หลี่เชียนถูกตะคอกจนสติเลอะเลือน ยังคิดว่าในเมื่อเจียงเซี่ยนไล่เขาออกไปข้างนอกแบบนี้ ก็แสดงว่าไม่กลัวถูกคนรับใช้ข้างกายรู้ นี่ก็อธิบายได้เพียงว่าเจียงเซี่ยนควบคุมคนที่อยู่ข้างกายได้อย่างสมบูรณ์ คิดไม่ถึงว่านางอายุยังน้อย กลับมีความสามารถเช่นนี้ เมื่อก่อนเขาดูถูกนางเกินไป
เหมือนน้องสาวเขาที่ไหนกัน มีเขาหนุนหลัง กลับคุมแม้แต่พวกคนรับใช้ในเรือนของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ…
ท่านหญิงเจียหนานสมกับเป็นสตรีที่เติบโตในวัง!
เขาเดินออกจากตำหนักอย่างรวดเร็ว
ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อกำลังนำนางในเจ็ดแปดคนจัดอาหารมื้อค่ำอยู่ เห็นผู้ชายคนหนึ่งจู่ๆ ก็เดินออกมาจากห้องนอนของเจียงเซี่ยนต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก นางในคนหนึ่งยังเกือบจะทำจานเล็กในมือคว่ำ ยังดีที่ฉิงเค่อมือไวตาไวจึงรับไว้ได้ และส่งสายตาให้พวกนาง ส่งสัญญาณให้พวกนางแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ดีที่นางในเหล่านั้นล้วนถูกเลือกให้เข้าวังฉือหนิงตั้งแต่เจ็ดแปดขวบเพราะเฉลียวฉลาด อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ทั้งสองฝ่ายทำอะไรก็รู้ใจกันไปหมด จึงเข้าใจความหมายของฉิงเค่อทันที แต่ละคนก้มหน้าทำงาน เหมือนในตำหนักไม่ได้มีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งจริงๆ
หลี่เชียนก็ถือว่าเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยเช่นกัน พอเห็นเหตุการณ์ก็อดที่จะถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้
สาวใช้ที่มีไหวพริบเช่นนี้ ในเรือนหนึ่งมีสักคนก็ดีแล้ว แต่ในวังนั้นจะเลือกสาวใช้ที่หัวไวมาใช้งานสักกี่คนก็ได้
มิน่าเล่าคนอื่นถึงบอกว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า
รวมกำลังทั้งแคว้นเลี้ยงดู จะไม่สูงศักดิ์ได้อย่างไรเล่า?
หลี่เชียนคิดแล้วก็กลายเป็นเลือดเดือดพลุ่งพล่านขึ้นมา
‘เมาแล้วนอนซบตักหญิงงาม สร่างแล้วกุมอำนาจปกครองแคว้น’ ผู้ชายที่ดีควรจะมีปณิธานเช่นนี้ถึงจะถูก
เขาคิดถึงเจียงเซี่ยนอีกแล้ว
คิดถึงสีหน้าที่เย่อหยิ่ง ใบหน้าดูสง่าและงดงาม และท่าเดินที่เคร่งขรึมจริงจังของนาง…ตอนที่เดินออกจากตำหนักชิ่งซั่น เขาอดที่จะหันกลับไปมองตำหนักใหญ่ของตำหนักชิ่งซั่นไม่ได้
เจียงเซี่ยนเกิดมาก็ควรจะอาศัยอยู่และเลี้ยงดูในสถานที่ที่สูงศักดิ์แบบนี้
นางเหมือนเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ภาพทิวทัศน์ภาพหนึ่ง ซึ่งกำลังเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติและเป็นอิสระในวังนี้…
นางคงจะไม่แต่งงานกับฮ่องเต้ใช่หรือไม่?
ทว่าหากตระกูลเจียงจะให้นางแต่งให้ได้เล่า?
นางจะแต่งหรือไม่?
หรือว่า…จะบุ่มบ่ามเรียกฮ่องเต้ไปและบอกเขาตรงๆ ว่านางไม่ชอบเขาอีกแล้ว?
นี่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ท่านหญิงเจียหนานทำได้!
พอคิดแบบนี้ หลี่เชียนก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ รอยยิ้มสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาเหมือนวันในฤดูร้อน
ครั้งนี้ไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสและสว่างไสวราวกับเป็นอิสระนั้น แต่ความดีใจที่ไหลพรั่งพรูออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นล้นออกมาจนปิดก็ปิดไม่อยู่ ทำให้ใบหน้าของเขาเป็นประกาย…
—
ตอนที่เจียงเซี่ยนฟังหลี่เชียนพูดจาเป็นต่อยหอยอยู่ตรงนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าเห็นเขาทำหน้าทะเล้นและออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้สึกสบายใจไม่น้อย และนึกได้ว่าตนเองไม่ควรจะยึดติดกับเรื่องราวในชาติก่อนไปตลอด ในเมื่อชาตินี้ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ นางก็ไม่ควรยุ่งกับหลี่เชียนอีกแล้ว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ นางก็มักจะเจอเขาอยู่เสมอ ก็เหมือนเรื่องของคนสกุลฟางในครั้งนี้ หากไม่ใช่ว่านางรู้แล้วว่าหลี่เชียนคนแบบไหน มีความสามารถอย่างไร องครักษ์เล็กๆ คนหนึ่ง ต่อให้ฝีมือโดดเด่นแค่ไหน นางก็ไม่มีทางใช้เขาอยู่ดี
สุดท้ายนางไม่เพียงแต่ใช้หลี่เชียน ทว่ายังลากตระกูลหลี่เข้ามาอยู่ในการล้มล้างราชสำนักรอบนี้ และให้โอกาสตระกูลหลี่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งที่เดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าจะทำ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกท่านลุงจะลงมือตอนไหน?
ฟังจากน้ำเสียงของหลี่เชียน ท่านลุงไม่ได้วางใจเขาอย่างเต็มที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องบอกแผนการทั้งหมดออกมาอย่างหมดเปลือก ดังนั้นสุดท้ายแล้วครั้งนี้ตระกูลหลี่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ได้หรือไม่ ก็ยังต้องดูว่าความสามรถของหลี่เชียนดีขนาดนั้นหรือเปล่าแล้ว…
เจียงเซี่ยนรับประทานอาหารค่ำอย่างลวกๆ
หลิวเสี่ยวหม่านพานางย้ายไปดื่มชาที่ตำหนักข้าง ด้วยตนเอง ตอนที่ต้องคุยเป็นเพื่อนนางนั้น หลายครั้งอยากพูด แต่ก็หยุดไว้
เจียงเซี่ยนทำเป็นมองไม่เห็น
ไม่ว่าหลิวเสี่ยวหม่านจะรู้เรื่องแผนการเปลี่ยนการปกครองในราชสำนักแล้วมาปลอบใจนาง หรือเขารู้เรื่องของหลี่เชียนแล้วมาเตือนนาง นางก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น
นางดูรายการงิ้วที่จะร้องพรุ่งนี้แล้วก็ตัดสินใจเข้านอนเร็วหน่อย
เพียงแต่นางยังไม่ทันนอนลง ก็มีคนจากตำหนักเต๋อฮุยที่เฉาไทเฮาพักอยู่มาถ่ายทอดรับสั่งว่า เฉาไทเฮารู้สึกว่าซ่งเสียนอี๋เป็นคนฉลาด รู้งานมาก สองวันนี้ตำหนักเต๋อฮุยงานเยอะคนน้อย จึงอยากให้ซ่งเสียนอี๋อยู่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ตำหนักเต๋อฮุย
เจียงเซี่ยนยิ้มเยาะ
ในที่สุดปลาก็ติดเบ็ดแล้ว!
เจียงเซี่ยนตอบไปคำหนึ่ง แล้วเป่าตะเกียงและเข้านอน
—
เวลานี้หลี่เชียนเพิ่งกลับถึงห้องเล็กๆ ตรงตำหนักข้างประตูวังทางทิศตะวันออก
เซี่ยหยวนซีรออยู่ในห้องด้วยสีหน้ากังวล พอเห็นหลี่เชียนกลับมาก็รีบปิดประตู และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจอท่านหญิงแล้วหรือ? นางว่าอย่างไรบ้าง?”
เขาไม่เห็นด้วยที่หลี่เชียนไปหาเจียงเซี่ยนในเวลานี้ แต่หลี่เชียนกลับบอกว่า เจียงเจิ้นหยวนไม่เชื่อใจตระกูลหลี่ บอกพวกเขาแค่ว่าหากคืนนี้มีโคมไฟประดับมุกที่เชื่อมต่อกันหกโคมลอยขึ้นมาจากท่าเรือวารีเคียงพฤกษา ก็แสดงว่าเฉากั๋วจู้หัวหน้าหน่วยองครักษ์ถูกตัดศีรษะ และคนของตระกูลหลี่สามารถลงมือได้แล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่บอกอะไรทั้งนั้น หลี่เชียนรู้สึกไม่มั่นใจ จึงอยากไปหลอกถามจากเจียงเซี่ยน
หลี่เชียนเอ่ย “ท่านหญิงเจียหนานบอกว่า ตระกูลเจียงจำเป็นต้องกำจัดใต้เท้าเฉา เฉากั๋วจู้ ทำให้หน่วยองครักษ์ไร้ผู้นำ กำลังทหารของตระกูลเจียงถึงจะสามารถล้อมวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วไว้ได้อย่างราบรื่นและขังเฉาไทเฮาไว้ได้ ดังนั้นเจิ้นกั๋วกงถึงได้ตกลงกับตระกูลหลี่เช่นนี้…กำจัดใต้เท้าเฉา ต่อให้พวกเราไปแจ้งข่าวแก่เฉาไทเฮา เฉาไทเฮาตรัสมาเพียงประโยคเดียวว่า ‘ทำไมเจ้าไม่แจ้งใต้เท้าเฉาก่อน’ พวกเราก็ต้องเผยความลับแล้ว!”
ไม่เลว
ในเมื่อหลี่เชียนรู้ว่าฮ่องเต้ต้องการบีบบังคับให้เฉาไทเฮาออกจากตำแหน่ง เขาไม่ไปบอกเฉากั๋วจู้ที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ กลับไปบอกเฮาไทเฮาที่อ่อนแอไร้กำลัง ไม่ใช่สายลับก็เป็นนักการเมืองที่ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังก็ไม่อาจฝากฝังเรื่องใหญ่กับคนอื่นได้ทั้งนั้น
ความพยายามของตระกูลหลี่ก็จะสูญเปล่าเช่นกัน
เซี่ยหยวนซีพยักหน้าติดกันหลายครั้ง และเอ่ยว่า “ท่านหญิงยังพูดอะไรอีกหรือไม่?”
หลี่เชียนเอ่ย “ไม่ทันเวลาแล้ว นางยังไม่ได้กินอาหารมื้อค่ำ ทางห้องเครื่องรับพระราชโองการจากฝ่าบาทส่งมื้อค่ำมาแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรอีก…”
ยังดีที่เจียงเซี่ยนไม่อยู่ตรงนี้
หากนางเห็นหลี่เชียนโกหกได้อย่างสุขุมเยือกเย็นและเปิดเผยตรงไปตรงมา เกรงว่าคงต้องโกรธมากอีก
ทั้งสองคนปรึกษากันว่าตอนที่เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันควรจะทำอย่างไรอีกเล็กน้อย
เสียงอาวุธปะทะกันกลับดังขึ้นอย่างแผ่วเบาสองสามครั้งท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีที่เงียบสงัด
หลี่เชียนกับเซี่ยหยวนซีอดที่จะแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ ในใจต่างเอ่ยว่า ‘มาแล้ว’ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
—
ในตำหนักเต๋อฮุย เฉาไทเฮานั่งอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในสายตาที่มองถุงเงินผ้าไหมหังสีน้ำเงินอมเขียวปักลายดอกชาภูเขาสีชมพูกลางเก่ากลางใหม่บนโต๊ะเล็กที่วางอยู่บนเตียงนั้นทอประกายเย็บเยียบ โดยมีฮูหยินอันเฉิงแม่นมของนางอยู่เป็นเพื่อน
ฮูหยินอันเฉิงเห็นแล้วก็ถอนหายใจ และปลอบเฉาไทเฮาเสียงเบา “ฝ่าบาทอายุยังน้อย ไม่รู้ความ ผ่านไปอีกไม่กี่ปี โตหน่อย แต่งงานแล้ว ก็คงจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ไทเฮาให้อภัยฝ่าบาทเถอะเพคะ?”
ริมฝีปากของเฉาไทเฮาเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง จนฮูหยินอันเฉิงพูดจบแล้ว นางถึงตะโกนเรียกเฉิงเต๋อไห่เสียงดัง “เฉากั๋วจู้ล่ะ? ให้เขามาพบข้า!”
เฉิงเต๋อไห่อึ้งไป และก้มหน้าออกไปอย่างเร็วมาก
เฉาไทเฮาด่าเบาๆ ว่า “เจ้าโง่” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังด่าจ้าวอี้หรือเฉิงเต๋อไห่
——————