แน่นอนว่าอวี้เหวินที่อยู่ในโถงรับรองไม่มีทางรับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโถงบุปผา

เขากำลังเริ่มตอบคำถามของเผยเยี่ยนอย่างเป็นทางการ “…ล้วนเป็นความคิดของบุตรสาวข้าทั้งสิ้น เริ่มแรกข้าก็ไม่เห็นด้วย สาเหตุหลักเพราะกลัวนางจะถูกคนเอาไปซุบซิบนินทา แต่นางก็ยังดึงดัน บอกว่าต่อไปต้องแต่งเขยชายเข้าสกุล หากนางไม่ทำตัวให้เก่งกาจ ต่อไปคงคุมผู้ที่แต่งเข้ามาไม่อยู่แน่ ข้ากับลุงของนางหารือกันอยู่ครึ่งค่อนวัน รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างพวกข้าสองพี่น้องก็คิดหาวิธีที่ดีกว่านางไม่ออก จึงตอบตกลงไปเช่นนั้น” พูดจบ เขาก็กลัวเผยเยี่ยนจะคิดว่าบุตรสาวตนกล้าแกร่งเกินไป อาจมีภาพความทรงจำที่เป็นลบต่อนาง ต่อไปหากบุตรสาวขึ้นเป็นเจ้าบ้าน สกุลอวี้เจอปัญหาใดเข้า เผยเยี่ยนอาจจะไม่ยินดีคุ้มครองนางอีก ถึงได้รีบแก้ต่างให้บุตรสาวว่า “ท่านอย่าได้มองว่าวันนี้นางเอาแต่ใจ ทำการใดไม่มีเหตุผล ปกติแล้วนางมิได้เป็นเช่นนี้ นิสัยนางเนื้อแท้เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ทั้งยังเอาใจใส่ผู้อื่น มิเช่นนั้นพวกเราสองสามีภรรยาคงไม่คิดเก็บนางเอาไว้กับเรือนเช่นนี้ วันนี้ที่นางทำลงไป ทั้งหมดเพราะต้องการให้หลี่ตวนติดกับ ถึงได้จงใจทำเช่นนั้น”

เผยเยี่ยนพยักหน้า ในใจกลับสับสนไปหมด คล้ายมีต้นหญ้างอกออกมาพันกันจนวุ่นวาย

ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดของแม่นางอวี้จริงๆ

นางมิได้ผิดไปจากลางสังหรณ์ที่เขามีต่อนางเลย!

ทั้งใจกล้าและไร้ซึ่งความกลัว!

ต่อให้เป็นบุรุษทั่วไป เกรงว่าคงกล้าหาญได้ไม่เท่านาง

ทว่า ทั้งบิดาและญาติผู้พี่ของนางก็ตามใจนางเกินไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับปล่อยให้นางก่อความวุ่นวายตามใจชอบ

หากว่าหลี่ตวนฉลาดกว่านี้อีกหน่อย หรือหลี่จวิ้นเจ้าเล่ห์กว่านี้สักนิด เรื่องวันนี้สกุลอวี้ก็เลิกคิดที่จะจบอย่างสวยงามไปได้เลย

หรือว่าแม่นางอวี้ไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาหากว่าแผนทุกอย่างล้มเหลว?

เผยเยี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองอี้เหวินอย่างพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

ลักษณะท่าทางเหมือนบัณฑิตเจียงหนานทั่วไป ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ในความสง่างามแฝงท่าทีสบายๆ มองรู้ทันทีว่าเป็นคนไม่อาจอดทนกับเรื่องจุกจิกได้ วันๆ คงใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย แต่กลับเชื่อมั่นและรักในตัวบุตรสาวอย่างเต็มเปี่ยม ถึงได้ปล่อยปละตามใจนางเพียงนี้

บางทีอาจเพราะเหตุผลนี้ ถึงได้เลี้ยงบุตรสาวให้เติบโตมาเป็นคนไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างแม่นางอวี้ได้

หากเป็นครอบครัวที่บิดามารดาอ่อนแอ บุตรีล้วนแต่จะขลาดกลัวไปหมด

เผยเยี่ยนอดจะกล่าวไม่ได้ว่า “แม่นางอวี้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากสกุลหลี่ไม่หลงกล พวกเจ้ามีแผนจะทำอย่างไรต่อ?”

อวี้เหวินย่อมไม่ปล่อยให้เผยเยี่ยนสงสัยในตัวบุตรสาว…สกุลอวี้หากยังต้องอยู่เมืองหลินอันอีกหนึ่งวัน ไม่สิ ต่อให้ไม่อยู่ในเมืองหลินอัน พวกเขากับสกุลเผยก็นับว่ามีไมตรีระหว่างเพื่อนบ้าน จะต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสกุลเผยไว้ ก็เหมือนตอนที่อยู่เมืองหังโจว ดึกดื่นค่ำคืนที่อวี้ถังท้องเสีย หากไม่ใช่ถือป้ายชื่อของนายท่านสามสกุลเผยไป มีหรือจะเชิญหมอหลวงให้มาตรวจอาการได้?

ไมตรีจิตเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่อาจยอมให้หลุดมือไปได้เลย!

“ต้องคิดเอาไว้แล้วสิขอรับ” เขาพูดต่อไปอย่างไม่คิดมาก “แต่บุตรสาวข้าพูดไว้แล้ว นิสัยของหลี่ตวนก็เป็นเช่นนั้น เขาย่อมตกหลุมพรางแน่ นางยังบอกอีกว่า ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ล้วนมีสิ่งที่ตนต้องการ ขอเพียงหาให้เจอ จะต้องแม่นยำไม่มีพลาดแน่” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงคำบรรยายที่อวี้ถังเคยใช้กับหลี่ตวน มุมปากยกโค้งขึ้น สีหน้าคล้ายเจือรอยยิ้มขบขัน “บุตรสาวตัวดีของข้านี้ ท่านคงไม่รู้หรอก ตั้งแต่เล็กก็ซุกซน ข้ามองนางเหมือนแม่นางน้อยที่ไม่รู้ความ แต่คิดไม่ถึงว่า วันที่ในเรือนเจอปัญหา คนที่ก้าวออกมาแบกรับและออกความเห็นจะเป็นนาง เห็นชัดว่าข้าใส่ใจนางไม่มากพอ ขณะที่ข้ายังไม่ทันรู้ตัว นางก็ได้เติบโตขึ้นแล้ว เฮ้อ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ ข้าคงให้นางเล่าเรียนเขียนอ่านให้มากหน่อย ไม่แน่นางอาจกลายเป็นยอดคนผู้หนึ่งเลยก็ได้!”

เผยเยี่ยนอดคิดถึงภาพที่อวี้ถังกัดขาหมูที่อยู่ในมือไม่ได้

คนเช่นนางนั้น ต่อให้เล่าเรียนมากกว่านี้ ก็คงเปลี่ยนไม่ได้สักเท่าไรกระมัง?

เขาลอบกระตุกมุมปากยิ้มในใจ ดวงหน้ากลับไม่แสดงออก “ข้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าสอนนาง ตอนนี้ได้มาฟังที่เจ้าพูด ถึงได้รู้ว่านางเกิดมาก็เป็นเช่นนี้”

“ไม่ผิด!” อวี้เหวินถอนหายใจ “หากนางเป็นบุรุษได้ก็คงดี เช่นนั้นข้าก็คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก”

เผยเยี่ยนเปลี่ยนไปถามเรื่องงานหมั้นหมายของอวี้ถังทันที “ข้ากลับคิดว่าหลี่จวิ้นผู้นั้นก็ไม่เลว สกุลเจ้าตอนแรกเหตุใดไม่พิจารณาเขาดูบ้าง? แม้พูดว่าแต่งเขยชายเข้าบ้านนั้นดี แต่ข้าเห็นว่าหลานชายของเจ้าก็พึ่งพาได้ไม่เลว น่าจะแบกรับทั้งสองบ้านไหวกระมัง?”

ความนัยของวาจาก็คือ ในเมื่อสกุลอวี้ห่วงบุตรสาวถึงเพียงนี้ ก็ควรคำนึงถึงความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาวเป็นที่ตั้ง และไม่ควรจะดึงดันหาเขยชายหรือต้องแต่งออกไปให้จงได้

อวี้เหวินใช่ว่าจะไม่เคยคิดเช่นนั้น เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา เขาก็สาธยายความในใจออกไปให้เผยเยี่ยนฟัง

“ตอนแรกข้ากับมารดานางก็คิดเอาไว้แบบนั้น” เขาเล่า “บุตรสาวของเราไม่ใช่ว่าต้องอยู่ที่เรือนตลอดไป จะว่าไปแล้ว สกุลหลี่ก็ส่งคนมาขอหมั้นหมายก่อนสกุลเว่ยด้วยซ้ำ แต่บุตรสาวข้าก็พูดไว้แล้ว ต่อให้หลี่จวิ้นดีเพียงใด แต่ไม่มีสามีบ้านไหนที่จะยอมทำให้มารดาต้องลำบากใจเพราะภรรยา ฮูหยินหลี่ผู้นั้น คุณธรรมย่ำแย่ ภรรยาบ้านข้าไปตามสืบมาแล้ว จึงรู้สึกว่าวาจาที่บุตรสาวพูดนั้นก็มีเหตุผล พอดีกับเถ้าแก่ถงเป็นพ่อสื่อให้กับสกุลเว่ย พวกเราก็อยากจะไปเจอตัวสักครั้ง ใครจะคิดว่าเมื่อเจอกันทุกคนต่างก็พึงใจ ถึงได้ตกลงหมั้นหมาย…ไม่คิดว่าสุดท้ายเรื่องนี้กลับย้อนมาทำร้ายพ่อหนุ่มเสี่ยวซาน บุตรสาวข้ารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งไปบังเอิญเจอร่องรอยผิดปกติเข้า ถึงได้ตามสืบมาตลอด อย่างไรก็ไม่ยอมล้มเลิก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ”

คนที่แม่นางอวี้ถูกใจกลับเป็นเว่ยเสี่ยวซานที่ตายไปแล้วผู้นั้น มิใช่หลี่จวิ้น?

เผยเยี่ยนนึกถึงท่าทีของอวี้ถังในตอนแรกที่ยั่วยวนหลี่จวิ้นตอนอยู่วัดเจาหมิง…หรือเว่ยเสี่ยวซานผู้นั้นจะหล่อเหลามากเป็นพิเศษ?

เขาพยายามเค้นสมองนึกถึงหน้านายท่านเว่ยกับเว่ยเสี่ยวหยวน

มองไม่ออกเลย…

หรือว่านิสัยของเขาจะประเสริฐกว่าใคร? ทำให้นางถูกใจมากยิ่งกว่าหลี่จวิ้นเสียอีก?

เผยเยี่ยนพลันอยากรู้เรื่องเว่ยเสี่ยวซานขึ้นมาทันที

เขาเอ่ยว่า “สรุปแม่นางอวี้มิได้ชอบพอคนสกุลหลี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องแต่งเขยชายเข้าเรือน?”

เพราะว่าฮูหยินหลี่ไม่ได้เป็นเพียงมารดาของหลี่จวิ้น แต่ยังเป็นมารดาของหลี่ตวนด้วย

อวี้เหวินพยักหน้า เอ่ยอย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้นอีก “หลักๆ ก็เพราะไม่ชอบคนสกุลหลี่”

เผยเยี่ยนนึกถึงสายตาร้อนแรงที่หลี่ตวนใช้มองอวี้ถัง หน้าผากพลันมีเหงื่อซึมออกมา

ดูท่าแล้วคงเป็นหลี่ตวนที่ชอบพอแม่นางอวี้อยู่ฝ่ายเดียว

เขาเอ่ยว่า “งานแต่งของแม่นางอวี้ เจ้าตัดสินใจให้นางเลือกเองอย่างนั้นรึ?”

ต่อให้อวี้เหวินคิดเช่นนั้นจริง แต่ก็ไม่กล้ายอมรับออกมาตรงๆ!

หากว่ายอมรับออกมา ว่างานแต่งของเด็กๆ สกุลอวี้ล้วนแต่ตามใจเจ้าตัว เช่นนั้นสกุลอวี้ของเขาจะเป็นเช่นไรในสายตาผู้อื่นเล่า?

“เพราะสกุลอวี้ของเรามีสมาชิกอยู่น้อย” อวี้เหวินพูดกล้อมแกล้ม “ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายข้าหรือตัวข้าเอง ล้วนหวังให้พวกเด็กๆ มีความสุข การแต่งงานเป็นการเชื่อมไมตรีระหว่างสองสกุล ไม่อาจให้กลายเป็นคู่เวรคู่กรรมไปได้ พวกเด็กๆ หากว่าชอบพอถูกใจใคร อย่างไรก็ดีกว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้น[1]ท่านว่าถูกหรือไม่?”

เผยเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น

บิดาเขาตอนแรกก็มิใช่เพราะคิดเช่นนั้นหรือ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของพี่ชายคนโตหรือคนรอง ล้วนแต่ต้องผ่านการดูตัวก่อนทั้งสิ้น ผลสุดท้ายพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่นั้นรักใคร่กลมกลืนกันดี แต่สกุลเขากับสกุลหยางจนบัดนี้ก็ยังเป็นเหมือนคู่แค้นกันอยู่

เห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากคนเป็นเหตุ

แล้วทำไมแม่นางอวี้ต้องเพ่งเล็งไปที่หลี่ตวนด้วย?

ฟังจากน้ำเสียงของอวี้เหวิน แม่นางอวี้ดูจะเข้าใจนิสัยของหลี่ตวนเป็นอย่างดี

หากเผยเยี่ยนไม่ถามให้กระจ่าง เขาจะรู้สึกติดค้างในใจ

เขาเอ่ยขึ้นว่า “หากว่าเว่ยเสี่ยวซานยังอยู่ งานแต่งของแม่นางอวี้ก็คงไม่กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้”

“ถูกต้องแล้ว” อวี้เหวินคิดว่าเรื่องงานแต่งของอวี้ถังคงไม่อาจเก็บเป็นความลับต่อได้อีก ถึงได้เล่าว่า “สกุลเว่ยช่างเป็นสกุลที่เปี่ยมคุณธรรมอย่างหาได้ยาก” เขาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังเว่ยเสี่ยวซานตายให้เผยเยี่ยนฟัง ทั้งยังบอกว่า “นี่ก็เป็นวาสนาของสองสกุลเรา แม้บุตรสาวกับสกุลเว่ยไม่อาจลงเอยกันได้ แต่ญาติผู้พี่ของนางได้หมั้นหมายกับบุตรสาวบุญธรรมของสกุลเว่ยแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะตบแต่งกัน ถึงเวลานั้นก็ขอเชิญนายท่านสามไปดื่มสุรามงคลด้วย”

เผยเยี่ยนชะงักไป

สกุลอวี้นับว่ายินดีต้อนรับสกุลเว่ยนัก บุตรสาวบุตรชายตนเองแต่งไม่สำเร็จ แต่ก็ยังขอผูกญาติกันด้วยหนทางอื่นอยู่ดี

ลิ้นกับฟันยังต้องกระทบกระทั่งกันเลย มีเรื่องรักใคร่ปรองดองอย่างสมบูรณ์เสียที่ไหน

นี่ก็เพราะเว่ยเสี่ยวซานไม่อยู่แล้ว ความทรงจำที่งดงามที่สุดจึงหยุดลง ณ เวลาที่สวยงามที่สุดนี้

หากว่าเว่ยเสี่ยวซานยังอยู่ สกุลอวี้กับสกุลเว่ยอาจจะผิดใจกันด้วยเรื่องจำนวนสินสอดทองหมั้นที่ใช้แต่งเขยชายเข้าสกุลก็เป็นได้ จนเกิดเป็นความร้าวฉานในที่สุด

เผยเยี่ยนลอบดูถูกสกุลอวี้อยู่ในใจ เอ่ยอย่างขอไปทีว่า “ถึงเวลานั้นต้องไปร่วมยินดีแน่”

ตอนนั้นเผยเยี่ยนคงยังไม่ออกจากการไว้ทุกข์ แล้วจะไปดื่มสุรามงคลได้อย่างไร

อวี้เหวินทั้งที่รู้ว่าเผยเยี่ยนพูดไปตามมารยาท แต่เมื่อเห็นเขารับปากอย่างเปิดเผยเช่นนั้น ในใจก็ยังรู้สึกปลาบปลื้มอยู่ดี ความประทับใจที่มีต่อเผยเยี่ยนจึงเพิ่มพูนขึ้น ตอนที่สนทนากันจึงไม่ได้ระวังตัวอีก ถึงขนาดเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานอวี้ถัง “หากว่านายท่านสามรู้จักใครที่ไม่เลว ก็ช่วยแนะนำบุตรสาวของข้าบ้างนะขอรับ”

เขากลัวว่าพอเกิดเรื่องวันนี้ขึ้น งานแต่งของอวี้ถังก็คงจะลำบากยากเข็ญขึ้นกว่าเดิม

เถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นเพียงเถ้าแก่ที่พอมีหน้ามีตาของสกุลเผย ยังรู้จักสกุลที่ดีอย่างสกุลเว่ยได้ อาศัยเส้นสายของนายท่านสามแล้ว ย่อมรู้จักสกุลอื่นที่ดียิ่งกว่าอีกมากมายแน่

“ขอเพียงเป็นเด็กดี ก็ไม่จำกัดว่าต้องแต่งเข้าหรือแต่งออกแล้ว” เขายังจงใจกำชับเสริมอีกประโยคหนึ่ง

เผยเยี่ยนพลันตะลึงพรึงเพริดไป

ชีวิตนี้เขาถูกขอร้องด้วยเรื่องนานับประการ แต่การขอให้เป็นพ่อสื่อพ่อชัก นี่นับว่าเป็นครั้งแรก

เผยเยี่ยนมองสำรวจอวี้เหวินซ้ำอีกครั้ง

เขาคงไม่ได้คิดจะให้ตนเป็นพ่อสื่อให้แม่นางอวี้จริงๆ กระมัง

อวี้เหวินกลับคิดเป็นจริงจังตามนั้น ทั้งยังแจกแจงกำลังทรัพย์ในเรือนให้เผยเยี่ยนฟังเสร็จสรรพ หวังว่าเขาจะเป็นพ่อสื่อที่ดีหาสกุลที่เหมาะสมให้กับอวี้ถังได้

เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เรือนข้านั้นแต่เดิมก็พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง เป็นเพราะข้า เลือกคบสหายไม่ระวังถึงได้ถูกหลอกเข้า จนต้องควักเงินเก็บออกมาใช้จนหมด”

อวี้เหวินเล่าเรื่องที่ตนซื้อภาพวาดคัดลอกผืนนั้นให้เผยเยี่ยนฟังอย่างละเอียด

“เดี๋ยวก่อน!” เผยเยี่ยนได้ฟังก็เงียบไปพักใหญ่ พอได้สติถึงรีบเอ่ยแทรกวาจาเยิ่นเย้อของอวี้เหวิน “เจ้าบอกว่า เจ้าซื้อภาพวาดคัดลอกมา แล้วเป็นแม่นางอวี้ที่ช่วยเจ้าเก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนั้นรึ?!”

สิ่งใดเรียกว่าเรื่องยุ่งเหยิง!

อวี้เหวินไม่ค่อยพอใจคำพูดของเผยเยี่ยนนัก แต่ติดที่ว่าต้องเห็นแก่หน้าเขาหลายส่วน ถึงไม่ได้แสดงท่าทีออกมา ได้แต่ตอบกลับอย่างอดทนว่า “มิใช่เรื่องยุ่งเหยิงหรอก เป็นเพราะข้าไม่ทันสังเกตดูให้ดี ถูกสหายหลอกเข้า…”

นั่นยังมิใช่เรื่องยุ่งเหยิงอีกรึ!

เผยเยี่ยนไม่ได้สนใจพฤติกรรมแปะทองที่หน้าตัวเอง[2]ของอวี้เหวิน สายตาเขายากจะกลบความประหลาดใจได้ “ดังนั้นแล้ว หากตอนนั้นมิใช่แม่นางอวี้ที่ไล่ตามเงินกลับมา เงินที่เจ้าต้องใช้หาหมอและซื้อยาให้ภรรยาก็คงไม่มีแล้ว?”

เมื่ออวี้เหวินได้ฟังวาจาเช่นนี้ของเผยเยี่ยน ก็หวนนึกไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ก่อนที่ดวงหน้าจะพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอบอย่างปากแข็งว่า “ก็คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ก็แค่ในเรือนอาจจะขัดสนนิดหน่อย…”

ตอนนั้นเขาเข้าใจแม่นางอวี้ผิดไปจริงๆ ด้วย

เขาคิดว่านางอยากจะหาเงินสักสองสามตำลึงถึงได้ไปแกล้งหลอกที่โรงจำนำ

มิใช่ แก่นหลักของเรื่องนั้นถูกต้องแล้ว แม่นางอวี้คิดจะไปแกล้งหลอกจริง แต่การหลอกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนกับหลอกเพื่อหาทางช่วยชีวิตมารดาของตนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

เผยเยี่ยนนึกถึงการพบกันของเขากับแม่นางอวี้ที่ถนนฉางซิ่ง

ทั้งวาจาเหล่านั้นที่เขาใช้ตำหนิอวี้ถังอีก

สำหรับแม่นางน้อยผู้หนึ่งแล้ว นับว่าค่อนข้างรุนแรงไปจริงๆ

เผยเยี่ยนอดจะกระสับกระส่ายไม่ได้

เขายืดหลังตรง ก่อนจะดื่มชาคำหนึ่ง ความกระวนกระวายในใจไม่อาจเลือนหาย กลับคล้ายจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะเมื่อนึกได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบอวี้ถังไม่เคยคิดจะอธิบายอะไรให้เขาฟังเลยสักครั้ง ซ้ำไม่เคยกล่าวโทษเขาสักคำหนึ่ง

ทว่าเขากลับหลงลืมไป อวี้ถังมิใช่ไม่เคยคิดจะอธิบายให้เขาฟัง และไม่ใช่ว่านางไม่เคยกล่าวโทษเขามาก่อน เพียงแต่นางยังไม่ทันได้เปิดปาก เขาก็ดึงหน้าตึงไปก่อนแล้ว อวี้ถังจึงไม่มีโอกาสจะพูดเท่านั้นเอง

——————————-