เล่มที่ 3 บทที่ 63 แค้นครั้งใหม่

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อกลับไปยังตำหนัก จุดเทียนเพิ่มแสงสว่าง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วอ่านหนังสือเงียบๆ

    ป๋ายจื่ออดไม่ได้ที่กวาดสายตามองออกไปรอบๆ ก่อนจะพบใบหน้าโกรธเกรี้ยวของป๋ายซ่าวและใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของป๋ายจี

    “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใครใจร้ายใจดำทำร้ายนายน้อยอวี้ได้ลงคอกัน?”

    ป๋ายจื่อรีบเข้าไปเขย่าแขนของป๋ายจีเพราะความร้อนใจ ทว่าคำตอบกลับหยุดยั้งการกระทำทั้งหมด

    “นายหญิง ที่นายน้อยอวี้ทำไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องนายหญิงเจ้าค่ะ”

    เพียงประโยคเดียว ป๋ายซ่าวที่กำลังโกรธเกรี้ยวหันกลับมา

    “เป็นเพราะคุณหนูเจียงหรูฉินผู้นั้นผู้เดียว ทั้งที่มาอยู่ที่นี่เพราะบารมีของป้าตนเอง แต่กลับว่าร้ายนายหญิงอย่างหน้าไม่อาย นายน้อยอวี้โกรธจนทนไม่ไหว เขาสวนกลับนางไปเพียงสองประโยค แต่กลับถูกสาวใช้ของนางใช้หวายตีอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะซุนผอผอเสี่ยงชีวิตปกป้องนายน้อยอวี้ เกรงว่าป่านนี้คงจะบาดเจ็บปางตายไปแล้วเจ้าค่ะ”

    การกระทำของสาวใช้ทั้งสามตกอยู่ภายในสายตาของหลินเมิ้งหยา นับตั้งแต่ตอนที่พวกนางก้าวเท้าเข้าประตูตำหนักมาแล้ว

    แม้นางจะเข้มงวดกับคนรับใช้มากเป็นพิเศษ แต่นางแยกผิดแยกถูกอย่างชัดเจน แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยลงโทษเอาผิดใครง่ายๆ คนรับใช้ที่คอยรับใช้นางจึงไม่ได้ถูกแบ่งชนชั้นว่าสูงหรือต่ำกว่ากัน

    เกรงว่าต้าจิ้นจะมีนายหญิงเช่นนางอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

    ดังนั้นพวกเขาจึงปกป้องดูแลรับใช้นายหญิงของตัวเองเป็นอย่างดี

    แต่นายน้อยอวี้กลับถูกเฆี่ยนตีเพียงเพราะเรื่องนี้

    สาวใช้ทั้งสามล้วนเป็นเสมือนมิตรสหายของหลินจงอวี้ ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกประหนึ่งมีศัตรูคนเดียวกัน

    หลินเมิ้งหยาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกนางได้อย่างไร การที่เสี่ยวอวี้ได้รับบาดเจ็บ นางเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่แพ้กัน

    ร่องรอยของความเย็นชาถูกวาดขึ้นในดวงตาของหลินเมิ้งหยา ใบหน้านวลเรียวเล็กรูปไข่เผยให้เห็นความโกรธเกรี้ยว

    “บังอาจนัก กล้าลงมือทำร้ายคนในจวนของข้า ป๋ายซ่าว เจ้าจงไปแจ้งแก่พ่อบ้านเติ้งว่าพรุ่งนี้เช้าให้ไปลากตัวพวกคนที่ทำร้ายเสี่ยวอวี้มาที่สวนหลิวซินของข้า”

    ใบหน้าเรียวเล็กเปิดเผยความเย็นชา เจียงหรู๋ฉินร่ำร้องขออยู่ในจวนแห่งนี้อย่างหน้าไม่อายยังไม่เท่าไร แต่นี่นางกล้าถึงขั้นทำร้ายคนของนางเชียวหรือ!

    แม้จะเพราะหลินเมิ้งหวู่สาดน้ำมันเข้าไปในกองเพลิงด้วยก็ตาม แต่ถึงกระนั้นนางจะจดจำความแค้นนี้เอาไว้ก่อน

    เมื่อถึงเวลานั้นนางจะคิดบัญชีทั้งใหม่และเก่าพร้อมกันทีเดียว!

    หลงเทียนอวี้อยู่ภายในห้องอ่านหนังสือ พ่อบ้านเติ้งและหลินขุยยืนอยู่ภายในไม่ขยับเขยื้อน

    สีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาลุ่มลึกเกินคาดเดา แววตาเผยเปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยว เลื่อนสายตาก้มลงมองซุปบำรุงร่างกายสองถ้วยบนโต๊ะ

    ถ้วยสีฟ้าคราม หน้าตาคล้ายกันไม่มีผิด แม้แต่น้ำซุปสีเหลืองขุ่นในถ้วยก็เหมือนกัน

    ทว่า สิ่งที่ใครต่อใครเรียกว่ายาบำรุงนี้ ในสายตาของเขาไม่ต่างอะไรจากยาพิษเลยแม้แต่น้อย

    เขากินอาหารทะเลไม่ได้ตั้งแต่เด็กแล้ว

    เมื่อกินเข้าไปคอจะบวมแดง หากมิใช่เพราะกินยาแก้แพ้ของหมอหลวงได้ทันเวลา บางทีเขาอาจจะตายไปนานแล้ว

    คนในจวนทั้งหมดต่างรู้ดี ทว่าหญิงสาวทั้งสองที่พยายามชิงดีชิงเด่นกันกลับหาได้รู้ไม่

    “เอาไปทิ้ง”

    น้ำเสียงเย็นชาเจือไว้ซึ่งความเกลียดชัง

    สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือผู้หญิงที่พยายามจะปีนป่ายข้ามหัวขึ้นไปผงาดโดยใช้สารพัดวิธีมาหลอกล่อตนเอง

    แม้เขาจะรู้ดีว่าไม่อาจหาความจริงใจจากคนในราชวงศ์ได้ก็ตาม

    “ท่านอ๋อง พระชายาขอเข้าเฝ้า”

    ด้านนอก เสียงเคารพนับถือของทหารองครักษ์ดังขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด อยู่ๆ ความคาดหวังพลันบังเกิดในใจของหลงเทียนอวี้

    “เชิญนางเข้ามา”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    พ่อบ้านเติ้งและหลินขุยล้วนเป็นคนสนิทของหลงเทียนอวี้

    เกรงว่าในจวนแห่งนี้นอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว ก็ไม่มีคนที่หลงเทียนอวี้เชื่อใจอีก

    แต่พระชายาที่มีอุปนิสัยแปลกประหลาดนั้นต่างกันออกไป ไม่เพียงแค่นางเป็นหญิง แต่นางยังได้รับความเชื่อใจจากท่านอ๋อง

    อีกทั้งนางยังทำลายกฎเกณฑ์ที่เคยมีมาในจวนอย่างมากมาย หรือว่า…

    หันหน้าสบตากัน ก่อนที่นัยน์ตาจะเผยความรู้ความเข้าใจของอีกฝ่ายให้เห็น

    ผู้หญิงที่ท่านอ๋องไว้เนื้อเชื่อใจ คาดว่าในอนาคตจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก!

    เมื่อนึกถึงความเจ้าคิดเจ้าแค้นของพระชายาขึ้นมา เกรงว่านางจะเป็นหมากที่ดีที่สุดในการรับมือกับคนในวัง

    “ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยหรือเพคะ?”

    หลินเมิ้งหยาสวมใส่ชุดสีขาวภายใต้ท้องฟ้าสีดำมืด เวลานี้นางช่างดูใสซื่อไร้เดียงสา

    เส้นผมสีดำขลับถูกปล่อยไว้ทางด้านหลัง ใช้เพียงริบบิ้นสีเดียวกันผูกเอาไว้หลวมๆ ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง แต่กลับดูอ่อนโยนดั่งสายน้ำ

    ราวกับว่าหลงเทียนอวี้รู้ก่อนแล้วว่านางจะมา เขาจึงไร้ซึ่งท่าทีประหลาดใจ พยักหน้าลงและนั่งบนเก้าอี้ของตนเองเพื่ออ่านกลยุทธ์ทางการทหาร

    “นี่เป็นซุปเห็ดหูหนูที่หม่อมฉันสั่งให้พ่อครัวทำมาให้ เหมาะที่สุดสำหรับการเสวยมื้อดึก ท่านอ๋องลองชิมดูสักหน่อยดีมั้ยเพคะ?”

    ส่งอาหารมื้อดึกมาให้เหมือนกัน แม้จะเป็นเพียงซุปเห็ดหูหนูธรรมดา แต่นางกลับเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ

    หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง วางหนังสือในมือลง ก่อนจะยกซุปขึ้นดื่ม

    “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องต้องการปรึกษากับพระองค์”

    อาศัยจังหวะเหมาะสมในการเอ่ย ทุกครั้งที่หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยคำร้องขอ นางมักจะทำให้ผู้ตัดสินใจพึงพอใจก่อนเสมอ

    พอลองไตร่ตรองดูแล้ว ดูเหมือนซุปเห็ดหูหนูจะมีประสิทธิภาพที่ดีเลยทีเดียว สีหน้าของหลงเทียนอวี้ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างเมื่อครู่แล้ว

    ทว่าริมฝีปากบางสีอ่อนกลับปิดสนิท ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเผยร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวให้เห็นเล็กน้อย

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำมองถ้วยสองใบบนโต๊ะหนังสือ

    มุมปากหยักยกขึ้น คิกๆ นางก็สงสัยอยู่ว่าใครกันที่ทำให้ท่านอ๋องโกรธ

    “หลินเมิ้งหวู่บอกว่านางอยากเชิญฮูหยินหลินมาอยู่ที่จวนของเราชั่วคราวเพคะ หม่อมฉันทำเพียงตอบว่าจะต้องขออนุญาตจากท่านอ๋องก่อน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเร่งเร้า ดังนั้นหม่อมฉันจึงจำต้องมารบกวนท่านอ๋องตอนดึกดื่นเช่นนี้”

    วันที่กลับไปยังบ้านเจ้าสาว หลงเทียนอวี้ได้เห็นกิตติศัพท์ของสองแม่ลูกคู่นี้เรียบร้อยแล้ว

    อย่าว่าแต่มาอยู่ที่จวนสักระยะเลย ขนาดมาให้เห็นหน้าเขายังรู้สึกขยาด

    อีกอย่าง ฮูหยินหลินเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮาที่ไม่ถูกกันกับหมู่เฟยอีก

    หากปล่อยให้นางเข้ามาอยู่ที่นี่ เกรงว่าความสงบสุขในจวนอวี้คงจะหมดไป

    “ข้าว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม”

    คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน หลงเทียนอวี้มองหน้าหลินเมิ้งหยาอย่างไม่เข้าใจ

    อันที่จริงเด็กคนนี้น่าจะเกลียดชังสองแม่ลูกคู่นี้มากกว่าตนเองเสียอีก เหตุใดวันนี้จึงออกตัวขออนุญาตให้ฮูหยินสกุลหลินเข้ามาอยู่ที่นี่กันเล่า?

    เป็นไปได้ไหมว่ายังมีลับลมคมในอะไรอยู่?

    “ท่านอ๋อง ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมหรอกเพคะ นางได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของหม่อมฉันจึงคิดอยากมาเยี่ยมเยียนบ้านของลูกเขย เรื่องนี้ใช่จะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากท่านอ๋องกลัวจะเกิดปัญหา เช่นนั้นให้นางไปอยู่ที่เรือนเล็กทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็ได้นะเพคะ”

    ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเปื้อนยิ้ม ลักษณะท่าทางประหนึ่งคุณหนูผู้มีจิตใจดี

    ทว่าหลงเทียนอวี้ที่ได้เห็นรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าของนางกลับอดที่จะตกใจสะดุ้งเฮือกไม่ได้

    ยัยเด็กนี่วางแผนอะไรอยู่กันแน่?

    “แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ควรได้รับความเห็นชอบจากหมู่เฟยก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปถวายคำนับหมู่เฟยพร้อมกับเจ้าด้วย ถึงเวลานั้นค่อยขอความคิดเห็นจากพระนางแล้วกัน เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าเองก็จะพักผ่อนแล้ว”

    หลงเทียนอวี้หลุบตาต่ำ นัยน์ตาเผยให้เห็นความสงสัย

    เขาเคยได้รับรายงานว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลินเมิ้งหยาได้รับความทุกข์ทรมานจากซ่างกวนชิงมามากมาย

    เขามองไม่เห็นความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกของพวกนางเลย สิ่งที่เห็นก็มีแต่เพียงความเคียดแค้นเท่านั้น

    นอกจวน เขาสามารถปล่อยให้นางแก้แค้นใครต่อใครได้ตามใจ แต่เพื่อความปลอดภัยภายในจวน อีกทั้งยังต้องปิดบังความลับบางอย่าง ดังนั้นเขาจะยอมปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นถูกเปิดเผยมิได้

    หากมีคนที่ไม่ปรารถนาดีเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ เขาเกรงว่าจะควบคุมคนเหล่านั้นได้ยาก

    “เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา ท่านอ๋องรีบนอนนะเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาถวายคำนับ ก่อนจะกลับออกไปจากห้องอ่านหนังสืออย่างว่าง่าย

    เหลือบมองร่างบางเปล่งประกายสีขาวตรงหน้าที่หายลับไปในความมืด พ่อบ้านเติ้งและหลินขุยสบตากัน ทว่าพวกเขาอดที่จะออกความเห็นไม่ได้

    “ท่านอ๋องได้โปรดพิจารณาเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง ฮูหยินหลินผู้นั้นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮา เกรงว่าการที่นางมาที่นี่ก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงพ่ะย่ะค่ะ”

    พ่อบ้านเติ้งรับผิดชอบความปลอดภัยของฝ่ายในจวน แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านายทุกคน

    แต่เห็นได้ชัดว่าหลงเทียนอวี้ได้ตัดสินใจไปแล้ว

    “พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ว่า หลินเมิ้งหยามีรูปแบบในการจัดการปัญหาเช่นไรใช่หรือไม่? เกรงว่าที่นางยอมรับปากหลินเมิ้งหวู่ก็เพราะได้วางแผนการบางอย่างเอาไว้ในใจแล้ว พวกเราอย่าได้ตีตนไปก่อนไข้เลย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางเถิด”

    หลงเทียนอวี้ดื่มซุปเห็ดหูหนูจนหมด แม้แต่เขาเองยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยในการตัดสินใจของตนเอง

    ถอดผ้าคลุมออก สวมใส่เพียงชุดจีนสีขาว เอนกายนอนลงบนเตียงแบบทหาร ในมือถือหนังสือทางการทหารเอาไว้

    พ่อบ้านเติ้งและหลินขุยทูลลาและกลับออกไปจากห้องอ่านหนังสือ ดังนั้นเวลานี้จึงเหลือเขาเพียงคนเดียว

    สายตาจ้องมองตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่ในหนังสือกลยุทธ์การรบ ทว่าหัวใจกลับครุ่นคิดว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอของหลินเมิ้งหยาได้?

    “เย่ ช่วงนี้สถานการณ์ในคุกเป็นเช่นไร?”

    สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามา เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นโดยไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงอยู่ที่ใด

    “ทูลท่านอ๋อง นักโทษที่รอดชีวิตทั้งห้าไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดได้ พวกเขาเล่าว่าพวกเขาสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกองทัพ อีกทั้งพวกเขายังได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้มาปกป้องดูแลโรงน้ำชาเล็กๆ แห่งนี้ ส่วนเรื่องเสียงของภูตผีล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น ทว่าหน่วยซุ่มโจมตีของพวกเราไม่อาจจับตัวยอดนักฆ่ามาได้ คนผู้นั้นมีสัญชาตญาณค่อนข้างว่องไว เพียงโผล่หัวให้เห็นก็รีบหนีไปในทันที ส่วนมือลอบสังหารชิงหูแห่งเถาฮวาอู๋ไม่ยอมปริปากเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังอยากขอเข้าเฝ้าพระชายาเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

    เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าชิงหูไม่มีทางยอมปริปาก

    คืนนั้นหน่วยซุ่มโจมตีมิได้เข้าไปแฝงตัวไปเป็นผีกับพวกหลินเมิ้งหยา

    เย่พาองครักษ์จำนวนหนึ่งไปซุ่มรออยู่แล้วในโรงน้ำแข็งร้างแห่งนั้นเพื่อหาโอกาสจับตัวยอดนักฆ่า

    หากยอดนักฆ่าผู้นั้นแฝงตัวอยู่ในจวนแห่งนี้ เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเผยตัวออกมาอย่างแน่นอน

    แต่…เขาจะทำให้เจ้าหนอนบ่อนไส้ผู้นั้นเผยตัวได้เช่นไร?

    นิ้วเรียวยาวยกขึ้นนวดหว่างคิ้ว แต่ก่อนจวนแห่งนี้มีเพียงเขาคนเดียว ยิ่งคนน้อย เรื่องก็ยิ่งน้อย

    ทว่าตอนนี้กลับมีคนเข้ามาอยู่ในนี้มากมาย หากเขาคิดจะกำจัดออกไปทีละคนคงไม่ใช่เรื่องง่าย

    “นับแต่นี้เป็นต้นไป หากใครต้องการออกไปจัดการธุระข้างนอก จะต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อน เย่ เจ้าสั่งให้องครักษ์ลับจับตามองให้ดี จะต้องจับตัวคนผู้นั้นมาให้ข้าให้ได้!”

    กล้าแฝงตัวเข้าๆ ออกๆ ในจวนของเขาตามอำเภอใจ เขาอยากจะเห็นนักว่าคนผู้นั้นเป็นเทวดาหรือเทพเซียนจากชั้นฟ้าแห่งไหน!