ตอนที่ 62-1 พบเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อโดยบังเอิญ

ชายาเคียงหทัย

ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยกับเจ้ากรมเยี่ยจะยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง แต่เยี่ยหลียังคงเห็นรอยยินดีในแววตาของทั้งคู่อยู่ ดูท่าที่ม่อซิวเหยามารับเยี่ยหลีด้วยตนเองนี้จะทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรบุตรสาวก็แต่งงานออกไปแล้ว ต่อให้ตระกูลเยี่ยโกรธเพียงใดก็คงไม่มีทางให้เยี่ยอิ๋งย้ายกลับมาอยู่ที่จวนให้ตระกูลเยี่ยเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตดังเช่นที่เยี่ยหลีกล่าวได้ 

 

 

           ผ่านไปไม่นาน ม่อจิ่งหลีก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย อันที่จริงเยี่ยหลีแทบจำไม่ได้เลยว่าตนเคยเห็นม่อจิ่งหลีมีสีหน้ายินดีเมื่อไร สีหน้านั้นราวกับมีใครติดเงินเขาอยู่หลายร้อยตำลึงเช่นนี้ตลอดเวลา เมื่อเข้ามาข้างใน พอม่อจิ่งหลีเห็นเยี่ยหลีนั่งอยู่จึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเยี่ยอิ๋ง เยี่ยอิ๋งกัดริมฝีปากด้วยความน้อยใจ นางแค่นเสียงเล็กน้อยก่อนเมินหน้าหนีไม่สนใจเขา เจ้ากรมเยี่ยและฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่กระตือรือร้นและให้ความสนใจหมือนแต่ก่อน หวังซื่อหน้าบึ้งหนักยิ่งกว่า หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยไม่ได้ลอบถลึงตาใส่นาง นางคงได้เอ่ยปากถามไปตรงๆ แล้ว 

 

 

           เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ แววตาม่อจิ่งหลียิ่งดูขรึมไป สภาพจิตใจเขาก็ดูจะไม่สู้ดีนัก 

 

 

           อันที่จริงเรื่องการแต่งงานในครานี้ ม่อจิ่งหลี่น่าสงสารเสียยิ่งกว่าเยี่ยอิ๋งเสียอีก ไม่ใช่ตัวเขาสักหน่อยที่คิดอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั่น หญิงที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเยี่ยหลีนางนั้นจะรับนางเข้าตระกูลไปทำไมกัน เสด็จพี่ไม่ต้องการนางก็จับยัดมาให้เขาโดยไม่แม้แต่จะถาม พอกลับถึงตำหนักเยี่ยอิ๋งก็อาละวาดกับเขาไม่ได้หยุด องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ไม่รู้จักดีชั่วนั่นยังกล้าไปอาละวาดถึงจวนทูตบอกว่าไม่ยอมแต่งงาน นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดว่าเขาต้องแต่งงานกับนางเท่านั้นหรือ ม่อจิ่งหลีถูกเยี่ยอิ๋งกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นก่อความรำคาญใจจนทนไม่ไหว เขาจึงเข้าวังไปทูลกับเสด็จพี่ว่าเขาต้องการล้มเลิกการแต่งงานไม่แต่งกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นแต่กลับถูกเสด็จพี่ตำหนิเสียยกใหญ่ก่อนตะเพิดออกมา หลังจากนั้นยังถูกเสด็จแม่กับท่านแม่ต่อว่าอีก ยิ่งคิดสีหน้าม่อจิ่งหลีก็ยิ่งแย่ลงไปใหญ่ เจ้ากรมเยี่ยเมื่อเห็นสถานการณ์ดูไม่ดีจึงกระแอมขึ้นเบาๆ “อิ๋งเอ๋อร์ ท่านอ๋องมารับเจ้ากลับตำหนัก เจ้าอยู่คุยกับท่านอ๋องดีๆ ก็แล้วกัน” 

 

 

           เยี่ยอิ๋งจึงได้หันมาทำตาแดงๆ มองหน้าม่อจิ่งหลีอย่างน่าสงสาร “ท่านอ๋อง…” 

 

 

           น้ำเสียงที่แสนจะขมขื่นนั้นทำให้เยี่ยหลีอดขนลุกไม่ได้ ม่อจิ่งหลีเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะดึงเยี่ยอิ๋งเข้ามากอดแนบอก “ไปกันเถิด กลับตำหนักกับข้า” 

 

 

           “ท่านอ๋อง…อิ๋งเอ๋อร์เป็นทุกข์เหลือเกิน…ฮือๆ…” เยี่ยอิ๋งร้องไห้สะอึกสะอื้นกับอกม่อจิ่งหลี ม่อจิ่งหลีกอดเอวเยี่ยอิ๋ง ฟังเยี่ยอิ๋งพร่ำบ่นถึงความทุกข์ใจของตนเงียบๆ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าเขาก็ดูดีขึ้นมาก 

 

 

           “กลับกันเถิด” ม่อจิ่งหลีอุ้มเยี่ยอิ๋งขึ้น เจ้ากรมเยี่ยและฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยพยักหน้า เขาหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่สนใจเยี่ยหลี แต่ในหัวเยี่ยหลีกลับนึกสงสัยว่า ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้นางยังมองไม่ออกว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยเยี่ยอิ๋งจริงหรือเปล่า หรือเป็นห่วงเป็นใยเพียงใด คงเพราะ…จิตใจของคนหน้าตายนั้นยากจะคาดเดากระมัง แต่ถึงอย่างไรม่อจิ่งหลีที่หน้าตายก็ยังพอหลุดสีหน้าให้เห็นอยู่บ้าง เยี่ยหลีนั่งพิงเก้าอี้เท้าคางคิดเงียบๆ 

 

 

           เยี่ยหลีปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้นางอยู่ต่อของฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยกับเจ้ากรมเยี่ยอย่างอ้อมๆ ก่อนจะพาคนของตนกลับออกจากจวนเจ้ากรม เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา เยี่ยหลีจึงคิดขึ้นได้ว่าตั้งแต่ตนแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องไปดูจะยังไม่เคยออกไปไหนมาไหนคนเดียวเลย แล้วจึงคิดขึ้นมาได้พอดีว่าซุนหมัวมัวบอกนางทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงตัดสินใจไปเดินดูว่ามีของขวัญที่เหมาะกับเขาหรือไม่ เมื่อตัดสินใจได้จึงเดินนำชิงหลวนและชิงซวงออกเดินไปยังตลาดที่คึกคักที่สุดของเมืองหลวง 

 

 

           เยี่ยหลีเดินไปตามถนนที่จ้อกแจ้กจอแจ เข้าออกมาหลายร้านแล้วก็ยังเลือกของที่พอใจไม่ได้ เยี่ยหลีคิดหนัก นางไม่รู้ว่าควรให้อะไรเป็นของขวัญจึงจะเหมาะสม ชิงซวงเมื่อเห็นท่าทางคิดหนักของเยี่ยหลีแล้วจึงทำใจกล้าเอ่ยปากถามนางว่า “พระชายา ท่านอยากซื้ออะไรหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีมองสาวใช้ที่ตาโตด้วยความอยากรู้อย่างลำบากใจ นางลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ซุนหมัวมัวบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของม่อซิวเหยา ข้าคิดจะหาซื้อของขวัญให้เขา” ชิงซวงถึงกับกลอกตาใส่นาง “พระชายา ท่านอยากให้ของขวัญท่านอ๋อง จำเป็นต้องมาหาถึงที่ตลาดนี่หรือเจ้าคะ” 

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไป “เจ้าจะให้ของที่มีอยู่แล้วหรือ  จะดูไม่ดูไม่จริงใจไปหน่อยหรือไม่” ถึงแม้ของมีค่าในห้องนางจะมีอยู่ไม่น้อย แต่นอกจากภาพวาดและภาพเขียนอักษรแล้ว โดยมากก็เป็นพวกเครื่องประดับของผู้หญิง หรือว่าจะให้นางเลือกภาพวาดหรือภาพเขียนอักษรให้เขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ 

 

 

           ชิงหลวนยกมือปิดปากลอบหัวเราะ กะพริบตาปริบๆ ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องไม่ได้ขาดของมีค่าเสียหน่อยเจ้าคะ หากพระชายาต้องการแสดงความจริงใจก็ทำของขวัญให้ท่านด้วยตนเองสิเจ้าคะ ต่อให้เป็นแค่ถุงใส่ของเล็กๆ สำหรับท่านอ๋องแล้วคงมีค่าเสียยิ่งกว่าให้ของโบราณอีกนะเพคะ” 

 

 

           “ถุงใส่ของหรือ” 

 

 

           ชิงซวงโบกมือ “ถุงใส่ของจะได้เรื่องอะไร พระชายาเย็บเสื้อให้ท่านอ๋องสักตัวดีหรือไม่เพคะ” 

 

 

           เย็บเสื้อหรือ…เยี่ยหลีก้มลงมองมือของตนเอง ตั้งแต่แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้จับเข็มกับด้ายอีกเลย เพียงแต่…นี่ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย 

 

 

           “ชายาติ้งอ๋อง?” 

 

 

           เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เยี่ยหลีจึงเตรียมตัวจะกลับตำหนัก แต่กลับมีเสียงหนึ่งจากทางด้านหลังลอยมาขวางไว้ เยี่ยหลีหันไปมองก็เห็นคู่พี่ชายกับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องคู่หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน คิดอยากจะพูดว่าโลกช่างกลมเสียเหลือเกิน 

 

 

           “ซื่อจื่อ องค์หญิง” เยี่ยหลีพยักหน้าให้น้อยๆ เป็นการทักทาย เหลยเถิงเฟิงกลับดูเหมือนมองไม่เห็นท่าทีห่างเหินของเยี่ยหลี เขาจึงเดินหน้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “บังเอิญจริงเชียว ชายาติ้งอ๋องมาเดินเช่นคนเดียวหรือ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ชิงหลวน ชิงซวง คารวะซื่อจื่อกับองค์หญิงเสีย” เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อคนนี้ตาบอดหรืออย่างไร ถึงได้ไม่เห็นว่าข้างกายนางยังมีคนเป็นๆ ยืนอยู่อีกสองคน 

 

 

           ปลายหางตาเหลยเถิงเฟิงกระตุกเล็กน้อย “อีกไม่กี่วันข้าน้อยก็จะต้องออกเดินทางกลับซีหลิงแล้วจึงคิดอยากหาซื้อของให้หลิงอวิ๋นเสียหน่อย ไม่ทราบว่า…พระชายาสามารถช่วยข้าได้หรือไม่” 

 

 

           เยี่ยหลีฝืนยิ้มตามมารยาท มองดูพี่น้องสองคนตรงหน้าที่คนหนึ่งดูเป็นกันเองส่วนอีกคนดูเย็นชานัก “เกรงว่าข้าคงช่วยอะไรไม่ได้” 

 

 

           “ได้อย่างไร พระชายาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทั้งยังเป็นผู้ชนะแห่งงานบุปผานานาพรรณของปีนี้ สายตาท่านจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่” เหลยเถิงเฟิงพูดกลั้วหัวเราะ 

 

 

           เมื่อพูดถึงเพียงนี้แล้ว เยี่ยหลีจึงไม่กล้าปฏิเสธอีก ทำได้เพียงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ซื่อจื่อ องค์หญิง เชิญเถิด” 

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นปรายตามองเยี่ยหลี สีหน้าเหนื่อยหน่ายดูไม่เหลือความตื่นเต้นอยู่เลย ดูท่าตั้งแต่ได้รับพระราชทานสมรสเป็นต้นมา นางก็คงอยู่อย่างไม่เป็นสุขนัก แต่ไม่รู้ว่าเหลยเถิงเฟิงใช้วิธีการอะไร ทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่มีนิสัยเช่นนั้นยอมเชื่อฟังเขาได้ ทั้งสามคนเดินนำผู้ติดตามไปตามถนน องค์หญิงหลิงอวิ๋นดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้แต่ตอนเดินยังต้องให้สาวใช้ข้างกายคอยประคอง ไม่ให้ไปเดินชนเข้ากับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เยี่ยหลีมองดูเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้ฮึกเหิมไม่กลัวใคร ผ่านไปเพียงไม่กี่วันกลับเปลี่ยนเป็นเหมือนต้นโต้วเหมี่ยวที่แห้งเ**่ยวแล้วกระนั้น เยี่ยหลีอาศัยจังหวะช่วงที่เหลยเถิงเฟิงสั่งการให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นไปลองชุด เอ่ยถามขึ้นว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น มองเยี่ยหลีด้วยความสนใจ “พระชายากำลังเห็นใจหลิงอวิ๋นหรือ” 

 

 

          เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ซื่อจื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางยังไม่เห็นใจ จะต้องให้คนนอกอย่างข้าเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องหรือ” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอันใดหรอก ก็แค่เด็กเอาแต่ใจประท้วงอดข้าวเท่านั้นเอง” 

 

 

           ประท้วงอดข้าวงั้นหรือ 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “หวังว่าองค์หญิงคงจะไม่เป็นลมไปในพิธีสมรส” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงมั่นใจเต็มที่หรือจะพูดอีกอย่างก็คือไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขายิ้ม “พระชายาโปรดวางใจ แคว้นซีหลิงของพวกเราไม่มีทางให้เกิดเรื่องเสียมารยาทเช่นนั้นขึ้นแน่นอน ในวันแต่งงาน หลิงอวิ๋นจะต้องเป็นเจ้าสาวที่เจิดจรัสแน่นอน” เยี่ยหลีเมินหน้าไปมองสำรวจเครื่องประดับในร้าน นางไม่ชอบคนอย่างเหลยเถิงเฟิงนี่เลยแม้แต่น้อย นางไม่เชื่อว่าเหลยเถิงเฟิงจะไม่รู้ว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นเมื่อแต่งงานกับม่อจิ่งหลีมาอยู่ที่ต้าฉู่แล้วจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง เขาเพียงไม่สนใจเท่านั้น คนที่สามารถผลักลูกพี่ลูกน้องของตนไปสู่เส้นทางอันมืดมนได้อย่างหน้าตาเฉย ทั้งยังสามารถยิ้มและบอกว่าข้าทำเพื่อตัวนางได้เช่นนี้ จริงๆ แล้วเลือดเย็นและไร้หัวใจเสียยิ่งกว่าม่อจิ่งหลีเสียอีก เหลยเถิงเฟิงเห็นการเมินหน้าหนีของเยี่ยหลีอย่างชัดเจน เขายกยิ้มมุมปากก่อนพูดกับเยี่ยหลีว่า “ดูเหมือนชายาติ้งอ๋องจะมีสิ่งใดอยากชี้แนะข้าน้อยหรือ” 

 

 

           เยี่ยหลีปรายตามองเขาเรียบๆ “เปล่า ข้าไม่เคยอยากให้คำชี้แนะกับคนแปลกหน้า” 

 

 

           “คนแปลกหน้าหรือ” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะเสียงหลง “จะเป็นคนแปลกหน้าไปได้อย่างไร จะว่าไป…ของขวัญแต่งงานของข้าน้อย ติ้งอ๋องกับพระชายาพอใจหรือไม่” 

 

 

          เยี่ยหลีตอบว่า “กระบี่หลั่นอวิ๋นมีความหมายกับตำหนักติ้งอ๋องมาก จะไม่พอใจได้อย่างไร มีแต่จะลำบากซื่อจื่อเท่านั้น” 

 

 

           “ไม่เลย ไม่เลย…” เหลยเถิงเฟิงส่ายหน้ายิ้มๆ “กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นของขวัญให้พระชายา ส่วนของขวัญแสดงความยินดีของติ้งอ๋องกับพระชายานั้น ข้าน้อยให้คนนำไปให้ที่ตำหนักติ้งอ๋องในวันรุ่งขึ้นต่างหาก หรือว่าพระชายาจะไม่ได้รับ” 

 

 

           เยี่ยหลีอึ้งไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จ้องเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ซื่อจื่อช่างมีฝีมือยิ่งนัก ภาพวาดชื่อดังเช่นนั้น มีตั้งไม่รู้กี่คนที่คิดอยากได้แต่ไม่ได้ ซื่อจื่อกลับนำมาให้คนอื่นง่ายๆ” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “ข้าน้อยเป็นคนหยาบกระด้าง ภาพวาดชื่อดังเช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่ละเอียดอ่อนจึงจะสามารถชื่นชมได้มิเช่นหรือ ดูท่า…ท่านติ้งอ๋องกับพระชายาคงจะพอใจมาก” เยี่ยหลีจ้องหน้าเขา แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “ซื่อจื่อใส่ใจเช่นนี้ ข้ากับท่านอ๋องจะไม่พอใจได้อย่างไร จะว่าไปภาพวาดหญิงงามแห่งต้าฉู่ของหานหมิงเย่ว์นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียนานแล้ว เมื่อมีโอกาสได้เห็นรูปโฉมของยอดหญิงงามในอดีตเช่นนั้ ถือเป็นบุญวาสนาของเยี่ยหลีแล้ว” 

 

 

           “เกรงใจแล้ว” เหลยเถิงเฟิงกล่าว กึ่งยิ้มกึ่งบึ้งมองหน้าเยี่ยหลี “พระชายา ข้าน้อยไม่เชื่อว่าพระชายาจะไม่รู้ว่าหญิงในภาพคืออดีตคู่หมั้นของติ้งอ๋อง” 

 

 

           เยี่ยหลีมองหน้าเขา “ดังนั้น ที่ซื่อจื่อมอบภาพนั้นให้ก็เพื่อให้เยี่ยหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือ” 

 

 

           “มิกล้า” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “พระชายามีทั้งความสามารถและความงาม เถิงเฟิงชื่นชอบยิ่งนัก จะกล้ามีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่…พระชายาก็ควรยอมรับว่า บางครั้ง…การไม่ได้มา ถึงเป็นเรื่องดีที่สุด มิใช่หรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ในโลกนี้มีของที่ไม่สามารถได้มาอยู่มากมาย ความคิดเช่นนี้ของซื่อจื่อจึงมิอาจมีได้” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะขำขัน “มีอะไรที่มิอาจมีได้กัน ข้าน้อยคิดว่าขอเพียงอยากได้ก็ควรจะจับไว้ให้มั่นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มิเช่นนั้นแล้วหากให้ผู้อื่นได้ไปโดยง่ายจะไม่มาคิดเสียใจภายหลังหรือ” 

 

 

          เยี่ยหลีหลุบตาลงจิบชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “องค์หญิงใกล้จะออกมาแล้ว ซื่อจื่อแน่ใจว่าจะพูดคุยไร้สาระกับข้าที่นี่หรือ” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “พระชายาเป็นคนตรงไปตรงมาดีจริง เถิงเฟิงยังสู้ไม่ได้” 

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว มองหน้าเขานิ่งไม่พูดอะไร เหลยเถิงเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีคน…อยากให้ข้าน้อยมาบอกพระชายา อีกอย่าง ข้าเองก็มีเรื่องที่อยากจะถามพระชายาเช่นกัน” 

 

 

           “ข้ารอฟังอยู่” 

 

 

           “มีคนให้ข้ามาบอกพระชายาว่า…ของของผู้อื่นถึงอย่างไรก็เป็นของของผู้อื่น” เหลยเถิงเฟิงยิ้มมองหน้าเยี่ยหลี 

 

 

           เยี่ยหลียังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน “ประโยคนี้…ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับของขวัญของซื่อจื่ออย่างไร” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงยักไหล่ “มิอาจรู้ได้ ข้าน้อยเพียงแค่รับหน้าที่มาบอกท่านเท่านั้น อีกอย่าง พระชายาไม่อยากฟังสิ่งที่ข้าน้อยต้องการจะถามหรือ” 

 

 

           “ซื่อจื่อเชิญพูดได้เลย” 

 

 

           “เมื่อสักครู่ข้าน้อยได้พูดไปแล้ว…ว่าข้าน้อยชื่นชอบพระชายามาก ไม่รู้ว่า…พระชายาสนใจอยากจะไปท่องเที่ยวที่แคว้นซีหลิงบ้างหรือไม่” 

 

 

           แววตาเยี่ยหลีขรึมลงทันที นี่นางกำลังถูกเกี้ยวหรือ หรือว่าเหลยเถิงเฟิงคิดว่าการลักลอบพาภรรยาติ้งอ๋องหนีไปเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจกันแน่ นางจ้องหน้าเหลยเถิงเฟิงนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนถอนหายใจน้อยๆ “ซื่อจื่อ…ถึงแม้ข้าจะสนใจอยากไปเที่ยวที่แคว้นซีหลิง แต่เกรงว่า…” 

 

 

           “เกรงว่าอะไรหรือ” เหลยเถิงเฟิงแววตานิ่งลึกยากจะคาดเดา 

 

 

           “เกรงว่า…ข้ายังไม่ทันก้าวเข้าไปเหยียบแคว้นซีหลิงก็คงตายคามือซื่อจื่อเสียแล้วกระมัง” เยี่ยหลีหัวเราะเยาะๆ หลังจากพูดประโยคเมื่อสักครู่ สีหน้าเหลยเถิงเฟิงนิ่อึ้งไปทันที ดูเหมือนจะคิดไม่ทันว่าควรแสดงสีหน้าเช่นไรดี ทำได้เพียงฝืนทำหน้านิ่งแล้วหัวเราะแห้งๆ “พระชายาพูดอะไรเช่นนี้ ข้าน้อยเอ่ยเชิญด้วยใจจริง” เยี่ยหลียิ้มพร้อมลุกยืนขึ้น “ถ้าเช่นนั้น หากอีกหน่อยมีโอกาส ข้ากับท่านอ๋องจะต้องไปเยี่ยมซื่อจื่อที่แคว้นซีหลิงเป็นแน่ วันนี้ข้าไม่รวบกวนเวลาของซื่อจื่อกับองค์หญิงแล้ว ขอตัวก่อน” 

 

 

           นางไม่สนใจว่าเหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่ที่นั้นจะมีสีหน้าเช่นไร เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาทันที