เล่มที่ 3 บทที่ 64 เชือดไก่ให้ลิงดู

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

อรุณรุ่ง หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้พากันไปถวายคำนับที่ตำหนักหยาเสวียนด้วยกัน

    มิรู้ว่าเพราะพระสนมเต๋อเฟยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติที่ต้องไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ดังนั้นพระนางจึงไม่ได้เอ่ยทัดทานและยินยอมให้รับฮูหยินหลินเข้ามาอยู่ในตำหนักสักระยะ

    หลงเทียนอวี้ยังมีงานให้ต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงขอตัวกลับก่อนและทิ้งหลินเมิ้งหยาเอาไว้ที่นี่เพื่อพูดคุยกับพระสนมเต๋อเฟย

    “หยาเอ๋อร์ เปิ่นกงรู้ดีว่าหลายวันที่ผ่านมาเจ้าต้องรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก”

    เมื่อเทียบระหว่างช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในรั้วในวังกับช่วงเวลาที่ได้อาศัยอยู่ที่จวนแห่งนี้ สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยในเวลานี้แช่มชื่นกว่าแต่ก่อนมาก

    สีหน้ามิได้ขาวซีดเสมือนก่อน แต่กลับเผยเลือดฝาดสีแดงระเรื่อให้เห็น

    แม้จะไม่ได้เกล้าผมดั่งสตรีชั้นสูงและปักเพียงปิ่นทองลายดอกโบตั๋น แต่พระนางกลับดูสง่างามเกินกว่าใครจะเทียบเทียม

    วันเวลาช่างอยุติธรรมกับสาวงามอย่างแท้จริงเสียเหลือเกิน

    “หมู่เฟยหมายถึงอะไรหรือเพคะ หยาเอ๋อร์ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอ่อนโยนอ่อนหวาน ร่างกายสวมใส่ชุดกระโปรงตัวยาวสีฟ้าน้ำทะเลประดับลายผีเสื้อลอยละล่อง

    ใบหน้าของนางงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในเวลานี้ยิ่งสวยงามและส่งความรู้สึกให้ผู้อื่นรักและเอ็นดู

    “เปิ่นกงหมายถึงเรื่องของหรูฉิน เด็กคนนี้ถูกท่านอาคนโตเอาใจจนติดเป็นนิสัย หากมีเรื่องอันใดที่นางกระทำมิเหมาะมิควร เจ้าที่เป็นพี่สะใภ้ช่วยอดทนกับนางหน่อยเถิดนะ”

    ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยเจือไว้ซึ่งความรู้สึกผิด

    นางเกิดมาในครอบครัวของชนชั้นสูง ได้รับการศึกษาที่ดีตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังถูกบ่มเพาะมาเป็นอย่างดี

    เมื่อต้องเจอกับคนกำเริบเสิบสาน อีกทั้งยังไร้ซึ่งกิริยามารยาทอันดีงาม ดังนั้นนางจึงรู้สึกไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก

    เหตุเพราะเห็นแก่หน้าอาคนโต ดังนั้นจึงมิได้จัดการโดยเด็ดขาด

    อีกอย่าง แม้เจียงหรูฉินจะเป็นเพียงลูกของภรรยาอนุ แต่นางมีความฉลาดเฉลียวตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งยังทำให้พระสนมเต๋อเฟยรักและเอ็นดู ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ พระนางจึงอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้

    “หมู่เฟยอย่ากังวลเลยเพคะ หยาเอ๋อร์เข้าใจดี”

    แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ เพราะเหตุนี้พระสนมเต๋อเฟยจึงตอบรับในเรื่องที่ตนเองขอสินะ

    ถูกเอาอกเอาใจแต่เด็กแล้วอย่างไร? เจียงหรูฉินสามารถใช้ข้ออ้างข้อนี้มาตบตีผู้อื่นตามใจตัวเองได้กระนั้นหรือ?

    น่าเสียดาย นางหาใช่หญิงใจกว้าง เมื่อมีความแค้นก็ต้องชำระ นี่สิจึงจะเป็นอุปนิสัยที่แท้จริงของหลินเมิ้งหยา

    พระสนมเต๋อเฟยยังคิดอยากพูดคุยกับนางอีกเล็กน้อย ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเอ่ยว่าต้องการแจ้งข่าวไปยังฮูหยินหลิน ดังนั้นจึงขอทูลลา

    อันที่จริงนางเข้าใจดี แม้ว่านางจะเป็นลูกสะใภ้ แต่ในสายตาของพระสนมเต๋อเฟยนางก็ยังคงเป็นคนนอกอยู่ดี อีกทั้งนางยังไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดร่วมกับพระสนมเต๋อเฟยอีกด้วย

    เมื่อเทียบกันแล้ว หลานในไส้ของตนเองย่อมสนิทชิดเชื้อกว่านางมิใช่หรือ?

    คิดอยากพาป๋ายซ่าวกลับไปยังสวนหลิวซิน ทว่าระหว่างทางเดินกลับพบเจียงหรูฉินเข้า

    ร่างบางสวมใส่ชุดสีชมพู ข้างหลังคือสาวใช้สวมใส่ชุดสีแดงสี่คน สีหน้าไม่น่ามอง

    โลกนี้ช่างกลมเหลือเกิน ทั้งที่เป็นเช้าสว่างสดใสแต่กลับต้องมาเจอตัวซวย ได้ยินมาว่าแม้แต่แม่ของใครบางคนยังถูกฆ่าให้ตาย ชิๆ เห็นทีข้าต้องบอกให้ท่านพี่และท่านป้าต้องระวังตัวเอาไว้แล้ว!”

    หลินเมิ้งหยาเงยหน้า เหลือบมองด้วยสายตาดูแคลน ใบหน้านวลขาวราวเกล็ดหิมะเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งยโสโอหัง

    เจียงหรูฉินสั่งคนตีเสี่ยวอวี้ ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทางหยิ่งจองหองเช่นนี้ แต่นางคงลืมสิ่งที่เจียงเฉิงเคยบอกนางไปว่าอย่าทำให้หลินเมิ้งหยาต้องขุ่นเคืองเป็นอันขาด

    สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังนางล้วนรอดูอะไรสนุกๆ

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่า “เพียะ” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนชะงักอยู่กับที่

    “เจ้ากล้าตบข้า!”

    เจียงหรูฉินคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาที่มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอจะกล้าตบหน้านาง

    “ข้าตบเจ้าแล้วอย่างไรเล่า? หากเจ้ายังกล้าพูดจาเลื่อนเปื้อน ข้าจะกรีดหน้าของเจ้าเสีย”

    หลินเมิ้งหยาชักมือซ้ายกลับ จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยส่งเสียงเน้นย้ำทีละคำ

    “เจ้า…อย่าลำพองใจไปหน่อยเลย ท่านป้าไม่มีทางยอมให้คนอย่างเจ้ามาเหิมเกริมเสพสุขอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจเฉิบหรอก!”

    เจียงหรูฉินที่กำลังโกรธเกรี้ยวลืมไปจนหมดสิ้นว่าตนเองเป็นเพียงแขกเท่านั้น

    เมื่อสาวใช้ทั้งสี่เห็นว่าเจ้านายของตนเองถูกทำร้าย พวกนางเองก็ลืมสถานะของตนเองแล้วรีบเข้าไปห้อมล้อมหลินเมิ้งหยากับป๋ายซ่าวเอาไว้

    “หืม? กล้าลงมือกับข้าในจวนแห่งนี้อย่างนั้นหรือ!”

    น้ำเสียงเย็นชาระคนน่าเกรงขาม

    สาวใช้ทั้งสี่ขยับเท้าถอยหลัง ทว่าเจียงหรูฉินไม่มีวันยอมแพ้ ฝ่ามือยกขึ้นจับใบหน้าข้างแก้มสีแดงซึ่งกำลังร้อนผ่าว ความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นในใจ

    “ชุนฮวา ชิวเยว่ ล่าเหมย ตงเสวี่ย พวกเจ้าจงสั่งสอนนางให้กับข้า!”

    สาวใช้ทั้งสี่เชื่อเหลือเกินว่าคุณหนูของตนเองจะต้องได้ขึ้นเป็นนายหญิงของจวนแห่งนี้ ดังนั้นพวกนางจึงมิได้ไตร่ตรองอะไรมากมาย

    ขณะที่คิดจะก้าวขึ้นไปจับตัวหลินเมิ้งหยา ทว่าด้านหลังกลับปรากฏทหารองครักษ์ขึ้นเจ็ดถึงแปดคน

    “ใครกล้าเสียมารยาทกับพระชายา!”

    เสียงทุ้มต่ำเย็นชาเจือไว้ซึ่งแรงอาฆาต สาวใช้ทั้งสี่ไม่อาจต่อกรกับความน่าหวั่นเกรงเช่นนี้ได้

    “พระชายา ข้าน้อยชิวหมิงขอถวายคำนับพระชายา”

    หลินเมิ้งหยาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีทหารองครักษ์พุ่งตัวเข้ามาอารักขา

    มองบุคคลตรงหน้า ใบหน้าดำถมึงทึง แต่เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นเคยนัก?

    “พระชายาอาจจะลืม ข้าน้อยเคยทำงานให้กับพระชายาที่โรงน้ำชาพ่ะย่ะค่ะ”

    ชิวหมิงอดที่จะหยักยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาขณะจ้องมองพระชายาเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส

    เขาไม่เคยลืมภาพอเนจอนาถของอันธพาลทั้งสี่

    เกรงว่าตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา พระชายาคงกลายเป็นฝันร้ายของพวกเขาทั้งสี่คนนั้นไปแล้ว

    “โอ้ ข้านึกออกแล้ว ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”

    ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็นึกออก ตอนที่นางอยู่บนถนนแล้วเจอเข้ากับกลุ่มอันธพาลเข้า ตอนนั้นเป็นชิวหมิงที่ควบคุมทหารองครักษ์

    แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่กลัวที่ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากกว่า เหตุเพราะนางมั่นใจว่าดวงความเตรียมพร้อมของนาง อีกทั้งยังมีเรี่ยวแรงของป๋ายซ่าว พวกนางจะไม่มีวันเป็นรองของศัตรูอย่างแน่นอน มากสุดใบหน้าของบาดเจ็บจนไม่น่ามองก็เท่านั้น

    แต่ในเมื่อมีคนมาช่วยความงดงามของนางเอาไว้ เช่นนั้นนางก็ยินดี

    “เจ้า…เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงกล้าเข้ามาแส่เรื่องนี้!”

    ใบหน้าครึ่งซีกของเจียงหรูฉินม่วงช้ำ คิดไม่ถึงเลยว่านางที่กำลังเป็นต่ออยู่เมื่อครู่จะถูกพลิกกระดานจนกลายเป็นรองเพราะองครักษ์เหล่านี้

    นางส่งเสียงตวาดจนแหบแห้ง แต่นางลืมไปว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ควบคุมจวนแห่งนี้

    “นี่เป็นเรื่องภายในจวนของพวกเรา ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้วกระมัง? ชิวหมิง สาวใช้สี่คนนั้นบังอาจเสียมารยาทกับพระชายา จับตัวพวกนางเอาไว้แล้วรอคำตัดสินจากพระชายา!”

    เมื่อโอกาสของป๋ายซ่าวมาถึง ดวงตากลมโตถลึงขึงขัง มือยกขึ้นเท้าเอว ท่าทางของนางไม่ต่างอะไรจากสาวสวยจอมบงการ

    หลินเมิ้งหยาหยุดยืนอยู่อีกฝั่ง ใบหน้าเย็นชา ถึงขั้นกล้าตบตีเจ้าบ้านในบ้านของเขา ดูท่า นางจะต้องสั่งสอนพวกสาวใช้ไม่รู้ฟ้ารู้ดินทั้งสี่ตรงหน้าสักหน่อยแล้ว

    ชิวหมิงไม่รอช้า ฝ่ามือยกขึ้นโบกเล็กน้อย สาวใช้ทั้งสี่ถูกองครักษ์เข้าจับกุมและถูกมัดเอาไว้จนหมด

    “หลินเมิ้งหยา พวกนางเป็นคนของสกุลเจียง เจ้าไม่มีสิทธิ์!”

    เจียงหรูฉินโกรธจนตัวสั่น ใบหน้านวลยับยู่ยี่ เครื่องสำอางบนหน้าเปรอะเปื้อน ท่าทางเหมือนอยากกินคนอย่างไรอย่างนั้น

    “คนของสกุลเจียง? แล้วอย่างไรเล่า? เข้ามา เอาตัวสาวใช้ทั้งสี่ไปโยนลงบ่อน้ำ”

    คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย

    ออกคำสั่งเสียงเย็น สาวใช้ทั้งสี่ “ตูม” “ตูม” ร่วงลงบ่อน้ำ

    สาวใช้ทั้งสี่ที่ถูกมัดเอาไว้ร่วงลงบ่อน้ำโดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตะเกียกตะกายขึ้นมา

    มองดูฟองอากาศ ในที่สุดผิวน้ำก็สงบนิ่ง สีหน้าของเจียงหรูฉินซีดเผือด

    “เมืองจิ้นมีคำกล่าวที่ว่านอกจากภรรยาที่ตกแต่งเข้ามาอย่างถูกตามประเพณีแล้ว หญิงอื่นล้วนเป็นภรรยาอนุ การตัดสินใจล้วนขึ้นกับภรรยาเอก ภรรยาอนุสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นภรรยาอนุ คุณหนูเจียง ข้าให้เกียรติเจ้าในฐานะแขก ฉะนั้นจึงจัดการสาวใช้ที่มิรู้ความแต่ดุดันประหนึ่งเสือแทนเจ้า หากเจ้าอยากคิดเข้ามาเป็นชายารองของท่านอ๋องจริง สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาวิธีเอาตัวรอด”

    น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาอ่อนโยนเพราะพริ้ง ทว่าความหมายในคำพูดล้วนทิ่มแทงใจ

    ตำแหน่งพระชายาของนางถูกแต่งตั้งโดยตราราชลัญจกรของฮ่องเต้ อย่าว่าแต่นางที่มีฐานะเป็นเพียงลูกสาวของภรรยาอนุเลย แม้แต่ฮองเฮาก็มิอาจเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ได้มาของนางตามอำเภอใจ

    ใบหน้าของเจียงหรูฉินซีดเผือด ดวงตาจับจ้องหลินเมิ้งหยาด้วยความโกรธระคนหวาดผวา ทว่านางกลับไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาหยาบคายอีก

    จ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยความเกลียดชัง ราวกับกำลังจับจ้องศัตรูคู่แค้น นางกระทืบเท้าก่อนจะหายไปจากแนวสายตา

    “นายหญิง ท่านเก่งเหลือเกิน ฮึ ข้าจะรอดูว่าคุณหนูเจียงยังจะแผลงฤทธิ์อะไรออกมาได้อีก! แม้อนาคตข้างหน้าจะแต่งงานเข้ามาจริง แต่ก็คงถูกนายหญิงขับไล่ออกไปอย่างแน่นอน”

    ป๋ายซ่าวหัวเราะพลางจ้องมองหลินเมิ้งหยา แววตาเผยให้เห็นความนับถือ

    “ข้าเพียงแต่ต้องการสั่งสอนนาง การจะขึ้นเป็นชายารองของท่านอ๋องได้จะต้องได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ ใช่จะตบตีใครก็ทำได้ตามอำเภอใจอย่างเช่นครอบครัวธรรมดาทั่วไป”

    หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ราชวงศ์ย่อมไม่เหมือนกับครอบครัวคนธรรมดาอย่างแน่นอน

    หากเป็นเช่นคนธรรมดา ป่านนี้พระสนมเต๋อเฟยเหนียงเหนียงคงถูกฮองเฮากำจัดทิ้งไปนานแล้ว ไม่มีทางมีอายุยืนยาวจนกระทั่งตอนนี้หรอก

    “เอ๋? หนู่ปี้เชื่อเจ้าค่ะ นายหญิง คำพูดแทงใจของนายหญิงรุนแรงกว่าผู้อื่นเป็นร้อยเท่าเลยเจ้าค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ป๋ายซ่าวจะเชื่อนางเช่นนี้

    นางเองก็เหมือนกับเจียงหรูฉิน พวกนางต่างถูกเลี้ยงดูมาในกรอบในระเบียบ แล้วจะเข้าใจกฎหมายบ้านเมืองได้อย่างไร

    ผิดกับหลินเมิ้งหยาสมัยก่อน นางมักจะอ่านหนังสือของท่านพ่อทุกแขนง ดังนั้นหญิงสาวสติฟั่นเฟือนคนนั้นจึงมีความรู้มากมายอยู่ในสมอง

    ดังนั้นนางจึงสามารถอ้างอิงคำพูดเหล่านั้นมากล่าวจนทำให้ใครต่อใครตกใจได้อย่างไรเล่า

    “พระชายา หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”

    ชิวหมิงถวายคำนับด้วยความเคารพนับถือ

    หากสาวใช้ทำให้พระชายาขุ่นเคือง การที่พระชายากำจัดพวกนางย่อมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงสาวใช้สี่คนเท่านั้น หาใช่เรื่องใหญ่อันใด

    “อืม วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก แล้วข้าจะเข้าไปทูลท่านอ๋องเอง เจ้าไปก่อนเถอะ”

    องครักษ์เหล่านั้นจึงเดินเป็นแถวผ่านสระน้ำแห่งนี้ไป

    หลินเมิ้งหยากวาดสายตามององครักษ์เหล่านั้น ดูเหมือนช่วงนี้ภายในจวนจะมีการป้องกันเข้มงวดมากขึ้นเป็นพิเศษ