ตอนที่ 62-3 พบเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อโดยบังเอิญ

ชายาเคียงหทัย

เมื่อเยี่ยหลีกลับไปตำหนักติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง “กลับมาแล้วหรือ ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยมีเรื่องอันใดหรือไม่” เยี่ยหลีโบกมือไปมา พูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “เวลานี้จะมีเรื่องอันใดได้ น้องสี่กลับบ้านไปร้องห่มร้องไห้น่ะสิ ท่านย่าให้ข้ากลับไปพูดโน้มน้าวนาง แต่นางจัดการด้วยยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะฟังที่ข้าพูดเข้าหูได้อย่างไร แต่ระหว่างทางบังเอิญเจอเข้ากับซื่อจื่อกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นจากแคว้นซีหลิง” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วมองนาง เยี่ยหลีคิดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าหัวข้อสนทนานี้ไม่มีอันใดน่าพูดถึงมากนักจึงได้หมุนตัวเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายๆ ตอนออกมา ม่อซิวเหยาก็ยังคงก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ในห้อง นางเรียกให้พวกชิงสยานำพวกผ้าสีอ่อนออกมา 

 

 

           ชิงซวงเป็นคนมีไหวพริบดี เยี่ยหลีเอ่ยปากสั่งได้ไม่เท่าไร ยังไม่ทันนั่งลงดี นางก็เดินยิ้มหน้าบานนำผ้ามาให้เสียแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นสีอ่อนๆ อย่างสีขาวนวล เขียวอ่อน สีเหลืองนวลทั้งหมด ทั้งยังได้นำอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ด้วยอย่างรู้งาน เยี่ยหลีหยิบผ้าขึ้นมาเทียบกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ย่นคิ้วเรียวจนแทบจะผูกติดกัน 

 

 

           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองท่าทางลังเลของนางด้วยควาสงสัย เขายิ้มน้อยๆ “ทำไมหรือ เสื้อผ้าที่ตำหนักทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ ได้ยินว่าในเมืองมีชุดของร้านเสื้อผ้าสองร้านที่ไม่เลว ไว้ให้พวกเขาส่งมาให้ดูที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องลำบากเช่นนี้หรอก” เยี่ยหลีไม่ได้ตอบว่าอะไร หากข้าซื้อชุดจากข้างนอกมาให้ท่าน หลินหมัวมัวกับแม่นมจะไม่บ่นข้าจนหูชาหรือ นางหันลงมองชุดที่ตนเองใส่อยู่ ก่อนคิดว่าตนเองเป็นคนเรื่องมากเช่นนั้นเชียวหรือ 

 

 

           เยี่ยหลีได้แต่กัดฟัน “เอาชุดเก่าของท่านให้ข้ายืมสักชุดสิ” 

 

 

           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มองเยี่ยหลีที่พยายามฝืนไม่แสดงออกทางสีหน้าด้วยความสงสัย ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตามองไปยังผ้าบนโต๊ะ แววตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนหันไปมองเยี่ยหลียิ้มๆ “อยู่ข้างใน เจ้าไปเอาเองสิ” ตั้งแต่ที่เขาถูกส่งตัวมารักษาแผลที่เรือนนี้ หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็สั่งให้คนนำเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องเดิมของเขาทั้งหมดย้ายมาไว้ที่นี่ แต่ดูเหมือนภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ของเขาคนนี้ดูจะมีนิสัยที่ดี ไม่แตะต้องข้าวของของคนอื่นตามใจ ถึงแม้คนอื่นที่ว่านั้นจะเป็นสามีของนางเองก็ตาม ดังนั้นถึงแม้ของของพวกเขาจะวางอยู่ด้วยกัน แต่อันที่จริงกลับต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครแตะต้องของของใคร 

 

 

           เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดลง หมุนตัวกลับมาหยิบสายวัดจากกล่องเย็บผ้าก่อนเดินกลับเข้าไป 

 

 

           ม่อซิวเหยาจ้องมองผ้าสีอ่อนแต่งดงามบนโต๊ะอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ระบายยิ้มขึ้นบางๆ สายตาที่เย็นชา มีแววอบอุ่นอย่างจริงใจขึ้นมาก 

 

 

           บางเรื่องจะไม่ทำก็ไม่ทำเลย หรือหากจะทำยิ่งทำเร็วได้ก็ยิ่งดี ดังนั้นกิจวัตรประจำวันของเยี่ยหลีจึงเพิ่มการเป็นสาวเย็บผ้าขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้หมัวมัวทั้งสองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องที่คุณหนูของพวกตนตั้งแต่แต่งงานเข้ามาก็เอาแต่จับมีดจับกระบี่ ทำให้หมัวมัวทั้งสองร้อนใจจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่ได้พูดอะไร แต่การที่พระชายาอยู่แต่กับมีดกับกระบี่ประหนึ่งเป็นนายทหารทั้งวันอย่างนั้นหาใช่เรื่องดีไม่ ในตระกูลสวีนอกจากคุณชายสามแล้ว ก็ไม่เคยมีคุณชายสายบู๊มาก่อนเลยในรอบหลายร้อยปี ต้องเป็นเพราะคุณชายสามสอนคุณหนูจนเสียคนเป็นแน่ หมัวมัวทั้งสองที่ไม่รู้ความจริง ได้แต่นึกกล่าวโทษสวีชิงเฟิงที่กำลังจะเข้าร่วมกองทัพอยู่ในใจ 

 

 

           พระชายาของพวกตนจะเย็บชุดให้ท่านอ๋องเป็นครั้งแรก ทำให้ตั้งแต่หมัวมัวไปจนถึงสาวใช้ข้างกายต่างคอยจับตามองกันเป็นพิเศษ จนเมื่อได้เริ่มลงมือทำแล้วเยี่ยหลีถึงได้ค้นพบเรื่องที่ทำให้หัวเสียอย่างมาก นางเย็บชุดของผู้ชายไม่เป็น สมัยที่ท่านแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางยังไม่โตพอที่จะเรียนเรื่องการเย็บเสื้อผ้า พอท่านแม่นางจากไปหนึ่งคือไม่มีคนสอน สองคือไม่จำเป็น จนทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท สุดท้ายจึงได้แต่ขอให้หลินหมัวมัวช่วยสอนนางเย็บชุดแบบตัวต่อตัว 

 

 

           เมื่อเย็บชุดเสร็จแล้ว บรรดาสาวใช้ต่างก็มารุมล้อมเยี่ยหลี ช่วยคิดว่าจะปักเป็นลายอะไรดี และควรใช้ด้ายสีอะไรในการปัก ควรจะจับคู่กับถุงใส่ของแบบใด หลายหัวหลายความคิดถกกันเสียงดังอย่างไม่จบไม่สิ้น ด้านม่อซิวเหยาก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ที่อ่านหนังสือของเขาย้ายจากห้องหนังสือมาอยู่ที่ห้องของพวกเขา ถึงแม้จะเป็นห้องที่อยู่ด้านนอก แต่เยี่ยหลีที่ถูกสาวใช้รุมล้อมอยู่นี้มักรู้สึกว่า ม่อซิวเหยาจะต้องได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกันอย่างแน่นอน นางจึงโกรธทั้งเจ็บใจจนอย่างจะตบสาวใช้ที่ปากมากพวกนี้ให้สลบกันไปให้หมด 

 

 

           “พระชายา…” เมื่อเห็นเยี่ยหลีหยิบแบบลายเมฆขึ้นมาเตรียมปัก ชิงซวงจึงเอ่ยทักอย่างไม่เห็นด้วย นางแทบอยากจะนำแบบนั้นมาทำลายทิ้งให้ไม่เหลือชิ้นดีเสียให้ได้ 

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองนาง ชิงซวงจึงพูดต่อว่า “พระชายา นี่ท่านกำลังจะให้ของคนนะเพคะ ลายธรรมดาเกินไปจะให้ลงได้อย่างไรกัน” 

 

 

           เยี่ยหลีหน้าผากกระตุกขึ้นไม่หยุดทันที กับอีแค่เรื่องการทำชุดเท่านั้น นางจะมีความเห็นเยอะเกินไปหรือเปล่า ชิงซวงไม่ได้สนใจสีหน้าไม่พอใจของเยี่ยหลี นางรีบหยิบแบบสารพัดแบบออกมาวางตรงหน้าเยี่ยหลี มีทั้งลายมังกร ลายนกเหยี่ยว ลายเสือ แล้วยังแบบที่ซับซ้อนอย่างอื่นอีก อย่างรูปลายมงคลต่างๆ เป็นต้น ชิงซวงมองใบหน้าบึ้งตึงของเยี่ยหลี แล้วรีบหยิบลายหนึ่งออกมาให้อย่างเอาใจ “ชิงซวงถามมาให้พระชายาแล้วเพคะ ท่านอ๋องชอบลายนี้” 

 

 

           นางจ้องลายเหยี่ยวถลาลมตรงหน้า โกรธจนอยากจะทิ่มนางให้เสียทีหนึ่ง เมื่อชิงซวงเห็นสีหน้าของคุณหนูดูไม่ดีจึงรีบทำสีหน้าขออภัยก่อนรีบเดินตัวปลิวออกไปทันที เยี่ยหลีจับจ้องแบบลายบนโต๊ะอย่างเหม่อลอยพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมา ก่อนหยิบด้ายปักผ้าที่วางอยู่ขึ้นมาเตรียมเทียบสี ชิงสยาที่คอยรับใช้อยู่อีกด้านเอ่ยขึ้นว่า “เด็กชิงซวงคนนี้ช่างแก่นแก้วนัก แต่ที่นางทำก็เพราะคิดเผื่อพระชายานะเพคะ พระชายาอย่าได้โกรธนางเลยเพคะ” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองนาง พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เด็กคนนี้ถูกตามใจจนเคยเสียแล้ว ทั้งวันเอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด” ชิงอวี้ระบายยิ้ม “ชิงซวงนี่คล่องแคล่วดีเหลือเกิน หรือไม่พระชายาก็ลงโทษนางให้ไปทำงานเย็บปักดูสิเพคะ” 

 

 

           ชิงสยาปิดปากลอบยิ้ม “วิธีการทำโทษของชิงอวี้นี้ก็โหดร้ายพอดู แต่หากพระชายาจะให้อภัยนาง คิดว่าชิงซวงคงยินดีที่จะยอมรับโทษเป็นแน่เพคะ” ชิงซวงมีนิสัยอยู่ไม่สุก งานที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คืองานเย็บปัก ปกติจะให้นางปักผ้าเช็ดหน้าสักผืน นางยังทำท่าเหมือนใครจะเอาชีวิตนางเสียอย่างนั้น แววตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไป ใบหน้าดูมีอารมณ์ขันขึ้นหลายส่วน “ดีมาก ไปบอกชิงซวงให้ปักลายดอกเหมยเหมันต์รับปีใหม่ให้ข้า และจะต้องปักให้เสร็จภายในครึ่งเดือน หาไม่แล้ว…ก็ให้จัดการตัวเองก็แล้วกัน” 

 

 

           พวกชิงหลวนต่างกะพริบตากันปริบๆ พร้อมอมยิ้มรับคำ ลอบนึกสงสารชิงซวงในใจ รู้ทั้งรู้ว่าพระชายาอาย เจ้ายังจะไปถามท่านอ๋องให้อีก นางไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัว เอาตัวเองมาให้พระชายาลงโทษหรือ 

 

 

           “อาหลีจะปักอันใดหรือ” เสียงกังวานใสของม่อซิวเหยาดังขึ้นจากทางด้านนอก ทุกคนจึงรีบหันไปทำความเคารพ “ท่านอ๋อง” 

 

 

           ม่อซิวเหยามองสาวใช้ทั้งสามที่มีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า ก่อนเอ่ยปากสั่งว่า “ออกไปเถิด” 

 

 

           ทั้งสามโค้งตัวคำนับลา ปล่อยให้ท่านอ๋องและพระชายาอยู่ในห้องกันตามลำพัง 

 

 

           เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเข้ามา เยี่ยหลีจึงมองของในมืออย่างอายๆ “ท่านอ๋องว่างถึงเพียงนี้เชียวหรือ เดินไปเดินมาในห้องทั้งวัน” ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ต้องไปถวายรายงาน แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องจัดการ ย่อมว่างเป็นธรรมดา แต่สองวันมานี้อาหลีดูยุ่งเอาการทีเดียวนะ” เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขาอย่างไม่เห็นขัน เขาไม่เห็นหรือว่านางกำลังยุ่งกับอะไร เก้าอี้รถเข็นหยุดลงข้างกายเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “อาหลีไม่ต้องอายไป ต่อให้เจ้าปักได้ไม่สวย ข้าก็จะไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก” 

 

 

           ดีมาก เยี่ยหลีปักเข็มลงไปที่ชุดด้วยความโกรธ กล้าบอกว่านางปักไม่สวยหรือ ฝีมือปักผ้าของนางแม้แต่ท่านป้าสะใภ้รองยังเอ่ยปากชมเชียวนะ นางหันไปมองม่อซิวเหยาพร้อมยิ้มจอมปลอมบนใบหน้า “ที่ไหนกัน ข้าปักได้ไม่ดี จะกล้าทำให้ท่านอ๋องเสียสายตาได้อย่างไร ไปเรียกคนจากห้องเย็บปักมานั่งทำก็แล้วกัน จะได้ประหยัดแรงข้าด้วย” 

 

 

           ม่อซิวเหยาได้แต่หัวเราะตาม “ความหมายของข้าคือไม่ว่าอาหลีจะปักออกมาเป็นอย่างไร ในสายตาของข้าก็สวยที่สุดเสมอ” 

 

 

           เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ไม่อยากจะไปสนใจเขาอีก หมุนตัวไปอีกด้านก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ม่อซิวเหยานั่งเงียบอยู่ข้างๆ มองดูสีหน้าใช้สมาธิของเยี่ยหลีเงียบๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น