางถึงทำกับเขาแบบนี้?
ลองคิดดูดีๆ ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรใหญ่โต
แม้ครั้งนี้เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เจียงเซี่ยนก็เป็นคนแนะนำและสร้างความสัมพันธ์ให้เขาเช่นกัน…แล้วจู่ๆ นางมาปฏิบัติกับเขาแย่ลงได้อย่างไร?
ใช่ เป็นความรู้สึกนี้
เจียงเซี่ยนเริ่มอารมณ์แปรปรวนและมีลับลมคมในกับเขา
ไม่เหมือนกับคนอื่นที่มักจะสุขุมเยือกเย็นและเฉยเมย
ความคิดแบบนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ทว่าในส่วนลึกของหัวใจเขาก็เหมือนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเล็กน้อย
เขาคิดว่าแม้เจียงเซี่ยนจะยิ้มให้คนอื่นอย่างชัดเจน…แต่เหมือนจะมีแต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่นางจะแสดงความรู้สึกต่างๆ ที่แท้จริงของนางออกมา…ก็เหมือนกับเมื่อครู่ ถึงแม้นางจะทำหน้าเย็นชา แต่ในดวงตาก็ยังมีรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ ทำให้ใบหน้าของนางสว่างขึ้นในชั่วพริบตา และทำให้รอบตัวนางสดใสและงดงามขึ้นมาก
หลี่เชียนรู้สึกว่าตนองเหมือนทะลุผ่านภาพลักษณ์ภายนอกและมองเห็นเจียงเซี่ยนที่แท้จริงอย่างชัดเจนแล้ว
นางเป็นผู้หญิงที่เอาใจยากคนหนึ่ง
เหมือนที่เขียนในหนังสือ อยู่ใกล้ไม่เคารพ ทว่าพออยู่ไกลกลับต่อว่า
เขาอยากคุยกับนางก็ต้องอดทน โอ๋ ยอม และตามใจ…เหมือนแมวที่แม่ของเขาเลี้ยงเมื่อก่อน ถูกกรงเล็บข่วนแล้วโกรธไม่ได้ ยังต้องอุ้มแมวตัวนั้นไว้ในอ้อมแขนและลูบหลังลูบขนให้มัน ครั้งหน้ามันถึงจะกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนนางและหยอกเล่นกันอย่างพึงพอใจ
เหล่าสาวใช้ในเรือนต่างไม่ชอบแมวตัวนั้น
แต่เขากลับรู้สึกว่าถึงแม้แมวตัวนั้นจะเจ้าอารมณ์ ทว่ากลับรู้ว่าอะไรดีไม่ดี และรู้ว่าใครที่ชอบมันจริงๆ
เหมือนกับท่านหญิงเจียหนานที่อยู่ตรงหน้า เจ้าอารมณ์แบบนี้ คนมากมายต้องรู้สึกว่านางเป็นพวกเอาแต่ใจอย่างแน่นอน แต่เขาแค่ช่วยนางเล็กๆ น้อยๆ นางกลับตอบแทนเขาด้วยการให้โอกาสตระกูลหลี่ได้เป็นคนใหม่
นานๆ ไป นางก็คงแยกสิ่งที่ดีและไม่ดีออกได้เหมือนกันกระมัง?
สำคัญคือตอนที่นางโมโห ห้ามยั่วโมโหนาง
ไม่อย่างนั้นนางจะต้องเหมือนแมวที่แม่ของเขาเลี้ยงแน่ เจอกันก็ทำท่าดุร้าย ก้มหลัง แยกเขี้ยว และพร้อมข่วนตลอดเวลา…
ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านในใจของหลี่เชียนอย่างรวดเร็ว
เขาตัดสินใจที่จะไม่ต่อต้านใดๆ ทั้งนั้น อุ้มแมวตัวนี้ไว้ในอ้อมแขนและปลอบมันให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” เขาแสดงท่าทางซื่อสัตย์จงรักภักดีออกมาทันที แล้วประคองแขนเจียงเซี่ยนอีกครั้งอย่างจริงใจและเป็นห่วง “ข้าไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรควรไม่ควร หากไม่มีท่านหญิง ตระกูลหลี่จะมีโอกาสนี้ได้อย่างไร ข้าไม่มีทางกลับคำอย่างเด็ดขาด ข้าถึงกับใส่ผงสลอดลงไปในถ้วยชาของท่านพ่อเยอะมาก เพราะกลัวเขาจะทำลายงาน เขาท้องเสียจนไม่มีแรงเดิน จึงมาอวยพรวันเกิดให้ไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่วไม่ได้แล้ว…ป้ายคำสัตย์นั้นในเมื่อให้ท่านแล้วก็แน่นอนว่าให้ท่านเป็นคนจัดการ จะซ่อนไว้ก็ดีหรือให้ใครก็ตาม…แต่ท่าน เมื่อครู่ทำไมถึงไม่สบาย? ไปเรียกหมอหลวงที่ตรวจให้ท่านประจำมาดีกว่า ถึงจะไม่เป็นไรก็ตรวจชีพจรปกติสักหน่อย ข้ามาก็เพราะอยากดูว่าท่านทำอะไรอยู่? ถึงแม้เจิ้นกั๋วกงจะให้ข้าลงมือไปตามสถานการณ์ แต่ข้าเดาว่าน่าจะลงมือคืนนี้ ข้ากลัวว่าท่านจะถูกไทเฮาเรียกไปอยู่เป็นเพื่อนนาง…ท่านอย่าได้คิดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงขจัดความกังวลและภัยอันตรายอะไรให้ฝ่าบาทเชียว ชีวิตคนมีเพียงชีวิตเดียว เห็นคุณค่าของตนเองหน่อย ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตของตนและทุกคนในครอบครัวไปเสี่ยง! อีกอย่าง เป็นผู้ชายจะให้ผู้หญิงออกหน้าไม่ได้ ทุกครั้งที่ข้าอ่านตำรา และอ่านเจอพวกฮ่องเต้ที่ให้องค์หญิงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต่างเผ่านั้น ก็รู้สึกว่าคนแบบนี้ไม่มีทางเป็นฮ่องเต้ที่มีพระปรีชาสามารถจนทิ้งชื่อเสียงอันดีไว้ในประวัติศาสตร์ได้อย่างแน่นอน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนี้คิดอย่างไร? ตนเองไร้ความสามารถ ก็ส่งพี่สาวและน้องสาวของตนเองออกไปขอความเมตตา แถมยังตั้งชื่อให้อย่างดีว่าทำเพื่อแคว้น! หากแคว้นทำแบบนี้ แล้วสงบและปลอดภัยได้ ยังจะมีพวกแม่ทัพและทหารที่รักษาการณ์ชายแดนไปทำไม…”
ทำไมทุกครั้งที่คุยกับเขา เขาถึงสามารถพูดเรื่องไร้สาระออกมามากมายได้เป็นต่อยหอย?
เจียงเซี่ยนเหนื่อยจนไม่มีแม้แต่แรงโกรธเขาแล้ว
นางชี้ไปที่ประตูใหญ่และเอ่ยว่า “เจ้าไปซะ!”
หลี่เชียนไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย และยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ แต่ท่านต้องจำไว้ว่า คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามออกไปนอกประตูนี้” แล้วก็ถามนางอย่างจริงใจเป็นพิเศษอีก “คนรับใช้ในตำหนักนี้เป็นคนที่อยู่ข้างกายท่านทั้งหมดใช่หรือไม่? หากข้าปรากฏตัวอย่างกะทันหัน พวกเขาจะไม่ไปฟ้องเรื่องของท่านใช่หรือไม่? ก่อนไปข้าต้องบอกพวกเขาสักหน่อย ให้พวกเขาไปเชิญหมอหลวงสักคนมาตรวจท่าน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ…”
ในที่สุดเจียงเซี่ยนก็ทนไม่ไหวแล้ว นางเหมือนแมวที่โมโห กระโดดและผลักหลี่เชียนไปนอกประตู “เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกองครักษ์แล้ว!”
————-