สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้พักอยู่ในสำนักเทียนซือเป็นเวลากว่าเจ็ดวัน หนึ่งเป็นเพราะเรื่องของเทพอสูร ทำให้ผลสอบในรอบที่สามตัดสินได้ยาก สำนักเทียนซือต้องการเวลาในการตัดสินอันดับของผู้สอบ สองเป็นเพราะว่าเจ้าสำนักสวี…แค่วันนั้นถึงแม้อาจารย์ปู่จะไม่ได้ทิ้งร่องรอยบาดแผลภายในอะไรไว้ แต่ภายนอกนั้นแสนสาหัส
ในเมื่อเป็นเรื่องที่อาจารย์ปู่ก่อเอาไว้ แม้จะต้องจัดการทั้งน้ำตาก็คงต้องทำ อวิ๋นเจี่ยวจึงอยู่จนกว่าอีกฝ่ายจะรักษาจนหายดี อีกทั้งหมอในสำนักเทียนซือมีน้อยมากและกำลังรักษาให้กับผู้เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ อาจทำให้พวกเขาติดพลังชั่วร้ายได้ นางจึงอาสาทำการตรวจดูให้ อาจารย์ปู่กลับพูดง่าย ไม่ได้เร่งเร้าให้พวกนางกลับไป แค่สาเหตุหลักก็คงจะเป็นเพราะสำนักเทียนซือดูแลด้านอาหาร แบบที่ซุปไก่สามารถต้มได้เต็มที่อย่างนั้น ดังนั้นทำให้พวกเขาอยู่นานถึงเจ็ดวัน
เพื่อป้องกันการเกิด ‘อุบัติเหตุ’ แบบเดิม อีกทั้งพวกนางยังไม่สามารถอธิบายหลักการการใช้ ‘อาวุธวิเศษ’ นั้นได้ อวิ๋นเจี่ยวจึงตัดสินใจรีบกลับอารามชิงหยางไปหลังจากผลออกมา
ส่วนเรื่องท่านอาวุโสเค่อชิน อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ตอบตกลงรับตำแหน่งนี้ เหตุผลสำคัญคือนางไม่มีเส้นชีพจรเสวียน ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ไม่ได้เป็นเพราะตำแหน่งท่านอาวุโสเป็นระบบหน้าที่ ไม่มีเงินเดือนอย่างแน่นอน
“วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวมองไปทางตำหนักใหญ่ด้านหน้าพร้อมพูดขึ้น “ท่านไป๋อวี้ อีกเดี๋ยวท่านเป็นคนไปดูผลสอบ และรับสัญลักษณ์แสดงอันดับมา จากนั้นพวกเราจะกลับชิงหยางทันที
“อืม” ไป๋อวี้พยักหน้า หันหน้ากลับไปมองนาง “เจ้าหนู เจ้าไม่ไปหรือ”
“ท่านคิดว่าข้าไปได้ไหม” อวิ๋นเจี่ยวชี้นิ้วไปยังกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กบนโต๊ะ หากไม่มีคนอยู่อาจารย์ปู่บุกเข้ามาอีกจะทำอย่างไร
ไป๋อวี้ไร้คำพูด อาจารย์ปู่ไม่มีคนคอยคุมไม่ได้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงออกจากประตูไป เตรียมไปเรียกตาโจวให้ไปด้วยกัน
“จริงสิ” อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิดและพูดเสริมขึ้นมา “ท่านอย่าลืมเก็บค่าแรง!”
ไป๋อวี้ “…”
อวิ๋นเจี่ยวมองเขาเดินจากไปไกล ถึงได้เตรียมตัวเก็บของ พวกนางมีของติดมาไม่มาก ไม่ถึงชั่วครู่ก็เก็บเสร็จเรียบร้อย นางมองไปยังกระบอกไม้ไผ่ที่กินอิ่ม และทำตัวเงียบสงบบนโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดกำชับว่า “อาจารย์ปู่ หรือไม่ให้ข้าไปห่อของกินที่ห้องครัว เอาไว้กินระหว่างทาง” เมื่อสักครู่เหมือนยังเหลือไก่ครึ่งตัวยังไม่ได้ต้ม ถือโอกาสเอากลับได้พอดี จะได้ไม่สิ้นเปลือง
กระบอกไม้ไผ่สั่นขึ้นมาหนึ่งที สักพักมีเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งส่งออกมา “ได้! เอิ๊ก”
“งั้นเดี๋ยวข้ากลับมา” อวิ๋นเจี่ยวถึงได้หันหลังเดินออกจากห้อง มุ่งตรงไปยังห้องครัว
กำลังเตรียมที่จะห่อ ก็มีร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“หมออวิ๋นๆ !” คนที่มาสีหน้ารีบร้อน ใบหน้าอ่อนวัยขมวดมุ่น “องค์…พี่สาวของพวกเราป่วยหนัก ท่านช่วยตามข้าไปดูได้หรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวหันหน้ากลับไปมอง ผงะไปและถอยออกไปหนึ่งก้าว สักพักถึงได้สติกลับมา กวาดตามองอีกฝ่ายขึ้นลง คนนี้คือ…
เมื่อตั้งสติได้ นางจึงเอ่ยถาม “พี่สาวเจ้าป่วย?”
“อืมๆๆ” เขาพยักหน้าอย่างแรง ร้อนรนมากกว่าเดิม สายตากลับมองไปรอบด้านอย่างระแวง “หนักมาก ได้ยินมาว่าหมออวิ๋นมีวิชาเก่งกาจ จะต้องช่วยนางได้แน่”
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ “ขอโทษที ข้าคงไปไม่ได้ พวกข้าจะไปจากที่นี่แล้ว สำนักเทียนซือมีหมออยู่ไม่น้อย หรือว่าเจ้าลองไปถามคนอื่นดู”
“ไม่ได้!” เขาไม่แม้แต่จะหยุดคิด ส่ายหัวอย่างแรง สายตามองไปรอบด้านอย่างหวาดกลัว ก่อนจะพูดออกมาอย่างร้อนรน “ต้องเป็นท่านเท่านั้น คนอื่นไม่ได้ ท่านตามข้าไปเถอะ”
“มีแค่ข้าเท่านั้น?”
“อืมๆๆ” เขาพยักหน้าอย่างแรง สายตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “คนอื่นไม่ได้ มีแค่ท่าน ท่านต้องทำได้แน่” เขาครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้พูดเสริมขึ้นมา “ข้า…ข้าจะจ่ายค่ารักษาให้”
ค่ารักษา?
อวิ๋นเจี่ยวตะลึงไป มองพินิจคนตรงหน้าอย่างละเอียด “งั้นเจ้าลองบอกข้าดูว่านางป่วยเป็นอะไร มีอาการเป็นอย่างไร”
“นาง…” สายตาของเขาหลบหลีก ราวกับไม่รู้จะต้องพูดอย่างไร สักพักถึงได้ชี้ไปที่หน้าอกก่อนจะพูดว่า “ตรงนี้เป็นรูใหญ่ มีเลือดไหลออกมามากมาย อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาอีก”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด “นางเป็นเช่นนี้นานแค่ไหนแล้ว”
“มี…เจ็ด แปด…” เขานับนิ้ว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “สิบวัน มีสิบวันแล้ว! ข้าตามหาท่านมานานมาก ได้โปรดช่วยนางทีเถอะ”
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วพูดว่า “ข้ามีคำถามสุดท้าย!”
“หืม?”
“พี่สาวเจ้าในคราวนี้…เป็นหมาป่า หมีแพนด้า กระต่าย หรือว่ายีราฟ”
“…”
เอ๊ะ?
อีกฝ่ายตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าตกใจอย่างมาก สักพักถึงได้พูดขึ้นอย่างสั่นๆ ว่า “ท่าน…ท่าน…ทำไมท่านถึง…”
“เจ้าคือจิ้งจอกใช่ไหม” อวิ๋นเจี่ยวเปิดโปง
อีกฝ่ายยิ่งตัวแข็งทื่อ ก่อนจะก้มหน้าต่ำลง “หมอ…หมออวิ๋นดูออกได้อย่างไร”
อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือมาบีบใบหน้าของเขา จากนั้นชี้ไปทางด้านหลัง “ครั้งหน้าอย่าลืมเก็บหางด้วย” คนที่ไหนจะมีหางสีแดงติดตัวมาด้วย อีกทั้งยังโบกไปมาเมื่อเจอหน้านางอีก คิดดูแล้วก็คงจะมีแค่เจ้าจิ้งจอกน้อยเท่านั้นที่มักมาหานาง และเรียกนางว่าหมออวิ๋น
“ไม่เจอกันเพียงเดือนเดียว เจ้าฝึกฝนกลายเป็นมารตั้งแต่เมื่อไหร่?” อาจารย์ปู่เคยบอกว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ห่างจากการเป็นมารเพียงก้าวเดียว ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน มันจะสามารถกลายร่างได้แล้ว
เขาราวกับเพิ่งพบหางที่ด้านหลังของตัวเอง ทันใดนั้นคนทั้งคนก็ห่อเหี่ยวลงไป สุดท้ายก็ล้มเลิกการปลอมตัว โผล่หูทั้งสองข้างออกมา “ก็…ก็ไม่นานมานี้” ทันใดนั้นราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “หมออวิ๋น ท่านตามข้ากลับไปดูหน่อยเถอะ หากช้ากว่านี้…นาง…นางต้องตายแน่! ข้ารอท่านอยู่ในอารามนานมาก…ท่านไม่กลับ…ไม่กลับมาเสียที…”
เขายิ่งพูดยิ่งร้อนรน ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลลงมาในทันที
“เลิกร้องไห้ได้แล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวอดไม่ได้ที่จะลูบคลำหัวของเขา เจ้าจิ้งจอกน้อยคิดว่าเขาเป็นสัตวแพทย์เสียแล้ว “ไหนบอกมาสิ คราวนี้เพื่อนคนไหนป่วย” เขามองไปรอบด้าน “เจ้าเป็นจิ้งจอก กล้ามาที่สำนัก
เทียนซือตามลำพังได้ยังไง ไม่กลัวถูกคนเก็บไปหรือไง”
“ไม่กลัว ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน…” เห็นนางไม่ปฏิเสธ จิ้งจอกน้อยสายตาลุกวาว น้ำตาหดเข้าไปทันที หางด้านหลังแกว่งไปมาราวกับไม้กวาดอย่างนั้น “คราวนี้ข้าได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ให้มาเชิญท่านกลับไป
ท่านอวิ๋น ท่านไปก็จะรู้เอง”
ท่านอ๋อง? ท่านอ๋องอะไร
อวิ๋นเจี่ยวตะลึง จิ้งจอกน้อยควักบางอย่างออกมา และบีบให้มันแตก
“เดี๋ยว ข้ายังไม่…” นางยังไม่ตอบตกลงนะ!
พูดยังไม่ทันจบ เห็นเพียงแต่แสงสีขาวแวบผ่านไป มิติตรงหน้าของทั้งสองก็เริ่มบิดเบี้ยว ด้านหน้าปรากฏทางเข้าขึ้นมา นางรู้สึกเพียงมีแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่งดึงตัวนางเข้าไปในนั้น จากนั้นทั้งสองคนก็หายตัวไป
ภายในห้องที่ห่างออกไปไม่ไกล
กระบอกไม้ไผ่สั่นขึ้นมาหนึ่งที พลังมาร?
…
ช่างเถอะ ไม่สำคัญ ศิษย์เสวียนเหมินที่นี่ถึงแม้จะโง่เขลา แต่พลังมารอ่อนแอเช่นนี้ คาดว่าคงจะรับมือได้
ดังนั้น กระบอกไม่ไผ่จึงไม่ขยับ
อืม ศิษย์หลานตัวน้อยของเขาจะห่ออะไรกลับมานะ?
อร่อยแน่ๆ !