บทที่ 72 กลับบ้าน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

แน่นอนว่าอวี้ถังไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนรับรอง

เวลานี้นางนั่งอยู่ที่โถงบุปผาของสกุลเผย ดวงตาจับจ้องไม่กะพริบอยู่ที่บานประตูกระจกหลากสีปิดทองคำเปลวบานนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

อวี้หย่วนกระตุกชายเสื้ออวี้ถังเบาๆ

อวี้ถังได้สติคืนมา พลันได้ยินเสียงนายท่านอู๋กำลังตะล่อมถามบ่าวรับใช้ซึ่งดูแลพวกนางอยู่เกี่ยวกับเรื่องของเผยเยี่ยน “…หมายความว่า นายท่านสามก็ไม่มีงานอดิเรกใดเลยรึ?”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นรู้สึกว่าวาจานี้พูดได้ไม่ถูกต้อง แต่ไม่แน่ใจว่าควรคัดค้านที่ตรงไหน จึงนิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า “จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกขอรับ ข้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ที่รับคำสั่งอยู่นอกจวน นายท่านสามชมชอบสิ่งใด ข้าคงไม่อาจรู้ได้แน่ชัด!”

นายท่านอู๋พลันรู้ตัวว่าคำถามของตนทำให้บ่าวรับใช้ต้องเสียหน้าอยู่บ้าง จึงรีบร้อนกล่าวว่า “ไอหยา พวกข้าก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นคนที่เคยดูแลท่านผู้เฒ่ามาก่อน ดูจากความกตัญญูของนายท่านสาม ย่อมจะเห็นความสำคัญของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าขอเพียงอดทนรอสักหน่อย รอให้นายท่านสามออกจากไว้ทุกข์ ย่อมต้องมีการเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนแน่”

ในใจของบ่าวผู้นั้นก็คิดเช่นเดียวกัน ได้ยินดังนั้นก็อารมณ์ดีจนหุบปากไม่ลง “ต้องอาศัยโชคจากวาจาท่านแล้ว”

ก็แค่บ่าวรับใช้เล็กๆ ผู้หนึ่ง จำเป็นต้องประจบประแจงถึงขั้นนี้เชียวรึ?

อวี้ถังกระซิบถามอวี้หย่วนว่า “มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

อวี้หย่วนยิ้มขื่น “นายท่านอู๋เก่งกาจไม่เบา พูดแค่สองสามคำ ก็แลกเปลี่ยนชื่อสกุลกับบ่าวผู้นั้นได้แล้ว ทั้งยังเชิญเขากับสหายที่สนิทไปเที่ยวเรือนสกุลอู๋เก็บลูกเหอเถาป่ายามว่างอีกต่างหาก”

รู้จักยืดได้หดเป็น อวี้ถังรู้สึกนับถือยิ่ง

อวี้หย่วนถามนางเสียงเบาว่า “เมื่อครู่เจ้าคิดอะไรน่ะ? ข้าเรียกตั้งสองครั้งเจ้าก็ไม่ได้ยิน”

“เปล่าเจ้าค่ะ!” อวี้ถังมองไปทางสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ในโถงบุปผา คิดว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะจะใช้ในการสนทนา “กลับไปแล้วค่อยคุยเถิด” จากนั้นก็หันไปมองพ่อลูกสกุลเว่ย

นายท่านเว่ยกับเว่ยเสี่ยวหยวนนั่งจิบชาอยู่เงียบๆ ฟังบทสนทนาระหว่างนายท่านอู๋กับบ่าวรับใช้ สีหน้าราบเรียบ ดูท่าจะออกจากความเจ็บปวดเมื่อครู่และกลับคืนสู่ภาวะปกติได้แล้ว

อวี้ถังค่อยเบาใจขึ้นหน่อย

เผยหม่านเดินเป็นเพื่อนอวี้เหวินเข้ามา

“ท่านพ่อ!” อวี้ถังดีใจ รีบวิ่งเข้าไปรับหน้าทันที

“นายท่านอวี้!”

“ท่านลุงอวี้!”

“ท่านอา!”

เมื่อพวกนายท่านอู๋เห็น ก็รีบพากันยืนขึ้น

อวี้เหวินรีบประสานมือคารวะทุกคน “นายท่านสามเมื่อครู่รั้งตัวข้าไปถามเรื่องความบาดหมางระหว่างพวกเราสองสกุลกับสกุลหลี่ ข้าก็ตอบไปตามความจริง บัดนี้สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”

นี่นับว่าให้คำอธิบายแก่ทุกคนแล้ว

พวกนายท่านอู๋ก็บอกลาเผยหม่านเช่นกัน

เผยหม่านประสานมือคารวะตอบทีละคน วางตัวไม่สนิทสนมหรือห่างเหินจนเกินงามอย่างที่เคยเป็นทุกครั้ง หากคิดมองหาเจตนาของเผยเยี่ยนจากท่าทางของเขานั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ทุกคนเอ่ยวาจาตามมารยาทสองสามคำ เผยหม่านก็เดินมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตู

ความอยากรู้ของอวี้ถังได้พุ่งไต่จนถึงขีดสุดแล้ว

พอผ่านทางเชื่อมระหว่างโถงออกมา ก็ถึงประตูข้างของสกุลเผย

เมื่อผ่านประตูข้างแล้ว ก็นับว่าออกจากจวนสกุลเผยเสียที

นางเดินตามหลังบิดาและญาติผู้พี่ วินาทีที่เท้าก้าวพ้นทางเชื่อมระหว่างโถงก็หันขวับไปมอง

ท่ามกลางเงาเขียวขจี มองเห็นเพียงชายคาที่เรียงด้วยกระเบื้องสีเทาเป็นลอนยาวยกสูงทั้งสองฝั่ง บดบังจนมองไม่เห็นเสาสีแดงของโถงทั้งห้า รวมถึงต้นการบูรขนาดสองคนโอบที่อยู่ด้านหน้าโถงหลักด้วย

ไม่รู้ว่าลานเรือนที่ว่าลึกจะลึกลับถึงเพียงไหน[1]

ท่ามกลางความเขียวชะอุ่มนี้ ไม่รู้ว่าซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้บ้าง?

อวี้ถังหันกลับมา เดินตามบิดาและญาติผู้พี่ออกจากจวนสกุลเผยไป

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังชะเง้อคอ มายืนคอยพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว

อวี้ถังได้รู้เนื้อหาบทสนทนาของบิดาและเผยเยี่ยนระหว่างเดินทางกลับแล้ว พอลงจากเกี้ยวได้ก็วิ่งไปหามารดาและป้าสะใภ้ทันที

“ท่านแม่ ท่านป้าสะใภ้” นางเข้าไปกอดแขนมารดา แล้วเอ่ยกับคนสกุลหวังอย่างรักใคร่ว่า “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นายท่านสามมีความเป็นธรรม โยนผู้ลี้ภัยสองคนกับพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่ที่เป็นคนบงการเข้าคุกไปแล้ว ทั้งให้ขับไล่เหล่าเครือญาติและสมาชิกสตรีทั้งหมดของพ่อบ้านใหญ่ออกจากสกุลหลี่ด้วย ต่อไปคงไม่มีใครช่วยคนเลวทำเรื่องต่ำช้าอีก”

นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดซึ่งเคยหารือกันไว้ก่อนหน้านี้

“อามิตตาพุทธ!” คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังอดจะพนมมือแล้วสวดภาวนาไม่ได้ว่า “พระโพธิสัตว์คุ้มครอง!”

อวี้ถังเม้มปากกลั้นหัวเราะ

อวี้เหวินกับอวี้หย่วนเดินตามเข้ามา เอ่ยทักคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง

“รีบเข้าเรือนเถอะ รีบเข้าเรือนเถอะ!” คนสกุลเฉินเอ่ยปาก “ข้าเตรียมใบส้มโอ[2]เอาไว้ให้เจ้าค่ะ”

อวี้เหวินพลันขมวดคิ้วจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก “ข้าไม่ใช่คนที่เกิดเรื่องเสียหน่อย จะเตรียมใบส้มโอไว้ทำไมเล่า!”

“สกุลเรามิใช่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเลวทรามหรือ?” คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างจริงจัง “ต้องขับไล่ความโชคร้ายออกไปให้หมด!”

อวี้เหวินหยุดคิดแล้วหัวเราะ “ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ เช่นนั้นสกุลหลี่มิเต็มไปด้วยความโชคร้ายรึ? ต้องกำจัด ต้องกำจัด!”

คนสกุลหวังที่มองอยู่ก็หัวเราะออกมา แล้วหยิบก้านใบส้มโอมาปัดไล่ให้พวกเขา ถือว่าขับไล่ไอความโชคร้ายให้หมดไป

คนสกุลเฉินเก็บก้านใบส้มโอกลับคืน แล้วชะเง้อไปมองด้านหลังของทั้งสองคน พลางถามว่า “ทำไมไม่เห็นนายท่านอู๋ล่ะเจ้าคะ? ข้าเตรียมเอาไว้เผื่อเขาด้วย”

อวี้เหวินตอบว่า “เขามีธุระจึงไม่ได้กลับมาพร้อมกัน เจ้าให้คนนำก้านใบส้มโอไปส่งให้เรือนเขาก็ใช้ได้แล้ว” พอนึกถึงว่าวันนี้นายท่านอู๋ช่วยเหลือตนไว้มาก จึงสั่งเสริมว่า “หยิบขนมผลไม้เคลือบน้ำตาลติดไปด้วย”

คนสกุลเฉินตอบรับติดๆ กัน สั่งให้คนไปส่งก้านใบส้มโอกับขนมผลไม้เคลือบน้ำตาล อวี้เหวิน อวี้ถังและอวี้หย่วนต่างกลับเข้าห้องของตนเพื่อไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งตอนมื้อเที่ยง

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังเพิ่งรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างที่จวนสกุลเผย คนทั้งสองด่าทอสกุลหลี่ไปหนึ่งยก แล้วชื่นชมนายท่านสามไปอีกหลายกระบุง ก่อนที่คนสกุลเฉินจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจอีกครั้ง “เสียดายที่พวกเราช่วยเหลืออะไรสกุลเผยไม่ได้เลย! ภาวนาให้ชาตินี้ไม่ต้องมีโอกาสให้พวกเราได้ทดแทนบุญคุณเลยยิ่งดี”

ไม่มีโอกาสให้ทดแทนบุญคุณ ย่อมหมายถึง ขอให้สกุลเผยสงบสุขเรื่อยๆ ไป นี่นับว่าเป็นการอวยพรให้สกุลเผยทางหนึ่งแล้ว!

คนสองบ้านนั่งกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันอย่างรื่นรมย์ อวี้เหวินพูดขึ้นว่า “วันนี้ทุกคนก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ต่างแยกย้ายไปพักเถอะ มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”

อวี้ถังกับอวี้หย่วนตอบเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน อวี้หย่วนกลับเรือนไปพร้อมมารดา อวี้ถังหลังจากเข้าห้องตนเองแล้วก็นอนแผ่อยู่บนเตียง แต่นอนอย่างไรก็ไม่ยอมหลับเสียที

เป็นเวลานานกว่านางจะค่อยๆ เคลิ้มใกล้หลับได้ แต่กลับถูกเสียงพูดคุยจากด้านนอกปลุกให้ตื่นอย่างรวดเร็ว

นางตะโกนถามซวงเถาว่า “ใครมาคุยอยู่ด้านนอกรึ?”

ซวงเถาตอบอย่างยินดีไปว่า “เป็นนายหญิงหม่าเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่สกุลหม่าใกล้จะออกเรือนแล้ว นายหญิงหม่ามาเชิญนายหญิงกับคุณหนูไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วยตนเอง ทั้งยังเชิญคุณหนูให้ไปช่วยรับรองแขกเหรื่อด้วยเจ้าค่ะ”

แต่เดิมก็เป็นเรื่องที่ตกลงกับหม่าซิ่วเหนียงเอาไว้ก่อนแล้ว

ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่หลายวันนี้นางเอาแต่วุ่นเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน ถึงได้ลืมเรื่องนี้เสียสนิท

นางตบหน้าผากไปหลายที แล้วลุกขึ้นเพื่อให้ซวงเถาช่วยแต่งตัว “นายหญิงหม่ามาคนเดียวรึ? ข้าต้องไปกล่าวทักทายนางเสียหน่อย”

ซวงเถาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางตอบว่า “นายหญิงหม่ามากับแม่สื่อเจ้าค่ะ บอกว่าจะเชิญนายหญิงอู๋ไปเป็นเฉวียนฝูเหริน[3] แต่พอมาถึงเพิ่งจะรู้ข่าวว่านายหญิงอู๋กลับบ้านมารดาไปแล้ว ต้องรออีกสองวันถึงจะกลับมา นายหญิงหม่าจึงคิดว่ารอผ่านสองวันไปค่อยกลับมาเชิญนายหญิงอู๋ใหม่เจ้าค่ะ”

นายหญิงอู๋นับเป็นสตรีผู้สมบูรณ์พร้อมที่เลื่องชื่อในเมืองหลินอัน คนมากมายเชิญนางไปเป็นเฉวียนฝูเหริน แต่ก่อนนางไม่เคยกล่าวปฏิเสธใคร ภายหลังเมื่อชื่อเสียงกระจายออกไป คนที่มาเชิญจึงมากขึ้นเรื่อยๆ นางจึงไม่อาจตอบตกลงได้ทุกคน

อวี้ถังไปที่เรือนรับรอง นายหญิงหม่ากับคนสกุลเฉินกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ดูรักใคร่สนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง

พอเห็นอวี้ถังก็กวักมือเรียกนาง แล้วมอบซองแดงให้นางหนึ่งซองบอกว่าให้นางใช้ซื้อขนมกิน

นี่ก็คือการเชิญนางให้ไปช่วยดูแลรับรองแขกแล้ว

นางก็ตอบรับทันทีด้วยความเต็มอกเต็มใจ

คนสกุลเฉินคุยเรื่องสินเดิมของหม่าซิ่วเหนียงกับนายหญิงหม่า นายหญิงหม่ายังมีธุระอีกหลายอย่างต้องจัดการ นั่งอยู่เพียงไม่นานก็กำชับกับคนสกุลเฉินอีกหลายประโยคว่า “วันงานต้องมาให้ได้นะ” ก่อนจะขอตัวลาไปพร้อมกับแม่สื่อ

————————————————————-

[1]ลานเรือนที่ว่าลึกจะลึกลับถึงเพียงไหน เป็นส่วนหนึ่งของบทกวี ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ที่เขียนโดยโอวหยางซิว บรรยายถึงความโศกเศร้าและคับข้องใจของสตรีที่ถูกเก็บอยู่ในห้องหอ ไม่อาจสมปรารถนากับคนที่ตนรัก

[2]ใบส้มโอ ตามความเชื่อของชาวจีนสมัยก่อน ใบส้มโอเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ มักนำมาใช้ขอพร ไล่ผี ปัดเป่าสิ่งอัปมงคลต่างๆ

[3]เฉวียนฝูเหริน หมายถึง คนสำคัญในงานแต่ง สตรีที่บิดามารดายังมีชีวิตและแข็งแรงดี มีสามี และมีบุตรสาวบุตรชาย ตามธรรมเนียมแต่งงานพื้นบ้าน มีหลายขั้นตอนที่ต้องให้นายหญิงผู้นี้คอยชี้แนะ เพื่อให้สามีภรรยาโชคดีสมปรารถนาในอนาคต