ตอนที่ 63-1 จุดเปลี่ยนอันน่าตื่นเต้นในงานแต่งงาน

ชายาเคียงหทัย

ด้วยเพราะงานแต่งงานคราวที่แล้ว ทำให้ตำหนักหลีอ๋องขายหน้าอย่างไม่มีชิ้นดี ดังนั้นมาคราวนี้ เสียนเจาไท่เฟยดูจะลงทุนลงแรงอย่างเต็มที่เพื่อกู้หน้ากู้ตากลับมา ขบวนรับชายาร่วมยิ่งใหญ่เสียจนเกือบจะเด่นเกินขบวนรับตัวชายาเอก แต่ด้วยเพราะฐานะขององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น ทำให้คนนอกไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติประการใด แต่นี่ยิ่งทำให้สีหน้าของเยี่ยอิ๋งที่ไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งดูแย่ลงไปอีก ในวันงานนั้น เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไปที่ตำหนักหลีอ๋องพร้อมกัน ม่อจิ่งหลียืนรอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูด้วยตนเอง เยี่ยหลีเคยชินกับหน้าไร้อารมณ์ของม่อจิ่งหลีเสียแล้ว ใบหน้าเขาไม่มีความยินดีอยู่เลย หากไม่ใช่เพราะชุดสีแดงสดที่สวมอยู่ หากไม่ใช่เพราะใบหน้าที่หล่อเหลาดวงนั้น เกรงว่าแขกไปใครมาคงได้นึกสงสัยว่าตนจะต้องก้มหน้ากลับไปเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวดำมาร่วมงานแต่งงาน 

 

 

ถึงตอนนี้ เยี่ยหลีเริ่มนึกสงสารเยี่ยอิ๋งเข้าจริงๆ เสียแล้ว เจ้าม่อจิ่งหลีนั่นไม่ได้เกิดมาเป็นคนเย็นชาโดยกำเนิด แต่ติดที่แสดงท่าทางเช่นนั้นจนเป็นนิสัย หากมีชายคนใดกล้าทำหน้าอยากตายเช่นนั้นในงานแต่งงานของเขา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าคงได้ถูกเขาเตะตายเป็นแน่ 

 

 

ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเข้าไปภายในตำหนักโดยมีหัวหน้าพ่อบ้านตำหนักหลีอ๋องเดินตามไปส่ง บอกเป็นนัยๆ ว่าม่อจิ่งหลีไม่ต้องสนใจพวกเขา ม่อจิ่งหลีเองก็ไม่มีเวลามาสนใจพวกเขาด้วยเหมือนกัน อาจด้วยเพราะต้องการกู้หน้าคืนจากคราวที่แล้ว ทำให้เสียนเจาไท่เฟยไม่เพียงจัดงานแต่งงานให้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังได้เชิญองค์ไทเฮามาเป็นประธานในการจัดการแต่งงานให้กับลูกชายตนเองอีกด้วย การได้มาประจบสอพลอองค์ไทเฮานั้น ถือเป็นโอกาสดีที่หาได้ยากนัก ดังนั้นชนชั้นสูงและมีผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในเมืองหลวงต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าตนเองจะได้รับจดหมายเชิญหรือไม่ก็ตาม ทำให้ตำหนักหลีอ๋องมีแขกเหรื่อคึกคักอย่างถึงที่สุด 

 

 

“เป็นอะไรไป อาหลีกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เมื่อเห็นคนข้างกายมีสีหน้าสับสนลังเลใจแปลกๆ ม่อซิวเหยาจึงได้ถามขึ้นยิ้มๆ เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่นึกสงสัยเล็กน้อยว่าหลีอ๋องสีหน้าเป็นเช่นนี้ตลอดทั้งปีเลยหรือเปล่า วันนี้ไม่ใช่วันมงคลใหญ่หรอกหรือ” หากเป็นคนอื่น ไม่แน่อาจคิดกันไปแล้วที่ทำเช่นนี้เพราะไม่พอใจงานแต่งงานที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ ม่อซิวเหยาหันกลับไปมองม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่หน้าประตู “จิ่งหลีไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เด็กๆ คนที่คุ้นเคยกับเขาต่างก็ชินเสียแล้ว” เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้สนใจคำถามนี้จริงจังสักเท่าไร งานแต่งงานยังไม่ทันเริ่มดี แขกชายและแขกหญิงต่างจึงแยกไปอยู่ยังส่วนของตน ดังนั้นเมื่อเข้ามาในตำหนักจึงมีพ่อบ้านผู้ดูแลหญิงมาเชิญม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีให้ไปอยู่ในที่ที่แต่ละคนควรอยู่ทันที 

 

 

ผู้ดูแลหญิงตำหนักหลีอ๋องนำเยี่ยหลีเข้าไปยังตำหนักฝ่ายใน แขกผู้หญิงที่มาร่วมงานเลี้ยงตอนนี้ต่างรวมตัวกันอยู่ที่สวนดอกไม้ของตำหนักหลีอ๋อง ศาลาเล็กศาลาน้อยต่างมีคนจับจองนั่งคุยเล่นกันเต็มไปหมด หลังจากเดินผ่านคุณหญิงสองสามกลุ่มในสวนดอกไม้ และเอ่ยทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว เยี่ยหลีก็ถูกพามาที่ศาลาเล็กๆ อันหรูหราทางฝั่งตะวันออกของสวนดอกไม้ ภายในมีแขกผู้หญิงที่มีฐานะสูงส่งหรือไม่ก็มีอายุอานามมากหน่อยนั่งอยู่ เสียนเจาไท่เฟยพาเยี่ยอิ๋งออกมานั่งอยู่เป็นเพื่อนด้วยตนเอง เมื่อเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของเยี่ยอิ๋งกับสีหน้าที่มีรอยของความไม่พอใจของเสียนเจาไท่เฟยแล้ว ทำให้เยี่ยหลีอดลอบถอนใจเบาๆ ไม่ได้ เยี่ยอิ๋งและเยี่ยเย่ว์ต่างก็เป็นบุตรสาวของหวังซื่อด้วยกันทั่งคู่ ทั้งยังล้วนเป็นคนมีเสน่ห์ เหตุใดจึงต่างกันได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าการตัดสินใจของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยจะถูกต้อง ถึงแม้ความงามของเยี่ยอิ๋งจะมีมากกว่าเยี่ยเย่ว์อยู่ขั้นหนึ่ง แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของนาง หากส่งเข้าวังไปคงถูกใครต่อใครฉีกเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว 

 

 

“คารวะไท่เฟย” เยี่ยหลีเดินหน้าขึ้นไปทำความเคาระองค์ไท่เฟย 

 

 

เสียนเจาไท่เฟยทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นต้อนรับ แต่แน่นอนว่า เยี่ยหลีย่อมไม่อาจให้นางลุกขึ้นจริงๆ ได้ เยี่ยหลีไม่รอให้นางพูด รีบชิงยิ้มแล้วพูดขึ้นก่อนว่า “มาถึงกันมากเช่นนี้แล้วหรือ แต่อย่างไรข้าก็มาถึงช้าที่สุด ขอไท่เฟยอย่าได้ถือสา” เสียนเจ้าไท่เฟยขยับร่างกายเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง นางอมยิ้ม “ที่ไหนกัน ชายาติ้งอ๋องมาร่วมงานด้วย ถือเป็นเกียรติของตำหนักหลีอ๋องของพวกเรายิ่งแล้ว ไม่รู้ว่าติ้งอ๋อง…” เยี่ยหลียิ้ม “ท่านอ๋องก็มาด้วยเพคะ เพียงแต่ออกไปข้างนอกก่อนแล้ว อีกเดี๋ยวจึงจะสามารถมาคารวะไท่เฟยได้เพคะ” เสียนเจาไท่เฟยสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยชมเยี่ยหลีไม่ได้หยุด แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครถือเอาเรื่องการชื่นชมนี้เป็นสาระ ถึงแม้ชันษาของเสียนเจาไท่เฟยจะไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อเทียบกันจริงๆ แล้วก็มีศักดิ์เทียบเท่ากับม่อซิวเหยา นางไม่ได้คิดแต่แรกแล้วว่าติ้งอ๋องจะมาคารวะนางด้วยตนเอง 

 

 

หลังจากเอ่ยทักทายกันไปมา เยี่ยหลีมองไปรอบๆ ศาลาหลังเล็ก ก่อนจะเห็นว่ามีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น เพียงแต่องค์หญิงเจาหยางกับองค์หญิงเจาเหรินและฮูหยินผู้เฒ่าหวายังไม่มา หนานโหวฮูหยินที่นั่งอยู่แถวหน้าลุกขึ้นสละเก้าอี้ให้เยี่ยหลี เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ยขอบคุณ หนานโหวฮูหยินเป็นแม่สามีของเยี่ยเจิน พี่สาวใหญ่ตระกูลเยี่ย เยี่ยหลีมีความประทับใจที่ดีกับฮูหยินท่านนี้ไม่น้อย นางจึงได้ยิ้มแย้มพูดคุยกับหนานโหวฮูหยินอยู่หลายประโยค 

 

 

ระหว่างที่นั่งฟังเหล่าฮูหยินสูงศักดิ์พูดคุยกันไปเกี่ยวกับเรื่องในเมืองหลวงที่พอจะพูดสู่กันฟังได้ ซึ่งเยี่ยหลีเองก็ได้พูดเสริมไปหลายประโยค เยี่ยหลีนึกสงสัยว่า เยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่ถัดจากเสียนเจาไทเฟยดูจะไม่เปิดปากพูดอะไรเลย นั่งอยู่เงียบๆ เพียงคนเดียวตรงนั้นยิ่งทำให้ดูเหมือนท่อนไม้ที่สวยงาม ด้วยเพราะงานในวันนี้ทำให้เยี่ยอิ๋งแต่งตัวไม่สง่างามทันสมัยเหมือนอย่างที่นางเคยแต่ง นางอยู่ในชุดสีแดงสดประดับลวดลายดอกโบตั๋นสีทองซึ่งเป็นชุดออกงานของพระชายา แต่กลับยิ่งทำให้นางดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ทำให้คนที่มองดูรู้สึกถึงความแปลก คงต้องพูดว่าเยี่ยอิ๋งถูกหวังซื่อตามใจจนเสียนิสัย จนไม่เหลือเค้าบุตรสาวสายหลักของตระกูลใหญ่อยู่เลย หวังซื่อเอาความฉลาดและเวลาของเยี่ยอิ๋งทั้งหมดไปทุ่มเทให้กับการเรียนฉิน หมากล้อม เขียนพู่กัน วาดภาพ โครงกลอน และร่ายรำ แต่อันที่จริงมีบุตรสาวผู้ดีมีตระกูลอีกมากที่ไม่ชำนาญเรื่องเหล่านี้ หรือไม่ก็เลือกเรียนเพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเท่านั้น พวกนางมีพื้นเพตระกูลที่เพียงพอ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้แต่งงานไปกับตระกูลที่ดี การที่มีลูกสาวมีความสามารถทำให้เป็นที่เชิดหน้าชูตา แน่นอนว่าย่อมดี แต่หากต้องเลือกระหว่างชื่อเสียงและความสามารถ กับทักษะในการควบคุมอำนาจจัดการภายในบ้านแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเลือกอย่างหลังด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

“จะว่าไปชายาติ้งอ๋องกับอิ๋งเอ๋อร์คงไม่ได้พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวมานานแล้ว คนแก่อย่างพวกเราคงไม่กล้าให้พระชายานั่งเบื่ออยู่คุยกับพวกเราที่นี่ได้ อิ๋งเอ๋อร์ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนชายาติ้งอ๋องหน่อยไป” สายตาที่มองไปทางเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียนเจาไท่เฟยของเยี่ยหลี เสียนเจาไท่เฟยย่อมรับรู้ได้จึงหันไปสั่งการเยี่ยอิ๋งให้นาง เยี่ยอิ๋งเหลือบมองเยี่ยหลีก่อนยกมุมปากขึ้นพร้อมลุกยืน เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นยิ้มให้เสียนเจาไท่เฟย “ถ้าเช่นนั้น ขอบพระทัยไท่เฟยที่ใส่พระทัยเพคะ ทุกท่าน เยี่ยหลีขอตัวก่อน” 

 

 

           เมื่อมองพี่น้องทั้งสองเดินจากไปแล้ว หนานโหวฮูหยินจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “จะว่าไป ชายาติ้งอ๋องคนนี้คำพูดคำจาดูสง่างาม ทำอะไรก็ดูดีเสียจริง หากเป็นบุตรสาวบ้านคนทั่วไปไม่รู้ว่าจะต้องน่าสงสารถึงเพียงไหน มิน่าฮูหยินผู้เฒ่าหวาถึงได้ชื่นชมชายาติ้งอ๋องคนนี้นัก” ทุกคนต่างพูดสนับสนุน พวกนางต่างก็เป็นคนที่มีบุตรสาว หากไม่มีชายาติ้งอ๋องแต่งเข้าไป ใครจะรู้ว่าอาจเป็นบุตรสาวของพวกนางก็ได้ที่ได้แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ฐานะของตำหนักติ้งอ๋องนั้นสูงส่ง แต่ทุกวันนี้ติ้งอ๋องไม่มีอำนาจอยู่ในราชสำนักเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นคนพิการเดินไม่ได้ หากลูกสาวที่พวกนางเฝ้าประคบประหงมจนโตต้องแต่งงานออกไปเช่นนี้คงได้ปวดใจตาย ดังนั้น เยี่ยหลีที่ได้แต่งออกไปก่อนเช่นนี้จึงอดรู้สึกเห็นใจและสงสารไมได้ ยิ่งเห็นว่านางอายุเพียงสิบห้าสิบหกเท่านั้น ได้แต่งงานไปกับเขยเช่นนี้แล้วยังรักษาท่าทางสุขุมเยือกเย็นได้เช่นนี้ ย่อมถือว่าไม่เลวทีเดียว 

 

 

           แต่กลับกัน ชายาหลีอ๋องที่เคยเป็นคนที่คุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต่างนึกอิจฉานั้นกลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนสักเท่าใด ไม่ใช่ว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถทั้งฉิน หมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพหรือ เหตุใดแม้แต่การต้อนรับแขกเพียงนี้ยังไม่รู้จักว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่รู้ว่าหลีอ๋องชื่นชอบนางที่ตรงใดกัน ดูอย่างกับไม่ได้โตมาในจวนเดียวกันอย่างนั้น แน่นอนว่า คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ทุกคนต่างเพียงเก็บไว้ในใจ ไม่มีทางนำมาพูดต่อหน้าเสียนเจาไท่เฟยเป็นอันขาด