บทที่ 73 คนแปลกหน้า

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่จางซิ่วเอ๋อก็เดินตรงไปที่กำแพงหัก ๆ ของบ้านตัวเอง

นางเห็นเงาจาง ๆ ของคนผู้นั้นแต่ไกล ที่จริงจางซิ่วเอ๋อเป็นคนใจกล้าไม่เบา ครั้งก่อนที่เห็นคนชุดดำบนภูเขา นางก็ไม่ได้กลัวขนาดนี้

ประเด็นก็คือเพียงบรรยากาศตอนนี้ก็ให้ความรู้สึกขนลุกขนพองอยู่แล้ว คนผู้นี้ดันมาอยู่ข้าง ๆ บ้านผีสิงอีก

แถมนางยังมาเจอเขาในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวอีก

อย่าว่าแต่เจอคนที่ใกล้ตายแบบนี้เลย ต่อให้เดิน ๆ อยู่แล้วล้มลงก็ต้องตกใจเหมือนกัน

จางซิ่วเอ๋อลองจับไปตามเนื้อตัวคนผู้นั้น เขาเปียกชุ่มไปด้วยฝนอันหนาวเหน็บจน ไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกาย แต่เนื้อตัวเขายังนิ่มอยู่ เมื่อครู่นี้ยังส่งเสียงร้องด้วย ดังนั้นตอนนี้น่าจะยังไม่ตาย

จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมา ก่อนออกแรงลากคนผู้นี้

อาจเป็นเพราะคนผู้นี้ตัวหนักเกินไป จางซิ่วเอ๋อจึงต้องเค้นเรี่ยวแรงสมัยดื่มนมมารดาออกมาถึงลากเขาเข้าไปในห้องเก็บฟืนได้

ต้องขอบคุณฟ้าดิน เนื่องจากห้องเก็บฟืนนี้มีไว้ใช้เก็บฟืนแห้ง ตอนจางซิ่วเอ๋อซ่อมหลังคาจึงซ่อมหลังคาของห้องเก็บฟืนไปด้วย

ห้องว่างอื่น ๆ นางไม่ได้ซ่อมหลังคาหรอกนะ ไม่ใช่ว่าขี้เกียจ แต่การทำแบบนี้มันอันตรายเกินไป นางกลัวอยู่ตลอดว่าตัวเองจะพลัดตกลงมา

จางซิ่วเอ๋อหาเทียนไขครึ่งเล่มที่เหลืออยู่ในห้องเก็บฟืนมาจุด

ตะเกียงน้ำมันอยู่ในห้องนอน เวลานี้นางไม่กล้าไปหยิบหรอก กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ถ้าชุนเถารู้ว่านางลากคนกลับมาที่บ้านด้วยต้องตกใจกลัวแน่

จางซิ่วเอ๋อแหวกผมบนใบหน้าของคนผู้นี้ออก และได้เห็นโฉมหน้าเขาชัด ๆ

นางขมวดคิ้วและเอ่ยเสียงเบา “เจ้าอีกแล้วเหรอ!”

จางซิ่วเอ๋อคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเจอคนเดียวกันได้ถึงสองครั้ง ครั้งก่อนนางไม่น่าใจดีช่วยเขาไว้เลย ไม่อย่างนั้นเขาคงตายไปนานแล้ว นางก็คงไม่ต้องมาเจอกับความยุ่งยากอย่างตอนนี้

เขายังคงมีสีหน้าซีดเซียวของคนป่วย ปากแดงคิ้วคม ตัดสีหน้าซีดเซียวออกไป เขานับว่าเป็นคนหน้าตาโดดเด่นจริง ๆ ถึงจางซิ่วเอ๋อจะไม่ใช่พวกบ้าคนหล่อ แต่ตอนเห็นหน้าตาของชายคนนี้นางก็อดชมไม่ได้ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีจริง ๆ

วันนี้เขาใส่ชุดผ้าหยาบสีเทาสุดแสนจะธรรมดา ไม่ได้ดูเย็นยะเยือกเหมือนชุดดำที่ใส่วันนั้น กลับมีกลิ่นอายของพวกบัณฑิตร่างกายบอบบางขึ้นมา

จางซิ่วเอ๋อเอื้อมมือไปสัมผัสลมหายใจของคนผู้นี้ พอพบว่าเขายังมีลมหายใจแผ่วเบา นางก็ขมวดคิ้วพูด “ถือว่าติดหนี้เจ้าแล้วกัน”

อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ตัวเองเคยช่วยไว้ครั้งหนึ่ง เวลานี้นางจะปล่อยให้คน ๆ นี้ตายไปต่อหน้าต่อตาตัวเองไม่ได้

ในขณะที่จางซิ่วเอ๋อกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี ชายหนุ่มก็สะดุ้งและพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “หนาว”

สุดท้ายจางซิ่วเอ๋อก็ใจอ่อน อย่างไรเสียก็เป็นชายหนุ่มที่เติบโตมาเป็นอย่างดี จะให้นางมองดูคนผู้นี้หนาวตายต่อหน้าต่อตาตัวเองนั้น นางทำไม่ได้หรอก

ส่วนจะกลายเป็นเรื่องยุ่งหรือไม่นั้น ตอนนี้ไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของจางซิ่วเอ๋อแล้ว

ไม่ใช่ว่าจางซิ่วเอ๋อเป็นแม่พระหรอก แต่ตั้งแต่ที่ชายผู้นี้นอนอยู่ที่หน้าบ้านตัวเอง นางก็รู้แล้วว่าโดนความยุ่งยากที่ร่วงลงจากสวรรค์กระแทกเข้าให้ ไม่มีทางเลี่ยงได้เลย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แถมเจ้าคนขี้โรคนี่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อพวกนาง จางซิ่วเอ๋อจึงตัดสินใจช่วยคนผู้นี้ นางขมวดคิ้วและจุดไฟในเตา ทำให้ในห้องสว่างขึ้นและอบอุ่นขึ้นไม่น้อย

นางปูหญ้าแห้งในห้องเก็บฟืนกับพื้น ถอดเสื้อผ้าเปียกชุ่มของเขาออก แน่นอนว่าจางซิ่วเอ๋อไม่คิดจะถอดพวกกางเกงชั้นในหรอก และไม่มีความมุ่งมั่นจะเสียสละตนขนาดนั้น

แต่ยังดีที่นางไม่เหมือนสตรียุคโบราณที่พอเห็นแผ่นอกของบุรุษแล้วก็เขินอายแทบตาย ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่อาจใช้ชีวิตที่ยุคปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเป็นนายแบบในทีวีหรือบนนิตยสาร ล้วนแต่เปิดเผยเนื้อตัวกันทั้งนั้น

หลังจากถอดชุดคลุมยาวของเขาออก จางซิ่วเอ๋อก็เห็นบาดแผลเป็นทางยาวที่ไหล่ของชายผู้นี้ ถึงเลือดจะไม่ค่อยไหลแล้ว แต่ยังดูฉกรรจ์อยู่มาก

จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจพลางสบถเสียงแผ่ว “วุ่นวายจริง ๆ”

เวลานี้นางจึงจำต้องกลับเข้าไปในบ้าน จางชุนเถาเห็นจางซิ่วเอ๋อเข้า ๆ ออก ๆ สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ “พี่ใหญ่? เกิดอะไรขึ้น?”

จางซิ่วเอ๋อก็ไม่อยากให้จางชุนเถารู้ถึงความผิดปกติของตัวเองจึงตอบอย่างไม่คิดอะไร “ไม่มีอะไรหรอก ห้องเก็บฟืนของเรามีน้ำรั่วจุดนึง เจ้าอยู่ในบ้านนะ ข้าไปจัดการครู่เดียว”

จางซิ่วเอ๋อขนผ้าฝ้ายที่เหลือก่อนหน้านี้ของตัวเองออกไป

จางชุนเถาขมวดคิ้วพลางนึกสงสัยในใจ ต่อให้ฝนรั่วก็น่าจะใช้ผ้าใบสิ พี่ใหญ่เอาผ้าฝ้ายไปทำอะไร แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ถาม จางซิ่วเอ๋อก็หายเข้าไปในสายฝนแล้ว

จางซิ่วเอ๋อห่อร่างกายชายหนุ่มด้วยผ้าฝ้ายทั้งตัว และฉีกผ้าฝ้ายชิ้นหนึ่งออกมาพันแผลให้เขา แล้วจึงปล่อยให้ชายผู้นี้อยู่ในห้องเก็บฟืน นางทำสิ่งที่ทำได้หมดแล้ว

หวังว่าคนผู้นี้จะรีบฟื้นขึ้นมา ถ้าเป็นคนสำนึกบุญคุณยิ่งดี รีบไสหัวไปจากบ้านตัวเองซะ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ยิ่งดี

จางซิ่วเอ๋อเองก็เหนื่อยมากแล้ว จึงกลับไปนอนทันที

วันรุ่งขึ้น นางตื่นแต่เช้า ด้วยกลัวว่าจางชุนเถาจะตกใจถ้าเจอคน ๆ นี้โดยไม่รู้เรื่องอะไร

ตอนที่มาถึงห้องเก็บฟืน นางก็เห็นคนผู้นั้นนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผ้าฝ้ายที่ตัวเองห่อเขาไว้ก็ยังอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเครียดขึ้นมา คนผู้นี้ไม่ได้ตายไปแล้วใช่ไหม หากตายไปแล้วต้องแย่แน่ เดิมทีนี่ก็เป็นบ้านผีสิงอยู่แล้ว ถ้าตอนนี้เขามาตายที่นี่ อีกหน่อยนางต้องกลายเป็นคนมีปมขนาดไหน

พอคิดได้ดังนี้ จางซิ่วเอ๋อก็รีบมาอยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ เอื้อมมือไปสัมผัสลมหายใจของเขา

ยังไม่ทันรู้เรื่อง คนผู้นี้ก็ลืมตาโพลง เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “นี่ใคร?”

จางซิ่วเอ๋อตกใจนิดหน่อย แค่ชั่วพริบตาคนผู้นี้ก็ยื่นมือออกมาจากห่อผ้าฝ้าย เขาจับข้อมือจางซิ่วเอ๋อไว้ด้วยแรงไม่เบาจนนางร้องร้องซี้ดอย่างอดไม่ได้ มันเจ็บนะ

จางซิ่วเอ๋อได้สติกลับมา หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที นางมองคนผู้นี้อย่างเกรี้ยวกราด “ข้าเป็นใครรึ? ข้าต่างหากที่อยากถามว่าเจ้าเป็นใคร! เจ้าดูให้ดีสิ ตอนนี้เจ้าอยู่ในบ้านข้านะ!”

คนผู้นี้มองไปรอบ ๆ อย่างฉงน น้ำเสียงสับสนนิดหน่อย “บ้านเจ้า?”

จางซิ่วเอ๋อเลิกคิ้ว “ทำไม? หรือนี่บ้านเจ้าหรือไง?”

ชายหนุ่มมองจางซิ่วเอ๋อเงียบ ๆ มีอารมณ์บางอย่างที่มองไม่ออกว่าคืออะไรอยู่ในแววตา

จางซิ่วเอ๋อชี้ที่มือตัวเอง “ปล่อยข้า ข้านี่ชักศึกเข้าบ้านจริง ๆ ช่วยเจ้าไว้นอกจากจะไม่ได้รับการตอบแทนแล้วยังต้องมาเจ็บตัวอีก!”

…………………………