บทที่ 70 ข้ามีวิธี

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 70

ข้ามีวิธี

แล้วหมอเองก็มีอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นมา เขาก็ได้มองไปที่ จี๋เฟิงอย่างไม่พอใจ “ข้าบอกว่าไม่มีทางรักษาก็คือไม่มียังไงเล่า นอกจากนี้การที่พระชายาถูกพิษแต่ไม่ใช่พิษถึงแก่ชีวิตก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”

จี๋เฟิงไม่รู้ว่าจะโต้เถียงอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ในขณะที่เขากำลังทนไม่ไหวอยากที่จะต่อยหมอสักหมัดนั้น หลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมาและหันหน้ามาทางจี๋เฟิง “จี๋เฟิงปล่อยเขาเสีย ท่านหมอเขาพูดถูกแล้ว แต่ข้ายังพอมีหนทางอยู่”

จี๋เฟิงก็ได้ยิ้มขึ้นมา เขาลืมตัวตนที่แท้จริงขององค์หญิงไปได้อย่างไรกัน พระชายาคือท่านหมอผีที่มีชื่อเสียงโด่งดังนี่นา

“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่พระชายายังสามารถมองโลกในแง่ดีและใจกว้างปลอบใจพวกเขาอีก ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก” ท่านหมอนั้นไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหลินซีเหยียน เขาคิดว่านางแค่พูดเพื่อปลอบให้คนอื่นสบายใจเท่านั้น

หลินซีเหยียนก็ได้บิดปากของตัวเองแต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร แต่บอกให้จี๋เฟิงช่วยส่งท่านหมอกลับไป

จากนั้นนางก็ได้นอนลงบนเตียงแล้วเรียกหาชิงอวี่ ชิงอวี่ก็ได้มาอยู่ข้างตัวนางแล้วขานรับ “พระชายาเจ้าคะ ชิงอวี่อยู่ที่นี่แล้วเจ้าค่ะ”

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่นาง ถึงแม้ว่านางจะมองไม่เห็นอะไรก็ตามแต่นางก็ยังได้ยินเสียงต่างๆด้วยหูอยู่ “ชิงอวี่ ข้าจะบอกสูตรยาให้เจ้า ซึ่งมันจะช่วยระงับอาการของพิษนี้ชั่วคราวได้”

ชิงอวี่ผงกหัว “ขอพระชายาได้โปรดสั่งมา ชิงอวี่จะจำให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องถึงจำให้ขึ้นใจก็ได้ ยาพิษหวังชวนชิวฉุ่ยนั้นเป็นของที่หาได้ยากมาก จึงแทบไม่จำเป็นต้องมียาถอนพิษ” หลินซีเหยียนพูดล้อเล่น แต่ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่การที่นางถูกพิษที่หายากเช่นนี้ ถึงว่าเป็นโชคดีได้อยู่เหมือนกัน!

จากนั้นชิงอวี่ก็ได้ออกไป และหลินซีเหยียนก็ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในห้อง ในเวลานี้นางก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความกลัวที่มองไม่เห็นแล้ว

เพราะการที่ตาบอดสนิทนั้น ทำให้ประสาทสัมผัสด้านอื่นๆของหลินซีเหยียนนั้นชัดเจนขึ้นมา แค่เพียงเสียงๆเล็กๆเสียงเดียวก็ทำให้นางรู้สึกได้ว่ามีใครเข้ามาแล้ว

ในขณะที่นางตั้งใจฟังอยู่นั้น ก็พบว่าไม่มีเสียงใดๆอีกแล้ว บางทีนางนั้นอาจจะหูแว่วไปเอง หลินซีเหยียนพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วจากนั้นนางก็ได้นั่งลงและคิดที่จะหาน้ำดื่ม

จากเส้นทางที่นางจำได้ นางก็ได้เดินไปที่โต๊ะได้โดยปราศจากความเสี่ยงใดๆ แต่เพราะนางไม่รู้ว่ามีโต๊ะเล็กๆวางเอาไว้อยู่นางจึงได้สะดุดหกล้ม นางคิดว่าคงจะล้มลงเจ็บมากแน่ แต่นางกลับถูกคว้าเอาไว้โดยไม่คาดคิด มีมืออุ่นๆคู่หนึ่งมารับนางเอาไว้

“ใครกัน?” หลินซีเหยียนพูดขึ้นมา แล้วรีบพยายามคว้าคอฝ่ายตรงข้าม แต่มือของนางถูกจับเอาไว้

ฝ่ายตรงข้ามนั้นจับนางเอาไว้แน่นมากเสียจนนางไม่สามารถสลัดออกได้แม้ว่านางจะพยายามขัดขืนมาเพียงใดก็ตาม

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังจะตะโกนร้องเรียกให้คนช่วยอยู่นั้น เสียงที่เย็นชาเช่นเคยของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังขึ้นมาในหูของนาง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางจะต้องลงโทษคนที่วางยาพิษเจ้าอย่างสาสม”

เมื่อรู้ว่าเป็นคนที่นางรู้จักแล้ว หลินซีเหยียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที แล้วนางก็ได้ถามอย่างสงสัย “องค์ชายทราบแล้วเหรอว่าใครเป็นคนวางยาพิษข้า?”

“ตั๋วเงินที่หงเสวี่ยและเหลียนเซียงให้เจ้ามานั้นเคลือบยาพิษเอาไว้” เจียงหวายเย่พูดพึมพำขณะที่ประคองตัวหลินซีเหยียนเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา

หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคนอื่นที่ทำมากกว่า”

“ไม่ว่าพวกนางจะเป็นตัวการจริงหรือไม่ แต่พวกนางมีส่วนรู้เห็นทำให้เจ้าตาบอด เปิ่นหวางจะควักลูกตาพวกนางออกมา”

ในเวลานี้หลินซีเหยียนไม่เห็นว่าเจียงหวายเย่นั้นอยู่ในอารมณ์เช่นไร แต่นางพอจะรู้สึกได้ถึงความโกรธของเขาโดยผ่านทางความเย็นยะเยือกในคำพูดของเขา

“ท่านจะส่งคนไปควักลูกตาพวกนางงั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนตาเบิกกว้างออกมาด้วยความไม่เชื่อ ราวกับว่านางไม่อยากจะเชื่อว่าเจียงหวายเย่ที่ปกติจะเป็นคนไม่จริงจังอะไร จะกลายเป็นคนที่โหดร้ายเช่นนี้ไปได้

เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ดวงตาที่ว่างเปล่าของคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เขากอดนางคนนั้นด้วยอ้อมแขนของเขา และพูดออกมาอย่างกระซิบกระซาบ “ยังหรอก แต่องค์ชายได้ส่งคนไปจัดการแล้ว”

จากที่พูดออกมาแสดงว่ายังพอมีหนทางหยุดอยู่ หลินซีเหยียนก็พยายามแกะตัวเองออกมาจากอ้อมกอดที่แน่นหนาของเจียงหวายเย่แล้วกล่าว “เจียงหวายเย่รีบไปห้ามก่อนเร็วเข้า”

“พวกนางทำร้ายเจ้า ก็สมควรที่จะตายแล้ว” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ราวกับว่าไม่มีหนทางให้ประนีประนอมได้เลย

หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดอย่างปวดหัวและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เจียงหวายเย่ ข้าต้องการที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของข้าเอง”

เจียงหวายเย่ก็ได้เงียบไปสักพักหนึ่ง แล้วก็ตะโกนเรียกอันอี้ให้ออกมา

อันอี้ก็ได้ออกมาตรงหน้าของทั้งคู่ เขาทำความเคารพให้ก่อนแล้วจากนั้นก็ได้ถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา “องค์ชายเรียกข้ามาไม่ทราบว่ามีรับสั่งอันใดหรือขอรับ?”

“เจ้าไปพาหงเสวี่ยกับเหลียนเซียงมาที่ห้องโถงให้ เปิ่นหวางที” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

อันอี้ก็ได้รับคำสั่งแล้วจากเจียงหวายเย่ก็ได้หยิบหน้ากากออกมาใส่แล้วให้อันเอ้อเข็นรถเข็นเข้ามา แล้วจากนั้นเขาก็นั่งรถเข็นแล้วจูงมือหลินซีเหยียน “องค์ชายจะให้เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของเจ้าเอง”

จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ไปที่ห้องโถงใหญ่ด้วยกัน หลินซีเหยียนก็ได้กลิ่นเลือดทันทีที่นางเข้ามา ดวงตาของนางเบิกกว้างแล้วก็พูดด้วยความโมโหทันที “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง แล้วทำถึงยังต้องควักลูกตาของพวกนางอีก?”

เจียงหวายเย่นั้นอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกขัดโดยหงเสวี่ยเสียก่อน แก้มของหงเสวี่ยเป็นสีแดงแล้วยังบวมฉึ่ง แต่ดวงตาของพวกนางยังคงอยู่ดี นางมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างตาขวาง “ดังนั้นที่ดวงตาของพวกเรายังไม่ถูกควักออกก็เป็นเพราะความกรุณาของพระชายาอย่างนั้นสินะ”

น้ำเสียงของนางนั้นไม่ดีมาก ราวกับว่ามันเต็มไปด้วยด้วยความขุ่นเคืองต่อหลินซีเหยียน

“หงเสวี่ย, เหลียนเซียง, ข้าไม่คิดว่าพิษนั่นมันจะเป็นฝีมือของพวกเจ้าเลยนะ” หลินซีเหยียนก็ได้อธิบายอย่างใจเย็น

หงเสวี่ยก็ได้พูดโต้กลับ “ถ้าพระชายาไม่ต้องการให้พวกเราพบองค์ชาย ท่านก็แค่ไม่ตอบตกลงก็ได้นี่ ทำไมท่านถึงได้ปรักปรำพวกเราด้วยดวงตาของตัวเองด้วย”

เหลียนเซียงที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ก็ได้พูดอย่างอ่อนแรง “พวกเราไม่คิดที่จะทำร้ายท่านจริงๆนะ”

หลินซีเหยียนรู้สึกได้ว่าพวกนางนั้นเข้าใจผิดอย่างมาก และเกรงว่าในเวลานี้ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรพวกนางก็คงไม่ยอมรับฟังแน่ นางจึงได้สะบัดมือของนางแล้วกล่าว “พาพวกเขาไปรักษาเดี๋ยวนี้ แล้วค่อยมาสืบสวนเรื่องนี้กันทีหลัง”

เหล่าคนใช้ต่างก็มองไปที่เจียงหวายเย่ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เจียงหวายเย่ก็พ่นเสียงขึ้นจมูกออกมา แล้วพวกเขาต่างก็รีบก้มหน้าด้วยความกลัวทันที จากนั้นเสียงก็ได้ดังเข้ามาในหูของพวกเขา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อคือว่าที่พระชายาของเปิ่นหวาง คำสั่งของนางก็คือคำสั่งของเปิ่นหวาง”

คำพูดนี้ของเจียงหวายเย่ทำให้ผู้คนในตำหนักนี้เข้าใจทันทีว่าคำพูดของพระชายานั้นมีอำนาจเทียบเท่ากับคำพูดขององค์ชาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าองค์ชายนั้นเชื่อใจและตามใจว่าที่พระชายามากเพียงใด

เทียบกับหงเสวี่ยและเหลียนเซียงที่นอนอยู่ที่พื้นแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะได้โต้แย้งด้วยซ้ำ การปฏิบัติของพวกนางช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเทียบกันไม่ได้เลย!

หงเสวี่ยก็ได้กำหมัดแน่น เล็บที่ยาวของนางก็ได้จิกเข้าไปในเนื้อของนาง นางมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยความโกรธ ความกระหายเลือดของนางนั้นแผ่ออกมาอย่างชัดเจนมาก

เจียงหวายเย่เองก็สัมผัสได้ถึงแววตาที่โหดร้ายที่ออกมาจากดวงตาของนาง แต่ภัยคุกคามใดๆก็ตามที่ต้องการจะทำร้ายเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นทุกคนจะต้องตาย

หลังจากที่หงเสวี่ยกับเหลียนเซียงถูกพาตัวออกไปแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้สั่งให้ทุกคนออกไปแล้วจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มพาหลินซีเหยียนไปที่ห้องของเขา

ในตอนนั้นเองชิงอวี่เองก็ได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆนำมาให้

เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบเอายาต้มนั้นมาแล้วป้อน หลินซีเหยียนด้วยตัวเอง หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะกินด้วยตัวเองมากกว่า แต่หลังจากที่นางพยายามจะคว้าช้อนอยู่หลายหนแต่คว้ามาไม่ได้ นางก็เลยยอมแพ้ไป

หลังจากที่นางกินยาเสร็จเรียบร้อย หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวกับเจียงหวายเย่ “เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของหงเสวี่ยกับเหลียนเซียงอย่างแน่นอน”

“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจขนาดนั้น?” เจียงหวายเย่กล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา

แววตาของหลินซีเหยียนก็ได้สว่างขึ้นมาเมื่อยาที่ทานเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว แล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “ก็เพราะคงไม่มีใครที่โง่พอที่จะเคลือบยาลงบนสิ่งของที่ตัวเองจะให้หรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่ฝีมือของพวกนางแล้ว จะเป็นใครกันล่ะ?”