ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 34 เยี่ยจิ่งปรากฏตัวอีกครั้ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เซียวเซิงถูกเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานจนถอยกลับไป ส่วนลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่อยู่ด้านข้างกำลังมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าตกใจ

ชายหนุ่มเอาชนะเฉาหยวนหลง แล้วยังทำให้เซียวเซิงถอยกลับไปในระยะเวลาสั้นๆ ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ เยี่ยนจ้าวเกอถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจมีใครเทียบเทียมได้

ถ้าจะบอกว่าการประลองชนะเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ เป็นแค่การประลองของจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันล่ะก็ คู่ต่อสู้ที่เผชิญหน้าในครั้งนี้เป็นถึงเซียวเซิง ผู้มีระดับวรยุทธ์สูงกว่าเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่าหนึ่งระดับ

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะเซียวเซิงใช้วิธีการประลอง ที่ควบคุมปราณจิตราของตนเองให้ลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอก็ตาม

แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุด ด้วยถูกกำหนดไว้ว่ามีโลกทัศน์ ประสบการณ์ และความเข้าใจเกี่ยวกับวรยุทธ์มากกว่าปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้น

ขณะที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้นบางคนเพิ่งเริ่มสัมผัส หรือยังไม่เคยได้สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่อัศจรรย์ แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดกลับรู้แน่ชัดทุกอย่างในใจแล้ว

ระยะห่างเหล่านี้ ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในการต่อสู้จริง

ถึงจะมีพลังเหมือนกัน ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นใช้พลังเพียงหนึ่งส่วน แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายอาจใช้พลังถึงห้าหรือหกส่วน หรือกระทั่งแปดถึงสิบส่วนก็เป็นได้

แต่การประลองเมื่อครู่นี้ ผลลัพธ์คือเยี่ยนจ้าวเกอเหนือกว่าหนึ่งขั้น บีบเค้นจนเซียวเซิงต้องกลืนคำพูดตนเอง แลกกับฉากจบที่ไม่น่าภาคภูมิใจนัก

หากเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎตัวที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสำนักเขากว่างเฉิง และประมือกับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างธรรมดา เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ คนทั่วไปอาจยอมรับได้ง่ายกว่า

ทว่าคู่ต่อสู้คือเซียวเซิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นั่นจึงมีความหมายที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เพราะอย่างไรตัวเซียวเซิงก็เคยเป็นอัจฉริยะขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอกระยะต้น ที่เคยเอาชนะปรมาจารย์จิตราชั้นนอกระดับกลางด้วยระดับวรยุทธ์ในขณะนั้น

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวเดียวที่แกะสลักมาจากไม้ มันเปราะบางมากเมื่อเปรียบเทียบกับปราณจิตราของจอมยุทธ์ แต่ภายใต้การควบคุมของเขา กลับดูราวกับคนที่มีชีวิตอยู่จริง และยังเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์แก่กล้าอีกด้วย

ต่อให้เป็นตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทำการโจมตีครั้งหนึ่งภายใต้การควบคุมการของเซียวเซิง นอกจากซือคงจิงแล้ว ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงระดับยุทธ์หลอมกายคงไม่มีใครสามารถรับไว้ได้

แต่อัจฉริยะที่เป็นคนในรุ่นเดียวกันเช่นนี้ กลับเป็นเหมือนกับเฉาหยวนหลงที่แหลกเหลวเป็นเม็ดทรายอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ทุกคนตกตะลึงได้อย่างไร?

ซือคงจิงมองดูเศษเสี้ยวของตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ตกอยู่บนพื้น แววตาสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับว่าเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ

“หญิงสาวผู้นี้ดูมีใจที่ฝักใฝ่ในการฝึกฝนวรยุทธ์วิชา” เยี่ยนจ้าวเกอมองนางครั้งหนึ่ง ยิ้มและส่ายหัวอย่างห้ามไม่ได้ “เจ้าก็บรรลุขั้นประจักษ์กายามาพักหนึ่งแล้ว จะบรรลุระดับปรมาจารย์ก็เหลืออีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น”

“เปลี่ยนลมปราณให้เป็นปราณจิตรา มีวิธีการฝึกฝนคือการทวนทิศทางของลมปราณ แล้วกลั่นลมปราณให้เป็นปราณจิตรา ผู้ใหญ่ในสำนักก็คงเคยชี้แนะเจ้าไปแล้ว”

“แต่ว่าตอนที่เจ้าทำการทวนทิศทางของลมปราณ ลองใช้จังหวะเท็จจริงเท็จจริงเท็จเท็จเท็จจริงแบบนี้ดู”

ซือคงจิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่เข้ามาทีหลังก็เงี่ยหูตั้งใจฟังเช่นกัน

ขณะนี้พวกเขารู้สึกเคารพเยี่ยนจ้าวเกอมากยิ่งกว่าผู้อาวุโสบางคนในสำนักเสียอีก

การที่ได้รับการชี้แนะในการฝึกฝนจากเยี่ยนจ้าวเกอ และยังเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ใช้บรรลุจากระดับยุทธ์หลอมกายถึงระดับปรมาจารย์ด้วยแล้ว ทุกคนจึงรักษาโอกาสไว้อย่างดี

จากจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ สำหรับคนที่ทำการฝึกฝนวรยุทธ์ทั่วทั้งโลกแปดพิภพแล้ว ต่างก็เป็นหุบเหวขวางกั้นที่ใหญ่มาก

ระดับความยากนั้นมากกว่าการบรรลุจากขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย หรือจากขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายถึงขั้นประจักษ์นภาเสียอีก

กระทั่งอาจจะยากยิ่งกว่าการบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง ถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย หรือระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นด้วยซ้ำ

แต่ในอีกด้านหนึ่ง การประสบความสำเร็จในระดับปรมาจารย์นั้น ก็เท่ากับได้พัฒนาความสามารถจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วย

ซึ่งมีรากฐานที่ต้องการที่ประสบความสำเร็จในระดับปรมาจารย์สำเร็จอย่างแรงกล้า และจำเป็นต้องฝึกปราณให้เป็นจิตรา เปลี่ยนลมปราณเป็นปราณจิตรา

ปราณจิตรามีความหนาแน่นมากกว่าลมปราณอยู่มาก หากบอกว่าลมปราณมีสถานะเป็นอากาศแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นปราณจิตราก็เป็นของเหลว การชนกันระหว่างสองปราณ เพียงปราณจิตราที่น้อยนิดก็สามารถทำลายปราณแท้ในปริมาณที่มากได้

เมื่อจอมยุทธ์ระดับหลอมกายกายปะทะกับปรมาจารย์ จึงยากที่จะโต้ตอบคืนได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่สมบูรณ์ ต่อให้มีเคล็ดลับที่ดีกว่าก็ยากที่จะนำมาใช้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วปรมาจารย์จะสามารถสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้สบาย

และในสถานการณ์ส่วนมาก จำนวนก็ยากที่จะทดแทนระยะห่างกันได้

เยี่ยนจ้าวเกอพูดชี้แนะไม่กี่คำ ซือคงจิงกลับรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันที

ในแววตาที่นางมองเยี่ยนจ้าวเกอก็มีความเคารพนับถือเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแม้แต่ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอทำให้หม่าชิวได้รับการลงโทษก็ยังไม่มีเลย

เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับคนอื่นๆ ว่า “สถานการณ์จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละคน วิธีที่เหมาะกับศิษย์น้องซือคง อาจจะไม่เหมาะกับพวกเจ้าก็ได้ ตอนนี้พวกเจ้ายังห่างจากระดับปรมาจารย์อีกไกล ไม่ต้องรีบร้อน ก้าวทีละก้าวให้ทุกย่างก้าวมั่นคงก่อนค่อยว่ากัน”

ทุกคนต่างปลื้มใจและยอมเชื่อฟัง พากันโค้งตัวคำนับเยี่ยนจ้าวเกอ “ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่ชี้แนะ พวกข้าจะตั้งใจฝึกฝนแน่นอน”

ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ และโค้งคำนับเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่การแสดงความเคารพที่เป็นเพียงพิธีเหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่เป็นความตั้งใจจริง “ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่ชี้แนะ”

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง มองไปยังคนอื่นๆ แล้วพูดว่า “คำชี้แนะของศิษย์พี่เยี่ยน ทำให้ข้ารู้มากขึ้นและจะเตรียมเข้าฌานทันที คงไปเทือกเขามฤคลับตากับพวกเจ้าไม่ได้แล้ว”

ทุกคนต่างก็เข้าใจ เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกเบื่อขึ้นมา จึงหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอจึงพูดนิ่งๆ ว่า “ครั้งนี้ข้าพาพวกเจ้าไปด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าทุกคนหวังจะให้ข้าคอยพาพวกเจ้าไปทั้งชีวิตเลยหรือ?”

“ยิ่งไปกว่านั้น ที่ที่ข้าจะไป สำหรับพวกเจ้าแล้วก็ยังถือว่าอันตรายมาก”

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็รู้สึกละอายใจ พวกเขาก็เป็นคนที่มีสติปัญญาที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างดีจากสำนักในเวลาปกติ ซึ่งไม่ขาดคุณสมบัติในการยืนหยัดและตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่แล้ว

เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมา รัศมีของเยี่ยนจ้าวเกอเจิดจ้าเกินไป ส่องสว่างจนทุกคนสับสนมึนงง ภายใต้จิตสำนึกจึงคิดว่าต่อไปนี้จะขอติดตามศิษย์พี่ผู้นี้ไปทุกที่

คนทั้งหมดจึงพูดว่า “พวกข้าเกิดใจที่หวังแต่จะพึ่งพา น่าละอายยิ่งนัก ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่เตือนสติ”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม แล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนี้พวกเราก็ลากันที่นี่แล้วกัน”

พูดจบ ก็หันหลังกลับและเดินไปยังทางไปนอกเมือง

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็กล่าวลากับซือคงจิงด้วยเช่นกัน แล้วก็ออกจากเมืองมุ่งไปเทือกเขามฤคลับตา

ตลอดทาง พวกเขามองไม่เห็นร่างเงาของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่แล้ว

เทือกเขามฤคลับตามีพื้นที่กว้างขวาง อยู่ด้านข้างของหุบเหวปราการมังกร แม้ว่าจะมีทรัพยากรที่มีค่ามาก แต่สภาพแวดล้อมก็ค่อนข้างอันตรายเช่นกัน ด้วยวรยุทธ์ของทุกคนในตอนนี้ การเคลื่อนไหวไปมาจึงยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

“พวกข้าต้องสำนึกตัวเองจริงๆ บ้างแล้ว ศิษย์พี่เยี่ยนที่พาพวกข้าไปด้วยก็เหมือนกับพาตัวถ่วงไว้ พวกเรายังได้อกได้ใจกันอีก” หญิงสาวที่อุ้มภูตแมวแสงตัวเล็กมีสีหน้าที่หมองหม่นลงเล็กน้อย

หลานเหวินเหยียนที่อยู่ข้างนางพูดขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเรายังห่างกับศิษย์พี่เยี่ยนอีกไกลก็จริง แต่พวกเราไม่ควรเศร้าโศกเพราะเรื่องนี้ การตั้งใจฝึกฝนให้มากขึ้นถึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำต่างหาก”

อีกคนหนึ่งพูดพึมพำขึ้นว่า “เจ้าคงไม่คิดจะเป็นเหมือนอย่างเยี่ยจิ่งหรอกนะ ที่รำพึงรำพันว่าสักวันจะสามารถสู้กับศิษย์พี่เยี่ยนได้?”

หลานเหวินเหยียนพูดอย่างเปิดเผยว่า “อย่างน้อยก็ต้องพยายามไม่ให้เป็นตัวถ่วงตอนที่ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่เยี่ยน ถูกต้องหรือไม่?”

ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย “อย่างที่ศิษย์พี่เยี่ยนพูด ยืนขึ้นตอนนี้ และมองไปข้างหน้า”

ท่ามกลางเทือกเขา เมื่อถึงที่หมายแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเคลื่อนไหว

หลานเหวินเหยียนเดินอยู่คนเดียวพักหนึ่ง จู่ๆ ดวงตาก็มองตรงไป และแววตาก็ตกตะลึง “ก่อนหน้าเพิ่งพูดถึงศิษย์น้องเยี่ย เยี่ยจิ่ง แล้วนี่…”

ตรงหน้าเขาไม่ไกลออกไปมีเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น

…………..