เหล่าคหบดีคิดได้ว่าเมื่อครู่เผยเยี่ยนก็ออกตัวปกป้องสกุลอวี้อย่างชัดเจน พอได้ยินเผยเยี่ยนรั้งตัวอวี้เหวินไว้เพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว สายตาที่มองอวี้เหวินจึงเจือกระแสอิจฉาอยู่หลายส่วน
เป็นดังคำที่ว่าไว้ ฮ่องเต้องค์ใดย่อมใช้ขุนนางชุดนั้น[1] ทั้งคนในสกุลและสถานที่ก็เช่นเดียวกัน ใครได้กุมอำนาจ ย่อมจะเลือกใช้ไม่กี่คนที่ตนรู้จัก คุ้นเคยหรือว่าชื่นชม เผยเยี่ยนเพิ่งจะมารับหน้าที่ผู้นำสกุล ทั้งยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงไม่ได้มีงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต บวกกับแต่ก่อนเขาก็เป็นคนเย่อหยิ่ง ซ้ำไม่ใช่บุตรคนแรก พี่ชายคนโตของเผยเยี่ยนยังเป็นผู้เพียบพร้อมทั้งคุณธรรมและความสามารถ ใครต่างก็คาดไม่ถึงว่าตำแหน่งผู้นำสกุลจะมาตกที่เผยเยี่ยนได้ ผลสุดท้ายจึงไม่มีใครสนิทสนมกับเผยเยี่ยน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปมาหาสู่ บัดนี้แต่ละคนต่างพยายามทุกทางเพื่อหาวิธีเข้าใกล้และพูดคุยกับเขา ทว่าจู่ๆ อวี้เหวินกลับได้รับโอกาสนั้นไป ใครบ้างจะไม่สะเทือนใจเล่า?
โดยเฉพาะนายท่านอู๋ เขาเป็นเพื่อนบ้านของสกุลอวี้ ครั้งนี้ก็เสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือสกุลอวี้ไว้ไม่น้อย ทั้งแต่ไรก็เป็นคนมีไหวพริบเฉลียวฉลาด ได้ยินดังนั้นก็ผลักหลังอวี้เหวินทันที แล้วกระซิบบอกเขาเสียงเบาว่า “ข้ากับนายท่านเว่ยจะพาพวกเด็กๆ ไปรอเจ้าด้านนอก เจ้ามีเรื่องอะไรก็ส่งสัญญาณแล้วกัน”
อวี้เหวินกลับมีแต่หมอกปกคลุมเต็มหน้า
ก่อนหน้านี้ด้วยเรื่องรักษาอาการป่วยของภรรยาเขาพยายามเข้าหาเผยเยี่ยนเพื่อกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนคร้านจะสนใจเขา บัดนี้เขาคิดได้แล้วว่ามิตรไมตรีระหว่างวิญญูชนก็บางเบาดั่งสายน้ำ แต่เผยเยี่ยนกลับมารั้งตัวเขาไว้ต่อหน้าคนมากมายเสียนี่
เขาไม่คิดว่าเผยเยี่ยนกำลังแสดงไมตรีต่อเขา แต่คงเพราะต้องการสอบถามเรื่องบางอย่างระหว่างสกุลอวี้กับสกุลหลี่มากกว่า?
เป็นเพราะเรื่องนี้นับแต่สืบสวนจนถึงตามจับคน แม้แต่การเชิญให้เผยเยี่ยนมาเป็นคนกลางตัดสินล้วนเป็นความคิดของอวี้ถังทั้งสิ้น เขาจึงอดจะหันไปมองอวี้ถังทีหนึ่งไม่ได้
อวี้ถังก็ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนจะมาไม้ไหนอีก แต่เขารั้งตัวบิดาของนางไว้พูดคุยต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ตามหลักแล้วพวกนางย่อมไม่อาจหักหน้าเผยเยี่ยนได้
นางได้แต่กระซิบบอกบิดา “ขอเพียงไม่ขัดแย้งกับเรื่องเมื่อครู่ ท่านก็ตอบรับไปเถิดเจ้าค่ะ นายท่านสามนับว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อสกุลเรา”
อย่างอื่นไม่พูดถึง ทุกๆ เดือนก็ต้องอาศัยท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถึงจะได้ฟังคำว่ามารดาปลอดภัยจากปากหยางโต่วซิง!
อวี้เหวินขบคิด วิญญูชนนั้นไม่มีเรื่องใดที่พูดคุยอย่างเปิดเผยมิได้อยู่แล้ว หาได้มีสิ่งใดต้องกลัวไม่ เมื่อคิดได้เช่นนี้ใจก็ผ่อนคลายลง หันไปกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาร่วมเป็นพยานด้วยรอยยิ้ม แล้วกำชับกับอวี้ถังและอวี้หย่วนว่า “อย่าวิ่งไปทั่ว” ก่อนจะหันไปกระซิบกับนายท่านเว่ยและนายท่านอู๋เป็นทำนองว่า “รอข้าออกมาก่อน” จากนั้นก็รั้งตัวอยู่ที่เรือนรับรอง
เผยเยี่ยนคอยสังเกตท่าทีของพ่อลูกสกุลอวี้อยู่ตลอด เห็นว่าแค่เขารั้งตัวอวี้เหวินไว้พูดคุย อวี้เหวินยังต้องมองหน้าบุตรสาวทีหนึ่ง ในใจเขาเริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆ แต่นิสัยเขาก็เป็นเช่นนี้ หากมีสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ก็ต้องซักถามให้กระจ่าง ไม่ว่าพ่อลูกสกุลอวี้จะมีอะไรปิดบังอยู่ เขาไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่
เขาสั่งต่อว่า “เชิญนายท่านอู๋กับนายท่านเว่ยไปดื่มชารอที่โถงบุปผาข้างๆ ก่อน พวกเราคุยกันไม่นานก็เสร็จแล้ว”
ประโยคสุดท้าย เผยเยี่ยนหันมาบอกกับพวกอวี้ถัง
นายท่านอู๋กำลังกลัดกลุ้มที่ไม่อาจหาโอกาสคุยกับเผยเยี่ยนได้ ได้ยินดังนั้นก็เหมือนกับคนที่สัปหงกง่วงนอนอยู่แล้วจู่ๆ ก็มีหมอนยื่นมาให้ ด้วยกลัวว่าพวกอวี้ถังกับนายท่านเว่ยจะไม่รู้หนักเบา โยนทิ้งโอกาสไปง่ายๆ ไม่รอให้นายท่านเว่ยเปิดปาก ก็รีบหันไปประสานมือคารวะเผยเยี่ยน พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็รบกวนนายท่านสามแล้ว”
เผยเยี่ยนพยักหน้ารับน้อยๆ
นายท่านอู๋ลากแขนนายท่านเว่ยออกจากเรือนรับรองไป
แต่ว่านอกเรือนรับรองมีทั้งสะพานข้ามธารน้ำเล็กๆ ภูเขาจำลองซับซ้อนหลายลูก รอบด้านโอบล้อมด้วยทิวทัศน์นานา พลันทำให้คนไม่อาจแยกเยอะเหนือใต้ออกตก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโถงบุปผาที่เผยเยี่ยนเอ่ยถึง
บ่าวรับใช้ที่นำทางเม้มปากกลั้นยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ขาดความเคารพว่า “นายท่านทั้งสองโปรดตามข้ามาทางนี้ขอรับ”
“อ้อ! อ้อ!” นายท่านเว่ยส่งเสียงตอบ พลางจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ คิดว่าคงไม่มีใครเห็นเรื่องน่าอายของตนเมื่อครู่ ถึงได้เดินนำหน้าทุกคนออกไป บ่าวรับใช้พาพวกเขาเดินผ่านระเบียงยาวสีแดงที่แสนจะคดเคี้ยว ผ่านกำแพงดอกไม้ จนมาถึงด้านหน้าโถงบุปผาที่บานประตูสี่ด้านฝังกระจกหลากสีเอาไว้
“สวรรค์!” นายท่านอู๋เห็นแล้วก็ตาโตทันที “นี่ นี่ต้องใช้เงินเท่าใดกัน?” พูดจบ ก็รู้ตัวว่าตนเสียมารยาทอีกครั้ง จึงเร่งร้อนอธิบายต่อนายท่านเว่ยว่า “กระจกหลากสีเช่นนี้ข้าก็เคยเห็นอยู่ ตอนนั้นที่จวนขุนนางในเมืองหลวง ครั้งก่อนข้ามาจวนสกุลเผยตรงนี้คล้ายจะกรุด้วยผ้าแพรอยู่เลย บัดนี้เปลี่ยนเป็นกระจกหลากสีเสียแล้วรึ พื้นที่แค่ตารางฉื่อเดียวก็ต้องใช้เงินห้าสิบตำลึงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขนาดใหญ่โตเช่นนี้ เกรงว่าแค่มีเงินอย่างเดียวคงจะหาซื้อไม่ได้ ดูใหญ่โตหรูหรากว่าจวนขุนนางในเมืองหลวงอยู่อักโขทีเดียว!”
นายท่านเว่ยไม่ได้สนใจวาจาพร่ำเพรื่อของนายท่านอู๋ เขายังรู้สึกเป็นห่วงอวี้เหวินอยู่ แต่เพราะถูกบานประตูกระจกหลากสีตรงหน้าทำเอาตื่นตะลึง สายตาได้แต่จดจ้องบานประตู ส่วนปากก็พึมพำออกมาว่า “นี่ช่างงดงามเหลือเกิน! ทั่วทั้งเมืองหลินอันคงมีแค่ที่เดียวกระมัง? ดูภาพวาดด้านบนนั่นสิ ใช่ภาพสี่ชั่งเหมยเซา[2]หรือไม่? ทั้งยังปิดทองคำเปลวอีกด้วย แล้วปิดลงไปได้อย่างไรเล่านั่น? งานฝีมือเช่นนี้ เป็นของชาวนอกทะเลหรือไม่? ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยเชียว”
อวี้ถัง อวี้หย่วน รวมถึงเว่ยเสี่ยวหยวนต่างก็ถูกประตูกระจกทำเอาตะลึงตะลานไปแล้ว
อวี้หย่วนกับเว่ยเสี่ยวหยวนก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก อวี้ถังนั้นอดคิดถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้
หลังจากที่สกุลหลี่ทำการค้าทางทะเลจนร่ำรวย ก็เคยเปลี่ยนบานประตูโถงบุปผามาเป็นกระจกหลากสีเช่นนี้ ทว่าโถงบุปผาของสกุลหลี่ไม่เหมือนเช่นสกุลเผย โถงบุปผาของสกุลหลี่ฝังกระจกเพียงด้านหน้าแปดบาน แต่ของสกุลเผยนี้ ไม่เพียงสี่ด้านที่เป็นบานประตู ทั้งทิศตะวันตกและทิศตะวันออกมีฝั่งละสิบสองบาน ทิศเหนือและทิศใต้มีฝั่งละยี่สิบแปดบาน…บานประตูของสกุลหลี่มีภาพสี่สุภาพบุรุษเเห่งมวลบุปผาคือ ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ และดอกเบญจมาศ แต่บานประตูของสกุลเผยกลับซับซ้อนกว่านั้นมากนัก นอกจากมวลบุปผา ส่วนมากก็จะเป็นเหล่าสกุณา นกยูง และนกกระเรียนขาวเป็นส่วนใหญ่ พวกขนนกนั้น ล้วนวาดออกมาอย่างประณีต งดงามสูงค่า เมื่อแสงสาดมากระทบ ก็เกิดเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว
บานประตูของสกุลหลี่นั้น เห็นชัดว่าวาดเสือไม่เหมือน กลับคล้ายหมามากกว่า[3]
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่คนสกุลหลินก็มักจะพูดกับแขกที่มาเยือนอย่างภูมิใจนักหนาว่า “นำเข้ามาจากนอกทะเลโน้น แพงกว่าทองคำเสียอีก ยังต้องหาช่างผู้เชี่ยวชาญมาทำโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจะได้เห็นภาพสตรีนอกทะเลที่ผมเหลืองตาเขียวแทน ช่างอัปลักษณ์เหลือเกิน”
บานประตูเหล่านี้ของสกุลเผยก็คงสั่งทำเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ขนส่งข้ามทะเลกลับมา!
เช่นนั้นเวลานี้สกุลเผยก็คงเริ่มมีการติดต่อและไปมาหาสู่กับพวกพ่อค้าทางทะเลแล้ว
อย่างน้อย สกุลเผยก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของพวกพ่อค้าเหล่านั้น
อวี้ถังอดจะประหลาดใจไม่ได้
บ่าวรับใช้ที่นำทางเพิ่งเคยเห็นแขกผู้มาเยือนแสดงสีหน้าตื่นตกใจเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เขาปล่อยให้บรรดาแขกพิจารณาบานประตูตามใจชอบ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิใจว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนายท่านสามที่นำกลับมาแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้เฒ่าขอรับ หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าจากไป นายท่านสามคิดจะเปลี่ยนบานประตูเหล่านี้เป็นบานกระจกขาวล้วน แต่ท่านแม่เฒ่าพูดแล้วว่า ท่านผู้เฒ่าตอนที่มีชีวิตก็ชอบมานั่งเล่นกับครอบครัวและสหายที่โถงนี้เป็นที่สุด หากว่านายท่านสามอยากแสดงความกตัญญู ก็สมควรรักษาสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าชื่นชอบเอาไว้ ” พูดถึงตรงนี้ บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็คล้ายนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นออก เขาหลุดหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมาแล้วเอ่ยต่อ “นายท่านสามยังบอกอีกว่า ในเมื่อท่านผู้เฒ่าชมชอบเพียงนี้ ก็ฝังไปเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าเลยยิ่งดี ท่านแม่เฒ่าไม่เห็นด้วย บอกว่านายท่านสามกำลังท้าทายท่านผู้เฒ่าอยู่ ทั้งๆ ที่ท่านผู้เฒ่าชอบโอ้อวดต่อญาติๆ และสหายว่าบานประตูเหล่านี้เป็นสิ่งที่นายท่านสามนำมาแสดงความกตัญญูต่อเขา นายท่านสามก็ยังจะฉีกหน้าท่านผู้เฒ่าเสียให้ได้ ภายหลังเป็นนายท่านรองที่ออกหน้าเป็นคนตัดสิน แล้วให้เก็บบานประตูพวกนี้ไว้ตามเดิม”
นายท่านอู๋หัวเราะเหอะๆ แล้วชวนบ่าวรับใช้คุยไปเรื่อยเปื่อยว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง หากข้ามีบุตรชายเช่นนี้สักคน แขกมาทีหนึ่งก็คงโอ้อวดไปทีหนึ่งเช่นกัน ทว่า นายท่านสามช่างมือเติบเหลือเกิน แค่โถงบุปผาห้องหนึ่ง คงต้องสิ้นเปลืองไม่น้อยเลยทีเดียว?”
“ขอรับ!” บ่าวรับใช้ผู้นี้หาใช่ต้อนรับแขกเหรื่อเช่นนี้เป็นครั้งแรก เมื่อเชิญพวกเขาเข้าโถงบุปผาแล้วก็รีบชี้ฝ้าเพดานให้ดูอย่างคล่องแคล่ว “พวกท่านดูสิขอรับ โคมไฟก็เป็นกระจกสี พอตกกลางคืนแล้วจุดเทียนไข ภาพนั้นยังงดงามยิ่งกว่าพลุดอกไม้ไฟเสียอีก แล้วพวกท่านลองดูบนชั้นวางของสิขอรับ งาช้างนั้นยาวกว่าสองลำแขนคน ยากจะได้เห็นบ่อยๆ นี่ก็คือสิ่งที่นายท่านสามแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้เฒ่า ยังมีแปดสัญลักษณ์มงคลทางด้านโน้น มิใช่อย่างที่เห็นในวัดนะขอรับ ล้วนนำเข้ามาจากนอกทะเลทั้งสิ้น”
นายท่านเว่ยยังไม่เท่าไร แต่นายท่านอู๋นั้นเป็นพ่อค้า พลันได้กลิ่นสิ่งของที่ต่างออกไปทันที
เขาแสร้งถามบ่าวรับใช้คนนั้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ของหายากเช่นนี้ นายท่านสามของเจ้าไปหามาจากไหนหรือ?”
บ่าวรับใช้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ย่อมขนมาจากเมืองหลวงขอรับ ศิษย์พี่รองของนายท่านสามเป็นเก๋อเหล่า[4]คนปัจจุบัน นายท่านสามเองก็เป็นศิษย์สายตรงของเจ้ากรมจาง ต่างมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเหล่าศิษย์พี่ นายท่านสามอยากจะหาของแปลกหายากสักชิ้น เพียงแค่ขยับปากเล็กน้อยก็ได้แล้ว พวกคนในเมืองหลวงที่ทำการค้าทางทะเลคนไหนบ้างจะไม่รีบส่งของมาให้นายท่านสามเล่าขอรับ!” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจเฮือก “ก็ไม่แปลกที่นายท่านสามจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วไม่คุ้นชิน ผู้ที่เคยผ่านการใช้ชีวิตอย่างหรูหรามาก่อน พอกลับมาอยู่เมืองอย่างเช่นหลินอันนี้ย่อมปรับตัวไม่ทันเป็นธรรมดา ดังนั้นท่านแม่เฒ่าจึงพูดติดปากอยู่เสมอว่านายท่านสามเป็นคนกตัญญู ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะสิ้นก็ทิ้งธุระกองโตไว้ให้นายท่านสามจัดการ นายท่านสามแม้ปากบอกไม่เต็มใจ แต่ก็ลาออกจากราชการ แล้วกลับมาทำหน้าที่ผู้นำสกุลนะขอรับ”
มิใช่ว่าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์หรือ? เหตุใดเปลี่ยนเป็นลาออกจากราชการได้เล่า?
นายท่านอู๋อดเอ่ยปากไม่ได้ว่า “นายท่านสามของเจ้าจะไม่กลับไปรับราชการแล้วรึ?”
บ่าวรับใช้กล่าวยิ้มๆ ว่า “สกุลเผยมีกฎบ้านเขียนเอาไว้ ผู้รับตำแหน่งผู้นำสกุลต้องอยู่ที่จวนคอยดูแลธุระต่างๆ ไม่อนุญาตให้ออกไปรับราชการข้างนอกขอรับ”
ทุกคนต่างตะลึงงัน แม้จะประหลาดใจแต่ก็เริ่มคล้อยตามไปด้วย
สกุลใหญ่ๆ หลายสกุลล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อนั่งตำแหน่งผู้นำสกุลก็ต้องรั้งตัวคอยดูแลกิจการอยู่ที่จวน ไม่อาจรับราชการด้านนอกอีก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ คือการให้นายท่านสามที่แสนเก่งกาจและอายุยังน้อยเป็นผู้มารับช่วงต่อ นี่ออกจะน่าเสียดายไปหน่อยกระมัง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสียงซุบซิบนินทาด้านนอกนั่นก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าทีแล้ว
ตำแหน่งผู้นำสกุลย่อมสำคัญ แต่หากสามารถเดินบนเส้นทางขุนนางได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทิ้งชื่อไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ นี่มิใช่เป็นการพิสูจน์คุณค่าของตนได้ดีกว่าการเป็นผู้นำสกุลที่คอยเฝ้ากิจการหรอกหรือ?
เผยเยี่ยนได้เป็นผู้นำสกุลเผย แต่เขาก็ต้องเสียสละบางสิ่ง นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
อวี้ถังคล้ายถูกบางอย่างพุ่งเข้าชนใส่ศีรษะ ความคิดหลายอย่างทะลักเข้ามาไม่หยุด ชั่วขณะหนึ่งพลันจับไม่ได้เลยว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ชาติก่อน เผยเยี่ยนไม่ได้กลับไปรับราชการอีก นางคิดว่าสมด้วยเหตุและผลแล้ว แต่บัดนี้มาลองคิดดู กลับเห็นว่ามีบางอย่างให้ความรู้สึกแปลกออกไป
แม้ท่านผู้เฒ่าดูแล้วคล้ายจะลำเอียงไปหาเผยเยี่ยน แต่นี่เป็นการตัดอนาคตขุนนางของเขา ทั้งบ้านใหญ่ทางนั้น ที่ดูเหมือนต้องสูญเสียตำแหน่งผู้นำสกุลไป ทว่าคุณชายทั้งสองคนก็ยังเข้าร่วมสอบเคอจวี่ได้อย่างอิสระ รับราชการเป็นขุนนางได้สมดังใจ ส่วนนายท่านรอง ฟังจากข่าวลือว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถที่สุดในบรรดาพี่น้อง เหตุใดจึงไม่ให้เขารั้งตัวอยู่เพื่อคอยดูแลกิจการเสียเล่า?
บ้านใหญ่กับบ้านรองดูเหมือนได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม แต่ผู้ที่ถูกขังไว้กับจวนจริงๆ คือนายท่านสามเผยเยี่ยน อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงว่า ลูกหลานรุ่นหลังของเผยเยี่ยนอาจจะถูกขังไว้ในเมืองหลินอันเท่านั้น
ในสมองของอวี้ถังพลันปรากฏดวงหน้าของเผยเยี่ยนที่มักจะเจือความเย็นชาถึงขั้นอึมครึมเอาไว้อยู่เสมอ
หรือเพราะด้วยเหตุนี้ เขาถึงไม่ค่อยมีความสุขนัก?
หัวใจของอวี้ถังเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนว่าตนเองได้แอบเห็นอะไรบางอย่างเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
————————————————————-
[1]ฮ่องเต้องค์ใดย่อมใช้ขุนนางชุดนั้น เป็นสำนวนหมายถึง ใครขึ้นมาครองความเป็นใหญ่ ย่อมจะเปลี่ยนมาใช้คนของตนเอง
[2]สี่ชั่งเหมยเซา เป็นภาพวาดที่มีรูปดอกเหมยและนกสาลิกา แสดงถึงความยินดีปรีดา มักมอบให้เพื่อเป็นคำอวยพรแก่ผู้รับ
[3]วาดเสือไม่เหมือน กลับคล้ายหมา เป็นสำนวน เปรียบถึงการเลียนแบบในสิ่งที่ไกลเกินกว่าความสามารถของตน กลับดูไม่จืดแทน
[4]เก๋อเหล่า เป็นชื่อที่ใช้เรียกมหาบัณฑิตของหอเน่ยเก๋อซึ่งเป็นระบบราชการในสมัยนั้น มีอำนาจเหนือหกกรม