เล่มที่ 3 บทที่ 65 หักหลังสักครา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“นายหญิง ที่แท้พวกท่านก็อยู่ที่นี่ หนู่ปี้แทบพลิกจวนหาแล้วเจ้าค่ะ!”

    ร่างของป๋ายจื่อปรากฏขึ้นในแนวสายตาของหลินเมิ้งหยาไกลๆ

    ดูจากท่าทางร้อนรนกระวนกระวายของนางแล้ว หรือจะเกิดเรื่องขึ้นที่สวนหลิวซินกัน?

    “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าจึงร้อนใจถึงเพียงนี้ หรือตำหนักถูกไฟไหม้กระนั้นหรือ?”

    ป๋ายซ่าวรีบรั้งตัวของป๋านจื่อที่กำลังหอบแฮกๆ เอาไว้ ก่อนจะส่งเสียงถามด้วยความร้อนใจไม่แพ้กัน

    “ไฟไม่ได้ไหม้ แต่จิ้งจอกบุกต่างหาก! นายหญิงเจ้าคะ พอท่านออกจากประตูไป คุณหนูรองพาสาวใช้มายังตำหนักของพวกเรา นายน้อยอวี้กลัวว่านางจะสบโอกาสทำเรื่องไม่ดี ดังนั้นจึงจับตามองนางอยู่เจ้าค่ะ!”

    หลินเมิ้งหวู่? นางมาทำอะไรกัน?

    เกรงว่าจะมาสร้างปัญหาอย่างแน่นอน หรือนางกำลังร้อนใจเพราะเรื่องที่ต้องการจะไปรับแม่ของตนเองมา?

    “ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวพวกเรากลับไปเจอนางก็จะรู้เอง”

    ภายในห้องหลักของสวนหลิวซิน หลินจงอวี้นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือพลางอ่านหนังสือเงียบๆ

    คนละเอียดรอบคอบอย่างป๋ายจีตระเตรียมหมอนขนเป็ดใบหนาเอาไว้ก่อนแล้ว นางวางไว้บนเก้าอี้เพื่อรองรับแผ่นหลังของหลินจงอวี้

    ทั้งนายและบ่าวในตำหนักแห่งนี้ล้วนคิดเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นก็คือพวกเขาต่างไม่อยากเจอคุณหนูรองทั้งคู่

    ทว่านางกลับแสดงท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว นั่งลงบนเก้าอี้และจิบชาที่ป๋ายจีนำมาให้

    “ข้าว่านะเจ้าหนู เจ้าเองก็โตแล้ว แต่ยังขลุกอยู่ในตำหนักของพี่สาวข้าตลอดทั้งวัน หากข่าวลือถูกแพร่งพรายออกไปจะเกิดอะไรขึ้น? หากพี่สาวข้าต้องแปดเปื้อน เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่”

    ใบหน้าของหลินจงอวี้งดงามมีเสน่ห์ ไม่ว่าใครต่างก็ไม่สามารถปฏิเสธความเย้ายวนของเขาได้ แม้เขาจะเป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แต่ถึงอย่างนั้นความคมเข้มของเขาก็เผยออกมาทีละน้อย

    โดยเฉพาะเมื่อเขาสวมใส่ชุดสีขาวราวเกล็ดหิมะ ศีรษะสวมมงกุฎแก้ว ความสง่างามยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น

    แต่เด็กคนนี้กลับเรียนแบบท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองจากหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจใครเลยแม้แต่น้อย

    “คนจิตใจสกปรกมักจะคิดได้แต่เพียงเรื่องสกปรกเท่านั้น นางเป็นพี่สาวของข้า ข้าเป็นน้องชาย คงมีเพียงคนแบบเจ้าเท่านั้นที่เห็นความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นเรื่องบัดสี”

    เพียงประโยคเดียว คิ้วของหลินเมิ้งหวู่ขมวดเข้าหากันแน่นในทันที

    นิ้วเรียวยาวดุจต้นหอมชี้ไปทางหลินจงอวี้ ดวงตาคู่สวยเหลือกมองเขาไม่กะพริบ

    “ฮึ อย่าคิดว่ามีท่านพี่คอยปกป้องแล้วเจ้าจะแสดงท่าทีไม่เห็นหัวใครต่อใครก็ได้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าจะได้รู้จักกฎการอยู่ร่วมกันเสียบ้าง!”

    นางได้ยินข่าวลือที่ว่าจะส่งคนไปรับแม่ของนางมาที่จวนแห่งนี้แล้ว

    หากท่านแม่มา ทั้งหลินเมิ้งหยาและเจียงหรูฉินต่างต้องพ่ายแพ้ให้กับนางอย่างแน่นอน

    เมื่อถึงเวลานั้น จวนอวี้ที่สวยงามโอ่อ่าแห่งนี้จะต้องตกเป็นของนาง!

    ดวงตาปกปิดความปรารถนาในหัวใจ หลินเมิ้งหวู่เลิกต่อล้อต่อเถียงกับหลินจงอวี้

    หลินเมิ้งหยาที่กลับมาถึงตำหนักทันได้ยินคำพูดสองสามประโยคของหลินเมิ้งหวู่พอดี

    เป็นไปตามคาด แต่หากคิดจะแย่งตำแหน่งพระชายาไปจากนางแล้วละก็ นางควรจะถามเจ้าของตำแหน่งก่อนว่ายินยอมหรือไม่

    “ท่านพี่กลับมาแล้ว น้องร้อนใจเหลือเกิน”

    เหลือบมองเห็นหลินเมิ้งหยา หลินเมิ้งหวู่กลับมามีท่าทางอ่อนโยนอีกครั้ง

    สวยสง่ากิริยาวาจาอ่อนโยน แตกต่างกับหญิงสาวคนเมื่อครู่ราวฟ้ากับดิน

    หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยารู้จักสันดานหยาบของหลินเมิ้งหวู่อยู่แล้ว เกรงว่านางก็อาจจะถูกหลอกเพียงเพราะได้เห็นท่าทีน่าสงสารเช่นนี้ไปแล้ว

    “มีอะไร?” หลินเมิ้งหวู่เลิกคิ้ว ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความไม่สบอารมณ์ คนมองไม่อาจคาดเดาความคิดของนางออก

    “น้องไม่มีเรื่องอันใดมารบกวนท่านพี่หรอก แต่แค่อยากจะถามว่าท่านพี่ขออนุญาตท่านอ๋องเรื่องรับท่านแม่มาที่จวนแล้วหรือยัง?”

    ทั้งที่ข่าวลือแพร่กระจายออกไปแล้ว แต่คงเพราะหลินเมิ้งหวู่ถูกเจียงหรูฉินข่มเหง ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ร้อนใจแล้วรีบมาถามหาความจริงจากหลินเมิ้งหยาแต่เช้าเช่นนี้

    “อืม ขอแล้ว ท่านอ๋องอนุญาต อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะไปรับแม่ของเจ้ามา”

    หลินเมิ้งหวู่ดีใจกระโดดโลดเต้น แม้จะยังกระวนกระวาย แต่ถึงอย่างนั้นแววตาก็เผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ

    ราวกับว่าหากแม่ของตนเองมาแล้ว ตำแหน่งพระชายาจะต้องตกเป็นของนางอย่างแน่นอน

    รีบร้อนกลับออกจากตำหนักหลิวซินของหลินเมิ้งหยา เกรงว่าคงจะรีบร้อนออกไปแจ้งข่าวแก่ซ่างกวนฉิง

    “พี่สาว ท่านคิดจะให้ฮูหยินเจ้าเล่ห์ผู้นั้นมาอยู่ที่จวนของพวกเราจริงหรือ? เกรงว่าแม่ที่สอนลูกสาวให้เจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ได้จะไม่ใช่คนดีเสียเท่าไร”

    แววตาของหลินจงอวี้เผยความกังวลเพราะกลัวว่าพี่สาวจะถูกรังแก

    “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าวางใจเถิด เอาศัตรูไว้ใกล้ตัว ดีกว่าปล่อยให้พวกนางวางแผนร้ายลับหูลับตาเรา ว่าแต่เจ้ากำลังอ่านอะไรหรือ?”

    หลินเมิ้งหยามิได้กังวลใจเลยแม้แต่น้อย จวนอวี้แห่งนี้ไม่มีทางเป็นสรวงสวรรค์ของพวกนางสองแม่ลูกอย่างแน่นอน

    “หยิบมาส่งๆ เท่านั้นขอรับ ไม่ได้ตั้งใจหยิบ”

    เวลาไม่มีอะไรทำ เขามักจะมาที่ห้องของหลินเมิ้งหยาเพื่ออ่านหนังสือ

    หนึ่งคือเพื่อฆ่าเวลา สองคือเพื่อดูแลความปลอดภัยในตำหนักให้กับพี่สาว

    “เจ้าเองก็โตแล้ว ช่วงนี้พี่ว่าง พี่จะทูลขอท่านอ๋องแล้วส่งเจ้าไปเรียนที่จวนไท่หยิ่น”

    บรรพบุรุษเมืองจิ้นให้ความสำคัญกับการผลูกฝังเลี้ยงดูลูกหลานเป็นอย่างมาก

    ไม่มีที่แห่งไหนเป็นเลิศทางด้านการศึกษาได้โรงเรียนระดับกลางแห่งจวนไท่หยิ่น

    ชื่อเสียงกว้างไกลไปทั่วเมืองหลวง อัครมหาเสนาบดีราวเจ็ดถึงแปดคนล้วนจบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้

    หากส่งเสี่ยวอวี้เข้าไปเรียนที่นี่ได้ นางจึงจะวางใจ

    “ข้า…ข้าไม่อยากไป ข้าอยากอยู่ดูแลท่านพี่”

    สายตามุ่งมั่น หลินจงอวี้ไม่เคยนึกถึงโลกใบที่ไม่มีหลินเมิ้งหยามาก่อน

    จวนแห่งนี้มีอันตรายรอบด้าน ศัตรูต่างพากันจับจ้องปองร้ายพี่สาว เขา…ไม่มีทางปล่อยพี่สาวเอาไว้คนเดียวในจวนแห่งนี้

    “เจ้านี่หนา เอาเถิด ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลัง สิ่งที่เจ้าต้องทำคือรักษาบาดแผลให้หายก่อน”

    หลินเมิ้งหยาเลิกโน้มน้าว แม้เสี่ยวอวี้จะดูเป็นคนอ่อนโยนและว่าง่าย แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนดื้อรั้นเหมือนกับนางไม่มีผิด

    ในเมื่อเขาชอบอ่านหนังสือ เช่นนั้นนางไปรวบรวมหนังสือมาให้เขาอ่านมากหน่อยก็ได้ จวนแห่งนี้หาได้ขาดแคลนกระดาษไม่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยเชิญอาจารย์ส่วนตัวมาสั่งสอนเขาก็ย่อมได้

    “พระชายา พระสนมเต๋อเฟยขอให้เข้าเฝ้าเพคะ”

    ด้านนอก เสียงของน้าจิ่นเยว่ดังขึ้น หลินเมิ้งหยากลอกตา มุมปากกระตุกยิ้มเย็นชา

    ไม่ช้าเกินรอสินะ

    “ท่านป้า ท่านจะต้องออกหน้าให้แก่หรูฉินนะเจ้าคะ สาวใช้สี่คนนั้นรับใช้ข้ามาตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก แต่พวกนายกลับมาตายไปทั้งแบบนี้ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”

    เจียงหรูฉินร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ พระสนมเต๋อเฟย ใบหน้าเรียวเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ท่าทางน่าสงสารจับใจ

    นางวิ่งกลับมาจากสวนดอกไม้และขอเข้าเฝ้าพระสนมเพื่อร้องขอให้ลงโทษหลินเมิ้งหยา

    แน่นอนว่านางย่อมใส่ไฟเข้าไปเล็กน้อย

    พระสนมเต๋อเฟยรำคาญเหลือทน แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงหลานสาว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องออกหน้าให้

    คิดไม่ถึงเลยว่าหยาเอ๋อร์จะทำการเข่นฆ่าสาวใช้ทั้งสี่เช่นนั้น

    “หยาเอ๋อร์ถวายคำนับหมู่เฟย ขอหมู่เฟยอายุยืนหมื่นปี”

    นางกลับได้เห็นลูกสะใภ้ถวายคำนับอย่างมีมารยาท

    พระสนมเต๋อเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของลูกสะใภ้ ทว่าสายตาที่จ้องมองมากลับอ่อนโยน ไม่เหมือนกับสายตาเกลียดชังของฮองเฮา

    “ไม่ต้องมากพิธี เปิ่นกงตามเจ้ามาก็เพราะต้องการถามอะไรเจ้าเล็กน้อย”

    ยังไม่ทันที่จะได้พูดสิ่งใดออกมา น้าจิ่นเยว่รีบเข้าไปกระซิบข้างหูพระสนมเต๋อเฟยสองสามประโยค

    “หรูฉิน! เจ้าไร้มารยาทถึงขั้นนี้เชียวหรือ กิริยามารยาทหรือกฎระเบียบที่พ่อเจ้าพร่ำเพียรสั่งสอนมิได้ซึมเข้าสมองของเจ้าเลยหรืออย่างไร!”

    น้ำเสียงเปลี่ยนไป แม้แต่สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

    พระสนมเต๋อเฟยที่คิดจะเค้นถามหลินเมิ้งหยากลับกลายเป็นเริ่มอบรมสั่งสอนหรูฉินแทน

    เจียงหรูฉินที่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนงงเป็นไก่ตาแตก ชะงักงันอยู่กับที่พลางจ้องมองป้าของตนเองด้วยแววตาสิ้นหวัง นางยังปรับตัวไม่ทันว่าตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่

    “ช่างเถิดเพคะหมู่เฟย หรูฉินเพียงแต่หน้ามืดตามัวไปชั่วขณะเท่านั้น ท่านอย่าได้โกรธเคืองไปเลย เดี๋ยวจะส่งผลเสียต่อสุขภาพเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยวาจาอ่อนโยนปลอบโดยพระสนมเต๋อเฟย ใบหน้าขาวนวลเนียนแฝงไว้ซึ่งความจริงใจ

    นางเดินเข้าไปยืนข้างกายพระสนมเต๋อเฟย นวดคลึงไหล่บาง ข้อมือสีขาวราวเกล็ดหิมะเผยให้เห็นรอยช้ำสีดำด่างดึงดูดสายตา

    “เจ้า…เจ้าใส่ร้ายข้า!”

    เจียงหรูฉินเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นังแพศยาคนนี้แกล้งทำรอยช้ำที่ข้อมือแล้วโยนความผิดให้กับนาง

    มือหนึ่งคว้าข้อมือของหลินเมิ้งหยา อีกมือยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่ารอยช้ำจะไม่หายไป

    “ปล่อย”

    หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเข้าหากัน แสร้งทำท่าทีเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นก็พยายามอดทนต่อเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเจียงหรูฉิน

    “จิ่นเยว่ พาหรูฉินกลับตำหนัก ปล่อยให้นางได้สำนึกผิด หากข้าไม่สั่ง ห้ามปล่อยตัวนางออกมา”

    สายตาเย็นชาจับจ้องมองทางเจียงหรูฉิน แววตาไร้ซึ่งความรักใคร่เอ็นดูเหมือนอย่างเคย

    เด็กคนนี้บังอาจนัก ยังมิทันออกเรือนก็คิดกำเริบเสิบสานเสียแล้ว

    ความคิดที่อยากให้นางเป็นชายารองของอวี้เอ๋อร์คงต้องพิจารณาใหม่อีกครั้งแล้ว

    “มานี่สิหยาเอ๋อร์ ทำให้เจ้าต้องเสียใจจนได้ เข้ามา ไปหยิบยาแก้ฟกช้ำที่ข้าใช้เป็นประจำมา”

    หากเอ่ยว่าเมื่อก่อนพระสนมเต๋อเฟยยังคงรักษาระยะห่างกับหลินเมิ้งหยาแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้นางก็รู้สึกผิดต่อลูกสะใภ้คนนี้ของนางเหลือเกิน

    จิ่นเยว่เข้ามากระซิบที่ข้างหูของนางว่าข้อมือของหลินเมิ้งหยามีรอยฟกช้ำมากมาย เมื่อลองแอบถามนาง นางกลับร้องไห้ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอันใดออกมา ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงเดาได้ทันที

    นางรู้จักนิสัยของหรูฉินดีที่สุด

    คาดว่านางนำสาวใช้ทั้งสี่เข้าไปทำร้ายหลินเมิ้งหยาอย่างแน่นอน

    ความโกรธพลันปะทุขึ้นมา พวกนางสมควรตายแล้ว เจ้านายทำผิดแต่กลับไม่รู้จักหักห้าม อีกทั้งยังสนับสนุน

    “หยาเอ๋อร์ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันทำให้หมู่เฟยต้องเป็นห่วงแล้ว น้องหรูฉินเป็นแขกของเรา หม่อมฉันเป็นพี่สะใภ้จึงต้องทนอดทน แต่หม่อมฉันไม่ดีเองที่ตามใจน้องจนเกินไป ไม่เช่นนั้นน้องคงไม่เป็นแบบนี้”

    รอยฟกช้ำที่ข้อมือของหลินเมิ้งหยาล้วนเป็นของจริง แต่มิได้เกิดจากการถูกทำร้าย

    แต่นางใช้ยาพิเศษชนิดหนึ่งที่เจ้าของร้านว่านเหย้าเก๋อนำมาส่งมอบให้ หญ้าเหนี่ยวหลงเองก็เป็นหนึ่งในบรรดายาเหล่านั้น

    ทาลงบนร่างกาย ไม่เจ็บหรือคัน แต่พลันปรากฏรอยฟกช้ำขึ้นมาในทันที นอกจากหมอผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะดูออก

    เด็กสาวที่อยู่แต่ในจวนและถูกพ่อแม่ตามอกตามใจอย่างเจียงหรูฉินจะรู้จักของเหล่านี้ได้อย่างไร?