ตอนที่ 103 คืนที่หลับไม่ลง! + ตอนที่ 104 ชีพจรเสียหาย!

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 103 คืนที่หลับไม่ลง! + ตอนที่ 104 ชีพจรเสียหาย! Ink Stone_Romance

ตอนที่ 103 คืนที่หลับไม่ลง!

เมื่อมู่หรงอี้เซวียนกระโดดข้ามไปบนหลังคา มาถึงบริเวณหลังคาที่ห่างไม่ไกลจากบ้านตระกูลสวี่ ก็เห็นภาพที่น่าขนลุกนั้น ทั่วทั้งร่างเสียขวัญเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว พลางมองเหตุการณ์น่าตกใจที่แสนงดงามนั้นอย่างตะลึงในความงาม…

เหนือหลังคาบ้านตระกูลสวี่ เงาร่างสีแดงยืนรับสายลม ชุดสีแดงที่แพรวพราวเปิดเผยดูช่างชั่วร้ายเอาแต่ใจอยู่ในเปลวไฟนั้น เส้นผมสีหมึกดำลอยพลิ้ว เปลวเพลิงลุกไหม้โหมแรง รวมถึงหงส์ไฟตัวมหึมาที่วนเวียนอยู่กลางอากาศเหนือหัวเขา ทั้งหมดทั้งมวลล้วนดูช่างลึกลับ และงดงามราวกับไม่ใช่ของจริง…

อาจเพราะรู้สึกถึงสายตาของเขา คนผู้นั้นจึงหันหน้ากลับมา หน้ากากลายดอกลำโพงสีทองสะท้อนสู่สายตาอย่างชัดเจนท่ามกลางเปลวไฟสว่างไสว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมีแรงดลใจให้คิดอยากเปิดหน้ากากออกเพื่อลอบมองโฉมหน้าแท้จริง

แต่ว่า ไม่รอให้เขาได้สติ ก็เห็นหงส์ไฟบนท้องฟ้าส่งเสียงเบาๆ ระหว่างที่โน้มตัวโฉบลงกลายเป็นลำแสงเข้าไปในตัวของบุคคลลึกลับที่ยืนรับลมอยู่ผู้นั้น หายวับไปกับตา

แทบจะในเวลาเดียวกัน คนผู้นั้นดึงสายตากลับมาจับจ้องบนร่างเขา ก่อนจะเรียกพลังขึ้นกระโดดลงแนวดิ่ง เงาร่างแวบผ่านไปราวกับภูตผี หายวับไปกลางค่ำคืนอย่างรวดเร็ว…

เขาสาวเท้าก้าวออกโดยไม่รู้ตัว แล้วยื่นมือไปด้านหน้าอยากจะเรียกคนผู้นั้นไว้ แต่สุดท้ายก็ดึงมือกลับ และไม่ได้ตะโกนออกไป

คนคนนั้นเป็นใครกัน?

เขาคิดไป ในใจก็เดาออกได้อยู่ลางๆ

ชุดสีแดงลือเลื่องแพรวพราว กลิ่นอายลึกลับชั่วร้าย ท่าทางเปิดเผยเอาแต่ใจ รวมถึงหน้ากากลายดอกลำโพงสีทอง หากไม่ใช่ภูตหมอผู้ลึกลับ แล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า?

เมื่อเหล่าผู้นำแต่ละตระกูลที่รีบร้อนมากัน เห็นบ้านตระกูลสวี่ถูกไฟโหมกระหน่ำห้อมล้อม ต่างสูดหายใจเข้าอย่างอดไม่ได้ น่าเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย และหนึ่งตระกูลขั้นกลางก็จบสิ้นลงเช่นนี้…

“ซี๊ด!”

“นี่ นี่คือบ้านตระกูลสวี่รึ?”

“สวรรค์! ตระกูลสวี่ถูกฆ่าล้างบางเสียแล้วรึ?”

“ตระกูลสวี่ไปยุแหย่อะไรเจ้าของสัตว์เทวะในตำนานเข้ารึ? ถึงได้รับจุดจบน่าเวทนาด้วยการถูกฆ่าล้างตระกูล…”

ผู้คนต่างพูดคุยกัน เห็นทั่วทั้งบ้านตระกูลสวี่กำลังลุกไหม้ ทั้งด้านในด้านนอกถูกเปลวไฟล้อมรอบปะทุดังเพล้งพล้าง สะอึกสะอื้นกันไม่สิ้นสุด

สำหรับตระกูลหนึ่งก็สูญสิ้นลงเช่นนี้ สาบสูญไปจากเมืองอวิ๋นเยวี่ย ในใจพวกเขาล้วนมีความสับสนที่พูดไม่ออก

นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งได้เป็นใหญ่ เป็นความจริงของโลกนี้ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง!

แม้ตระกูลท่านมีเป็นร้อยบ้าน เมื่อยุยงบุคคลที่น่าหวาดกลัวเข้า ฆ่าท่านใช้เพียงเสี้ยวนาที หากจะล้างบางก็ภายในคืนเดียว…

ผู้นำตระกูลท่านหนึ่งเห็นมู่หรงอี้เซวียนที่มาถึงที่นี่ก่อนกำลังเหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่ง แววตาก็เป็นประกายเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ จึงออกหน้าเอ่ยถาม “ท่านอ๋องสาม ท่านมาถึงที่นี่คนแรก มองเห็นใครหรือไม่?”

ฟังคำพูดนี้ เหล่าผู้นำตระกูลท่านอื่นที่กำลังเสวนากันก็มองไปทางมู่หรงอี้เซวียน ใช่แล้ว! คนที่ฆ่าล้างบางตระกูลสวี่เป็นใครกัน? และคนที่ครอบครองหงส์ไฟสัตว์เทวะในตำนานล่ะเป็นใคร?

มู่หรงอี้เซวียนดึงสติกลับมา เห็นสายตาพวกเขาจับจ้องมาเป็นคำถาม จึงครุ่นคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าเห็นเพียงเงาร่างสีแดง ส่วนที่ว่าเป็นใคร ไม่อาจมองเห็นได้ชัด”

“เงาร่างสีแดงรึ?”

หัวใจผู้คนเสียงดังตึกตัก ในหัวก็นึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ภูตหมอ!

จะเป็นเขาหรือไม่? บุคคลที่ลึกลับที่สุดในเมืองอวิ๋นเยวี่ยเวลานี้ และเป็นบุคคลที่ผู้คนต่างร้องขอเข้าพบแต่กลับไม่อาจได้พบ แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาภูตหมอ กลับได้ยินว่าเขาชอบสวมชุดสีแดงแพรวพราวเอาแต่ใจ ใบหน้าสวมหน้ากากลายดอกลำโพงสีทอง กลิ่นอายชั่วร้ายราวกับปีศาจ น่าพิศวงยิ่งนัก

…………………………………………………….

ตอนที่ 104 ชีพจรเสียหาย!

อีกสองวันให้หลัง ในเวิ้งสวนท้อ

เฟิ่งจิ่วที่สวมเพียงชุดลำลองสีขาวเดินออกมาจากประตูห้อง ก็เห็นเหลิ่งซวงเข้ามารับ

“นายท่านเจ้าคะ” เหลิ่งซวงมองนางด้วยความกังวลใจน้อยๆ ตั้งแต่กลับมาวันนั้น สีหน้านายท่านก็ขาวซีดมาตลอด

“พี่ชายข้ายังไม่ฟื้นรึ?” เธอมองเหลิ่งซวงพลางเอ่ยถาม น้ำเสียงยังคงอ่อนแอนัก

คืนนั้นเธอบาดเจ็บถึงชีพจร หากตัวเองไม่ชำนาญด้านการรักษา เวลาสองวันนี้คงลงจากเตียงไม่ได้แน่ แต่ว่า แม้อาการบาดเจ็บจะดีขึ้น กลับยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ถึงขนาดเมื่อพูดเสียงดังหรือกระแอมไอก็ยังเจ็บอยู่รางๆ

“คุณชายฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม ข้าจะลองไปดู” ระหว่างที่พูด ก็ขยับก้าวเดินออกไปด้านนอก

เรือนของกวนสีหลิ่นอยู่ถัดจากนางใกล้ๆ กันเดินไปมาสะดวก ด้วยเหตุนี้ พอออกจากประตูเรือนไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว

เมื่อเข้าเรือน ยังไม่ทันผลักประตูเปิดเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงไอดังมาจากด้านใน เธอหยุดฝีเท้าลง มองไปที่เหลิ่งซวง “เขาดื่มยาหรือยัง?”

“ตอนที่เพิ่งตื่นมาก็ดื่มแล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วถึงจะเดินเข้าไป มาถึงด้านใน ก็เห็นเขาที่นอนแผ่อยู่บนเตียงกำลังคิดจะลุกขึ้นมานั่ง จึงรีบเดินไปด้านหน้าทันที “บนตัวยังมีแผล! รีบนอนลงไปซะ”

“เสี่ยวจิ่ว?” กวนสีหลิ่นเห็นว่าเป็นนาง จึงผุดยิ้มออกมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียว ก็ตกใจอย่างอดไม่ได้ “เสี่ยวจิ่ว ทำไมสีหน้าเจ้าย่ำแย่เพียงนี้เล่า?”

เพิ่งตื่นขึ้นมา ไม่ทันได้ถามพวกนางเลยว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

“บาดเจ็บถึงชีพจร รักษาอีกสักพักก็หาย”

เธอนั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปคลำชีพจรเขา พลางพูดว่า “แม้บนตัวท่านมีบาดแผลมากมาย แต่หลายจุดเป็นแค่แผลภายนอก ยังดีที่ไม่บาดเจ็บถึงกระดูก ไม่เช่นนั้น อย่างน้อยก็ต้องพักสักสิบวันถึงครึ่งเดือน”

เห็นสีหน้านางซีดเซียว ค่อยนึกถึงที่เขาถูกช่วยออกมาตอนนี้ ถึงหัวทึบก็รู้แน่ว่านางไปช่วยเขา ดวงตาจึงร้อนผ่าวเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ “เสี่ยวจิ่ว พี่ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ สร้างปัญหาให้เจ้าอยู่เรื่อย”

“พูดอะไรของท่านน่ะ?”

เธอดึงผ้าขึ้นห่มให้เขาสูงขี้น กล่าวว่า “ร่างกายท่าน รักษาอีกสองวันก็ลุกจากเตียงไปเดินได้แล้ว แต่งานคัดเลือกตระกูลกวนจะจัดในอีกสามวันให้หลัง เวลากระชั้นชิดอยู่บ้าง ข้ากังวลว่าร่างกายท่านจะไม่ไหวเอา”

“ไม่เป็นไร ข้ายังไหว งานคัดเลือกตระกูลกวนข้าต้องกลับไปแน่”

“เช่นนั้นสองวันนี้ท่านก็รักษาตัวให้ดี ข้าจะจัดยาให้ท่าน บาดแผลท่านจะฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด” เธอลุกยืนขึ้น เอ่ยว่า “ข้ากลับห้องก่อน หากมีเรื่องอะไร ท่านบอกเหลิ่งซวงไว้ก็พอ”

“ได้ ร่างกายเจ้าไม่สู้ดี ต้องพักผ่อนมากๆ ไม่ต้องมาดูข้าบ่อยๆ หรอก”

เฟิ่งจิ่วยิ้มพลางพยักหน้า มองไปที่เหลิ่งซวงกำชับเรื่องเปลี่ยนยา สุดท้ายถึงจะกลับห้อง และแวบตัวเข้าจวนภูตในห้วงมิติ

คืนนั้น เธอไม่เพียงชีพจรเสียหาย แม้แต่หงส์ไฟก็หลับปุ๋ยไปเพราะเหตุนี้ด้วย

หงส์ไฟที่ปรากฏตัวด้วยรูปร่างมนุษย์เด็กน้อยเตาะแตะ จะเผยร่างจริงก็ขอแค่รอเป็นผู้ใหญ่ ทว่าเมื่อคืน เธอกลับใช้ตราสัญลักษณ์เก่าแก่จากเลือดทำลายซึ่งพันธนาการนั้น ทำให้เขาเผยร่างจริงเพื่อสังหารศัตรู

กำลังต่อสู้ยามที่เขาเผยร่างจริงแทบจะไปถึงขั้นสูงสุดของสัตว์เทวะในตำนานที่เติบโต ต่อกรกับระดับบรรพชนนักรบแค่คนเดียว ย่อมจัดการได้ง่ายดายเป็นธรรมดา แต่ราคาที่ต้องแลกก็มากโข นั่นคือเขาหมดสติไป หนำซ้ำ ยังไม่รู้ด้วยว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด

เธอมองหงส์ไฟน้อยที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในลูกไฟเล็กๆ ภายในห้วงมิติ ยังคงมีท่าทางเช่นมนุษย์เด็กน้อยอายุสามขวบ คล้ายว่าง่วงนอนจึงหลับสนิทอยู่ด้านใน

เธอดึงสายตากลับมา ลงนั่งขัดสมาธิใช้ลมปราณเพื่อฟื้นฟูบาดแผลภายในร่าง พร้อมทั้งปล่อยพลังวิญญาณและพลังเร้นลับออกมา ทั่วร่างถูกสองกลิ่นอายนั้นห้อมล้อมไว้ เพียงรู้สึกว่ากระแสไออุ่นกำลังไหลเวียนอยู่ในเส้นเอ็น…

…………………………………………………….