สำนักชิงหยางที่หายไปนับพันปีได้กลับมาอีกครั้ง ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วในทันที สำนักชิงหยางที่เสมือนกับผู้นำเสวียนเหมินทั้งหมด แม้ว่าตอนนี้จะมีสำนักเทียนซือ แต่ตำแหน่งของสำนักชิงหยางในเสวียนเหมินไม่มีสำนักใดที่จะเทียบได้ 

 

 

แม้ว่าในช่วงหลายปีมานี้ มีคนที่อ้างตัวเป็นศิษย์สำนักชิงหยางเพื่อหลอกลวงอยู่ไม่น้อย ทำให้สำนักต่างๆ รู้สึกรำคาญใจ บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่าคนไหนจริงคนไหนเท็จ แต่คราวนี้กลับไม่มีใครสงสัย สองคนที่เพิ่งโผล่มาใหม่นั้นเป็นศิษย์สำนักชิงหยางแท้ๆ อย่างแน่นอน 

 

 

สำหรับเหตุผลคงไม่ต้องพูดอีก! แน่จริงก็อัญเชิญปรมาจารย์แห่งเสวียนเหมิน ปรมาจารย์แห่งชิงหยาง เทพเจ้ากว่างจี้ออกมาให้ได้สิ! แม้แต่ปรมาจารย์ก็ออกมาแล้ว จะปลอมได้อย่างไร 

 

 

ศิษย์ออกมาจากสำนักชิงหยางล้วนเป็นบุคคลที่เก่งกาจมากความสามารถ ตำราคาถาทั้งหมดบนโลกใบนี้ มีมากกว่าครึ่งที่ออกมาจากสำนักชิงหยาง แม้ว่ามีบ้างที่เขียนขึ้นโดยคนรุ่นหลัง แต่พื้นฐานของชิงหยางยังอยู่ หากสามารถซึมซับได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอต่อการใช้ตลอดชีวิต ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของนักพรตพเนจร เนื่องจากนักพรตที่มีสำนักแล้วไม่อาจเปลี่ยนสำนักได้ 

 

 

ในฐานะที่เป็นองค์กรอย่างเป็นทางการของเสวียนเหมิน สวีชิงเฟิงที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนซือกลับมีความคิดแตกต่างจากคนอื่น สิ่งที่เขาคิดว่า จะหลอกอวิ๋นเจี่ยวให้เข้าร่วมสำนักเทียนซือได้อย่างไร 

 

 

สมแล้วที่เป็นเจ้าสำนัก สิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่ชื่อเสียงของสำนักชิงหยาง แต่เป็นอวิ๋นเจี่ยว เดิมทีเขาก็ตกตะลึงในความสามารถการสร้างข่ายพลังของสหายอวิ๋นอยู่แล้ว นอกจากกำจัดปีศาจงูแล้ว จากการสอบรอบที่สามนี้ เขายังได้รู้ว่านางเป็นหมอรักษาพลังลมปราณด้วย ตอนที่สอบนั้นนางได้ช่วยชีวิตคนที่เคยถูกรุกรานพลังชั่วร้าย ที่สำคัญ…นางสามารถอัญเชิญปรมาจารย์ลงมาได้ 

 

 

นี่คือสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ซึ่งมันเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่านางคือผู้เป็นที่ได้รับความโปรดปรานของสวรรค์ หากนางสามารถอยู่ในสำนักเทียนซือ คงจะสามารถทำให้เสวียนเหมินเจริญรุ่งเรือง ชักนำศิษย์มากมายเข้าสู่ทางแห่งเต๋าได้ 

 

 

เจ้าสำนักสวียิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ เขาต้องรีบจัดการเรื่องนี้ในขณะที่นางยังอยู่ในสำนักเทียนซือ 

 

 

“ท่านอาวุโสเค่อชิน?” อวิ๋นเจี่ยวผงะไปสักครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าสำนักสวี “นั่นคืออะไร” 

 

 

“นี่เป็นการตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์หลังจากปรึกษาหารือกันโดยผู้อาวุโสของสำนักเทียนซือ” เจ้าสำนักสวีก้าวไปข้างหน้าและพูดต่อ “ท่านสหายอวิ๋นมีความสามารถมาก อีกทั้งยังช่วยสำนักเทียนซือจัดการปัญหาหลายครั้ง ท่านอาวุโสเค่อชินเป็นเพียงชื่อเรียกชั่วคราว หากท่านมีความคิดอื่น พวกเราค่อยมาปรับแก้กันใหม่” ไม่มีท่านอาวุโสคนไหนคัดค้าน โดยเฉพาะท่านอาวุโสเจียว เขาอยากจะลากนางไปยังหอข่ายพลังเต็มที่แล้ว 

 

 

“แต่…ข้ายังไม่ได้ขึ้นทะเบียน!” อวิ๋นเจี่ยวผงะ คิ้วของนางขมวดมุ่น ผลการสอบรอบที่สามยังไม่ประกาศเลย 

 

 

“สหายอวิ๋นพูดเล่นอีกแล้ว!” เจ้าสำนักสวียิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นท่านอาวุโสเค่อชิน เช่นนั้นระดับการทดสอบก็จะแตกต่างจากการสอบขึ้นทะเบียน พวกเราได้หารือกันแล้ว ท่านสามารถเลื่อนขั้นเป็นพระจันทร์ได้” 

 

 

“พระจันทร์?!” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงจริงๆ ระดับการทดสอบของสำนักเทียนซือมันง่ายเช่นนี้เหรอ ไม่ได้บอกว่าต้องเริ่มจากเทียนซือเหรียญทองแดงเหรอ นางกวาดตามองเขาขึ้นลง กำลังจะพูดอธิบาย ชายแก่ก็วิ่งเข้ามา 

 

 

เจ้าหนู เร็วเข้า ซุปเสร็จหรือยัง อา…” เขากำลังจะบอกว่าอาจารย์ใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นสวีชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเขา ทันใดนั้นเขาก็กลืนคำพูดกลับเข้าไปทันที “สวี ..เจ้าสำนักสวี” 

 

 

“ท่านสหายไป๋” เจ้าสำนักสวีจำได้ว่าเขาเป็นศิษย์ของชิงหยาง ยิ้มทักทายอย่างใจดี 

 

 

ชายแก่สบตากับอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนูๆ…” ซุปไก่ เจ้ารู้ใช่ไหม 

 

 

“เข้าใจแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวหยิบช้อนบนเตาขึ้นมา หยิบชามซุปขนาดใหญ่ออกจากถุงเก็บอย่างเคยชิน ก่อนจะเริ่มตักซุป 

 

 

เมื่อตักได้เพียงหนึ่งช้อน เจ้าสำนักสวีที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งขึ้นมา เขาจับมือนางไว้ทันที “สหายอวิ๋น! นี่…นี่คืออาวุธวิเศษที่อยู่ในมือของปรมาจารย์วันนั้น!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ก็ตัวแข็งทื่อ 

 

 

เห้ย! จำได้แค่ว่าต้องชามใบใหญ่ แต่ลืมไปว่าชามมันเหมือนกัน ตอนแรกที่เห็นพวกเขาอัญเชิญชามซุปกลับไปด้วยแววตาตื่นเต้น นางกลัวจะสร้างปัญหาจึงอ้อนวอนให้อาจารย์ปู่เสกชามให้หายไป แต่อันนี้…จะอธิบายยังไงดี? 

 

 

“มันอาจจะเป็น…” 

 

 

ทำยังไงดี? ทำยังไงดี? เมื่อกำลังจะถูกเปิดโปง อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกตื่นตระหนกในใจ แต่สีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง 

 

 

สีหน้าของเจ้าสำนักสวีดูประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเหลือบมองนาง จากนั้นก็เหลือบดูชามซุปในมือของนาง จากนั้นจึงพูดต่อว่า “หรือว่าท่านรู้วิธีการสร้างอาวุธนี้แล้ว ดังนั้นจึงสร้างเลียนแบบขึ้นมา?” 

 

 

“…” 

 

 

อะไร? 

 

 

“สหายอวิ๋นเป็นคนมีพรสวรรค์มากจริงๆ!” เจ้าสำนักสวีอุทานออกมา พร้อมกับถือชามซุปขึ้นพินิจซ้ำแล้วซ้ำอีก “อาวุธนี้เหมือนกับอาวุธที่ปรมาจารย์ใช้ในวันนั้นทุกประการ” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

ไป๋วอี้ “…” 

 

 

“เพียงแต่…เมื่อเทียบกับอันที่ท่านปรมาจารย์ใช้นั้น อันนี้มันขาดพลังเทพไปเล็กน้อย” เจ้าสำนักสวีแสดงสีหน้าเสียดายออกมา บางทีมนุษย์ปกติอาจยังไม่สามารถสร้างอาวุธได้ เขาถอนหายใจและพูดต่อ “ไม่คิดเลยว่าสหายอวิ๋นจะเชี่ยวชาญในด้านการสร้างอาวุธด้วย” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวนิ่งเงียบ ก่อนที่ตอบอย่างจริงจัง “เคยศึกษามาบ้าง” ดีมาก ดูเหมือนว่าต้องศึกษาการสร้างอาวุธเพิ่มเสียแล้ว 

 

 

“ท่านสหายอวิ๋นช่างอ่อนน้อมถ่อมตน” เจ้าสำนักสวียังคงพูดด้วยความชื่นชม “สามารถฝึกฝนได้เช่นนี้ ทำให้ข้าละอายใจยิ่งนัก” สำนักเทียนซือก็มีคนที่เชี่ยวชาญในการฝึกฝนอาวุธ แต่พยายามฝึกฝนเป็นเวลานาน ก็ไม่เห็นฝึกแบบนี้ 

 

 

พูดเสร็จก็เหลือบมองซุปไก่ในหม้อด้านข้าง ตาของเขาลุกวาวเป็นประกาย ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะพูดด้วยความแปลกใจ “หรือว่าท่านจะเข้าใจวิธีการใช้อาวุธนี้แล้ว ดังนั้นหลังจากกลับมาในวันนั้น ท่านจึงยืมครัวอันนี้” 

 

 

“เอ่อ…” ไม่ใช่หรอก นางแค่กำลังทำอาหารให้คนเห็นแก่กินบางคนเท่านั้น 

 

 

เจ้าสำนักสวีคิดว่านางยอมรับแล้ว ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น ความจริงง่ายๆ พวกเขากลับคิดถึง! 

 

 

“สหายอวิ๋นช่างน่าทึ่งจริงๆ” เขาลูบคลำชามซุปขนาดใหญ่ในมือ ก่อนจะเสนอออกมาในทันที “อย่างไรก็ตาม วันนี้ข้าก็ไม่มีธุระอะไร ให้ข้าช่วยท่านลองใช้อาวุธนี้เป็นไง” 

 

 

พูดจบ เขาหยิบช้อนซุปบนเตาขึ้นมา ตักขึ้นมาหนึ่งช้อน คิดจะยกชามขึ้นมาดื่ม 

 

 

คนด้านข้างทั้งสองคนตกใจในทันที พวกเขาร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน 

 

 

“อย่า!” อวี๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ พูดพร้อมกัน 

 

 

น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว แสงสีทองพุ่งออกมาจากห้องและกระทบเข้ากับสวีชิงเฟิงในทันที ได้ยินเพียงแต่เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เขาจะกระเด็นออกไป และชนทะลุกำแพงสามแผ่นถึงได้หยุดและล้มลงกับพื้นอย่างไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

ทั้งสองคนสูดลมหายใจเข้าอย่างลึก ก่อนจะวิ่งเข้าไปทันที อวิ๋นเจี่ยวหยิบเข็มเงินขึ้นมาและปักเข้าไปบนตัวสวีชิงเฟิงหลายเข็ม เขาถึงจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น 

 

 

สีหน้างงงวย ภาพลวงตา? เขาดูเหมือนเพิ่งเห็นสะพานหน่ายเหอ… 

 

 

“ท่านเป็นยังไงบ้าง” อวิ๋นเจี่ยวตรวจดูหลายครั้ง พบว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ ถึงได้โล่งใจ ยังดีที่เขายังมีชีวิตอยู่! 

 

 

แต่เจ้าสำนักสวีกลับยังงงงวย สักพักเขาถึงพึมพำออกมา 

 

 

“อา…อาวุธที่ทรงพลัง!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

ไป๋อวี้ “…” 

 

 

เฮ้อ ไร้เยียวยา! 

 

 

สักพัก 

 

 

“เจ้าสำนัก ข้าคิดแล้ว ท่านอาวุโสเค่อชินอะไรเนี่ย ช่างมันเถอะ” 

 

 

“เอ๋ ทำไมละ” 

 

 

“…” 

 

 

ยังจะพูดอีกเหรอ ก็ต้องเป็นเพราะจะทำให้โง่ลงนะสิ!