ตอนที่ 62-2 พบเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อโดยบังเอิญ

ชายาเคียงหทัย

ในห้องโถง 

 

 

 เหลยเถิงเฟิงที่ถูกทิ้งไว้เท้าคางมองม่านไข่มุกตรงประตูที่สั่นไหวเพราะมีคนเดินออกไปอย่างใช้ความคิด รอยยิ้มบนใบหน้าดูจองหองและร้ายกาจขึ้นหลายส่วน “ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจนัก มิน่าม่อซิวเหยาถึงได้แต่งงานกับนาง” 

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นเดินออกมาจากด้านใน และยังคงใส่ชุดเดียวกับที่ใส่เข้าไป ยืนอยู่ข้างประตูมองเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้าต่อว่าต่อขาน เหยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนหลุบตาลงปกปิดแววตาเย้ยหยัน “หลิงอวิ๋น ไม่ต้องคิดแล้ว พี่ทำไปเพราะเห็นแก่ตัวเจ้า เมื่อเทียบกับชายาหลีอ๋องที่แค่ดูก็รู้ว่าไม่มีสมองนั้นแล้ว ชายาติ้งอ๋องคนนี้จัดการยากเสียยิ่งกว่าเป็นไหนๆ ต่อให้เจ้าได้แต่งเข้าไปก็สู้รบปรบมือกับชายาติ้งอ๋องไม่ได้หรอก วันนั้นที่เจอเข้าไปยังไม่พอหรือ เจ้าเองก็รู้ดี ต่อให้ไม่มีเยี่ยหลี เจ้าก็ไม่ได้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องอยู่ดี” 

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องหน้าเขา “พี่กำลังช่วยเยี่ยหลีพูดหรือ” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “เจ้าถือเสียว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถพอจะไปหาเรื่องเยี่ยหลีได้ก็ไปเถิด ดูสิว่าครั้งต่อไปนางจะกล้ายิงทะลุหัวเจ้าหรือเปล่า พี่ไม่สนว่าเจ้าคิดจะทำอะไร อีกสามวันให้หลัง เจ้ายอมนั่งเกี๊ยวแต่งเข้าตำหนักหลีอ๋องไปให้เรียบร้อยเป็นพอ อย่าบังคับให้ข้าต้องเอายาให้เจ้าดื่ม” 

 

 

           “ข้าเป็นองค์หญิง ท่านกล้าหรือ!” 

 

 

           “พี่คิดว่าตอนที่เจ้าเอะอะจะมาต้าฉู่ให้ได้นั่นเพราะเจ้ารู้ประโยชน์ของตัวเจ้าเสียอีก” เหลยเถิงเฟิงมองหน้าด้วยสีหน้าเยาะหยัน “เจ้าคงไม่ได้คิดว่าที่เจ้ามาต้าฉู่ก็เพื่อมาเลือกราชบุตรเขย เจ้าชอบใครก็จะได้คนนั้นหรอกนะ” ต่อให้เป็นองค์หญิงที่เป็นที่โปรดปรานเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงแค่องค์หญิงเท่านั้น แค่องค์หญิงที่ต้องมาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี…ริอ่านกล้ามาวางอำนาจต่อหน้าเขาเชียวหรือ 

 

 

 

 

 

           ที่ทำการคณะทูตแคว้นซีหลิง 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงให้คนนำตัวองค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับเข้าห้องพัก แล้วเขาจึงได้หมุนตัวกลับเข้าห้องพักของตนเอง เมื่อปิดประตู แววตาของเหลยเถิงเฟิงเปลี่ยนเป็นดุดันประหนึ่งคมมีดมองไปยังมุมหนึ่งของห้อง ภายในห้องปิดทึบและไม่มีการจุดตะเกียงทำให้ดูมืดมนอย่างมาก ข้างโต๊ะกลมไม้ในห้องมีเงาของร่างหญิงสาวแสนเย้ายวนนั่งอยู่ เหลยเถิงเฟิงแววตาครึ้มลง จ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดดำนิ่ง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หญิงในชุดดำหันหน้ากลับมา ดวงตาคู่งามปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด เพียงแต่ในดวงตาคู่นั้นที่ควรจะนิ่งเรียบประดุจสายน้ำ เวลานี้กลับดูมีประกายไฟอันแรงกล้า “เหตุใดเจ้าจึงต้องทำให้ข้าเสียเรื่องด้วย” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงแค่นเสียงเบาๆ พร้อมยิ้มเยาะ “ทำเจ้าเสียเรื่องหรือ ข้าทำให้เจ้าเสียเรื่องเรื่องอะไร” 

 

 

           “เรื่องหลิงอวิ๋น!” หญิงในชุดดำกัดฟันตอบ “หากเจ้าไม่ได้ทำให้เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ หลิงอวิ๋นจะได้แต่งเข้าตำหนักหลีอ๋องได้อย่างไร” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงปล่อยตัวตามสบาย ก่อนเดินไปนั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง “เจ้ายังกล้าพูดอีก หากไม่ใช่เพราะเจ้าพูดกรอกหูหลิงอวิ๋นทั้งวันทั้งคืน หลิงอวิ๋นจะได้แต่งงานเข้าตำหนักหลีอ๋องได้อย่างไร” แผนเดิมของพวกเขาไม่ใช่การให้องค์หญิงคนหนึ่งแต่งงานกับท่านอ๋องที่ไม่มีสมองแบบนั้น น่าเสียดายเมื่อเจอหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์เข้า ทำอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่ยอมรับนางเข้าวัง หญิงในชุดดำส่งเสียงเหอะเบาๆ “หากหลิงอวิ๋นแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องจะไม่ยิ่งดีหรือ” 

 

 

           “อย่าฝันไปเลย หลิงอวิ๋นถูกเจ้าปั่นหัวเสียจนโง่งมไปหมดแล้ว หรือว่าเจ้าเองก็โง่ตามไปด้วยอีกคน” เหลยเถิงเฟิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยาเป็นคนใจอ่อนอย่างนั้นหรือ หากหลิงอวิ๋นได้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ไม่เกินหนึ่งเดือนพวกเราคงได้เก็บศพนางแน่ ต่อให้โชคดีนางไม่ตาย เจ้าคิดว่าด้วยปัญญาอย่างหลิงอวิ๋น นางจะไม่ถูกม่อซิวเหยาหลอกจนกลายเป็นพวกของเขาไปหรือ” ดูเหมือนหญิงคนนั้นจะถูกคำพูดเยาะเย้ยของเหลยเถิงเฟิงทำให้โกรธจัด นางพูดด้วยความโกรธว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะช่วยเจ้าหรอกหรือ!” เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ สีหน้าของเขาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ “ช่วยข้าหรือ หากช่วยข้าเหตุใดจึงไม่ให้โหรวอวิ๋นเป็นคนมา เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือว่าด้วยนิสัยของหลิงอวิ๋น ไม่มีทางที่จะทำให้ม่อซิวเหยาหลงรักได้ น่าเสียดาย…ข้าคิดว่าม่อซิวเหยามีโอกาสมากทีเดียวที่จะหลงรักเยี่ยหลี” 

 

 

           “ไม่มีทาง!” หญิงสาวร้องขึ้นด้วยความโกรธ หญิงในชุดดำรู้ตัวว่าตนเองเสียกิริยา จึงสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อสงบจิตสงบใจตนเองลง แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงให้นิ่งและฟังดูสบายๆ ขึ้น “เจ้าเลิกคิดที่จะหลอกข้าเถิด ม่อซิวเหยารสนิยมสูงเช่นนั้นจะชอบผู้หญิงที่ไม่มีอะไรดีอย่างเยี่ยหลีได้อย่างไร” 

 

 

           “ไม่มีอะไรดีหรือ…” เหลยเถิงเฟิงพึมพำกับตนเอง มองสำรวจหญิงในชุดดำคนนั้นอย่างใจลอย “ม่อซิวเหยารสนิยมสูงหรือ ก็ไม่เห็นจะเป็นเช่นนั้นนี้” 

 

 

           “พอแล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเจ้า” 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงมองนางอย่างเกียจคร้าน “เช่นนั้นเจ้าก็บอกได้แล้วสิว่าที่มาที่ห้องข้าในเวลานี้ด้วยเรื่องอันใด” 

 

 

           “ข้าจะรั้งอยู่ที่ต้าฉู่อีกพักหนึ่ง” หญิงชุดดำเอ่ย 

 

 

           “ได้ แต่ไปอย่าได้กลับไปแคว้นซีหลิงอีกเป็นพอ” เหลยเถิงเฟิงโบกมือ บอกเป็นนัยๆ ว่านางไปได้แล้วอย่างไม่สนใจไยดี 

 

 

           “เจ้า!” หญิงชุดดำจ้องเขาด้วยความโกรธ พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน เหลยเถิงเฟิงยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าจะรั้งอยู่ที่ต้าฉู่เพื่อทำการใด หญิงสาวที่ละโมบโลภมากเช่นเจ้านี้มีไม่มากนักจริงๆ เพียงแต่ให้ดีเจ้าก็ระวังตัวด้วย อย่าให้สุดท้ายแล้วเจ้าไม่ได้อะไรเลย” ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำ หญิงสาวกัดริมฝีปากด้วยความแค้นใจ “เหลยเถิงเฟิง เจ้าไม่พูดประชดประชันข้าสักวันแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุขหรือ” เหลยเถิงเฟิงส่งเสียงเยาะหยัน ประสานสายตาเยียบเย็นที่ซ่อนแววเคียดแค้นกับหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าไม่ยั่วยวนชายหนุ่มไปทั่วแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรือไร อย่าได้หวังลมๆ แล้งๆ ไปเลย ม่อซิวเหยาเขาไม่สนใจเจ้าหรอก” 

 

 

           “รู้หรือไม่ว่ารูปที่เจ้าให้คนนำไปให้นั้นไปอยู่เสียที่ใดแล้ว” เหลยเถิงเฟิงมองนาง จู่ๆ ก็มีรอยยิ้มมาดร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า 

 

 

           หญิงในชุดดำจ้องเขาด้วยความระมัดระวัง เหลยเถิงเฟิงมองสำรวจนางอย่างนึกสนุก เห็นดวงตานางค่อยๆ มีแววกระวนกระวาย จึงได้หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ม่อซิวเหยาส่งไปให้ซูเจ๋อตั้งแต่วันนั้นแล้ว ต่อให้ซูจุ้ยเตี๋ยหน้าตางดงามหยาดเยิ้มเพียงใด แต่สำหรับม่อซิวเหยาก็เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอันใดได้หรือ เรามาพนันกันไหมเล่า ข้าคิดว่าอย่างไรม่อซิวเหยาก็ต้องหลงรักเยี่ยหลี” 

 

 

           หากเป็นไปได้ ประกายไฟในดวงตาของหญิงชุดดำคงได้เผาไหม้เหลยเถิงเฟิงจนเหลือเพียงผุยผงไปแล้ว ครั้งนี้นางใช้เวลามากกว่าเดิมในการข่มความโกรธไว้ ยังคงส่งยิ้มให้เหลยเถิงเฟิง “เช่นนั้นเจ้าเล่า เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิง เหตุใดจึงได้สนใจในตัวเยี่ยหลีเช่นนั้น” เหลยเถิงเฟิงตาเป็นประกาย รีบยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพราะนางเป็นผู้หญิงของม่อซิวเหยาน่ะสิ แค่เฉพาะเรื่องนี้ คุณค่าของนางก็มากกว่าเจ้าไปมากโขแล้ว” หญิงในชุดดำเลื่อนสายตาไป หัวเราะเสียงใสขึ้นเบาๆ “เช่นนั้น…เจ้าไม่คิดอยากได้ผู้หญิงของม่อซิวเหยาหรือ หึหึ…คิดดูแล้ว หากคนทั้งใต้หล้ารู้ว่าภรรยาของม่อซิวเหยาหนีไปกับผู้ชายอื่น จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพียงใดกันนะ” 

 

 

           คิ้วคมของเหลยเถิงเฟิงขมวดเข้าหากัน มองหญิงในชุดดำด้วยสายตารังเกียจ “หากม่อซิวเหยารู้ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องที่โชคร้ายที่สุดของเขาแล้ว หากข้าจะเอาชนะม่อซิวเหยา ก็ต้องเป็นการชนะอย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนั้น” 

 

 

          “หึหึ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร การที่เขาได้พบข้า ควรเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตจึงจะถูก แน่นอนว่าข้าเองก็คิดเช่นนั้น” หญิงในชุดดำพูดเสียงเล็กเสียงน้อย แววตาอันเย้ายวนมีร่องรอยของความคะนึงหา “อีกอย่าง ม่อซิวเหยาพิการไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจออกรบได้อีก จะพูดอีกอย่างก็คือ เขาคงไม่อาจพ่ายแพ้ได้อีกตลอดไป เจ้ายังคิดที่จะเอาชนะเขาอย่างเปิดเผยอีกหรือ ตำนานตำหนักติ้งอ๋องไร้พ่ายมีมานานเป็นร้อยปีเชียวนะ…” 

 

 

           “พอแล้ว ไสหัวไปได้แล้ว อีกสามวันออกเดินทางกลับซีหลิง เจ้าจะลองรั้งอยู่ที่ตงฉู่เองก็ได้ เท่าที่ข้ารู้ หานหมิงเย่ว์กลับเจียงหนานไปแล้ว เจ้าลองดูก็ได้ว่าม่อซิวเหยาจะปรานีลูกน้องของเจ้าหรือไม่” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยเย้ยหยันด้วยสีหน้าบึ้งตึง หญิงในชุดดำยืนขึ้น มองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อข้าอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เจ้ากำลังหึงใช่หรือไม่ หรือเจ้าเห็นว่าข้าปกปิดใบหน้าแล้วไม่น่ามอง…” ระหว่างที่พูด หญิงสาวผู้นั้นก็ได้ยกมือขึ้นคิดจะถอดผ้าปิดหน้าออก เหลยเถิงเฟิงคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขว้างลงกับพื้นทันที “ไสหัวไป!” 

 

 

           “เจ้า…เหอะ!” เมื่อถูกเขาขับไล่อย่างไร้มารยาทเช่นนี้ หญิงในชุดดำทิ้งมือลง จ้องมองชายบนเก้าอี้ก่อนสะบัดเสื้อจากไป