ตอนที่ 649-650

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 649 + 650 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 649 ครั้งนี้ถูกตบหน้าเข้าอย่างจังแล้ว…

ทราบว่าเขายังคงลึกลับเหมือนเคย หลายเดือนมานี้เคยปรากฏตัวที่อาณาจักรเฟยซิงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั้นก็คือสองเดือนที่แล้ว

ได้ยินว่าการปรากฏตัวครั้งนั้นเป็นเพราะเกิดเหตุขัดแย้งกับทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย ต่อสู้กันอย่างดุเดือดสะเทือนเลือนลั่น กล่าวกันว่าทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกันและกัน เทียนจี้เยวี่ยบาดเจ็บสาหัส จึงปิดประตูไม่รับแขกอีก

ได้ยินว่าตี้ฝูอีก็บาดเจ็บเหมือนกัน พักฟื้นอยู่ในวังค้ำนภา ไม่โผล่ออกมาเลย

วินาทีที่ได้ยินว่าเขาบาดเจ็บ กู้ซีจิ่วรู้สึกหัวใจตนหวั่นวิตกอย่างที่หาได้ยาก มีวูบหนึ่งที่นึกอยากจะไปเยี่ยมเขาสักครั้ง

เพียงแต่ขยามที่เธอกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรเปลี่ยนความคิดชั่ววูบนี้ให้กลายเป็นความจริงหรือไม่ จู่ๆ มู่เฟิงผู้คุ้มกันของตี้ฝูอีก็มาเยือน กล่าวว่าได้รับคำสั่งจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้มาเชิญอวิ๋นชิงหลัวไปด้วยกัน

ตอนที่มู่เฟิงมากู้ซีจิ่วกำลังศึกษากลยุทธ์กับเชียนหลิงอวี่และหลานไว่หูอยู่ในห้องฝึกยุทธ์ จึงไม่รู้ไม่เห็น รอจนถึงยามที่เธอได้ยินข่าวนี้ อวิ๋นชิงหลัวก็ตามผู้คุ้มกันมู่เฟิงจากไปได้หลายชั่วยามแล้ว

หลายเดือนมานี้อวิ๋นชิงหลัวฟื้นฟูได้ดีมาก วรยุทธ์ส่วนใหญ่ก็ฟื้นฟูกลับมาเก้าในสิบส่วนแล้ว ยามที่ต้องออกเดินทางกะทันหันนางก็ยังบอกลาสหายร่วมสำนักอีกหลายคนได้…

ตอนที่กู้ซีจิ่วออกมาก็พบเหล่าสหายร่วมสำนักกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างคึกคัก

หัวข้อสนทนาก็คือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปฏิบัติต่อสานุศิษย์สวรรค์แตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ ผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันช่างเหมาะสมคู่ควรกันโดยแท้

บางคนถึงกับดึงข่าวลือเรื่องชู้สาวของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับอวิ๋นชิงหลัวที่ร่ำลือกันเมื่อปีนั้นมา กล่าวท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายน่าจะชอบพอกับอวิ๋นชิงหลัว เพียงแต่เป็นเพราะมีสัญญาหมั้นหมายกับกู้ซีจิ่ว จึงไม่แสดงออกมากนัก

แต่ตอนนี้เขาไม่มีสัญญาหมั้นหมายกับกู้ซีจิ่วแล้ว ไม่แน่หนนี้เขาอาจจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อไช่ตามอวิ๋นชิงหลัว…

บ้างก็กล่าวคาดเดาไปทางที่ดี บอกว่าไม่แน่เมื่ออวิ๋นชิงหลัวกลับมาอาจจะกลายเป็นฮูหยินของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปแล้วเป็นต้น

ยามนั้นฝูงชนซุบซิบกันอย่างคึกคักเร่าร้อน กู้ซีจิ่วก็ถูกลากเข้าไปเอี่ยวอยู่หลายหนเพราะสัญญาหมั้นหมายนั้น

บ้างก็นำข่าวที่ไม่ทราบว่าไปรู้มาจาช่องทางใดบอกว่ากู้ซีจิ่วเคยทะเลาะเบาะแว้งกับอวิ๋นชิงหลัวเพราะเรื่องท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทราบมาว่าระหว่างที่ทะเลาะกันกู้ซีจิ่ว ‘พูดจาไร้ยางอาย’ กับอวิ๋นชิงหลัวที่ต่อสู้อย่างเป็นชอบธรรม…

ด้วยเหตุนี้ฝูงชนต่างก็รู้สึกว่าครั้งนี้กู้ซีจิ่วถูกตบหน้าเข้าอย่างจังแล้ว…

ช่วงนี้กู้ซีจิ่วแสดงความโดดเด่นในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากจริงๆ!

ถึงแม้จะได้สหายมาไม่น้อย แต่ก็กระตุ้นความริษยาของคนบางส่วนขึ้นมาเช่นกัน

ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่น วิหคยื่นคอย่อมถูกเล็งยิง ดังนั้นข่าวลือแง่ลบที่เกี่ยวกับเธอจึงถูกขุดขึ้นมา แถมยังมีคนบางส่วนคอยเล่าลือกันอย่างออกรส หัวเราเยาะลับหลัง

แน่นอน เนื่องจากตอนนี้เธอมีเพื่อนฝูงมากมายแล้ว คนที่นินทาเธอพวกนั้นเลยไม่กล้าแสดงออกโจ่งแจ้งนัก วาจายามที่พูดคุยกันยังคงสำรวม ค่อนข้างอ่อนโยน บางคนถึงขั้นทอดถอนใจแทนเธออยู่หลายครา…

กู้ซีจิ่วไม่สนใจข่าวซุบซิบนินทาเลย ดังนั้นจึงไม่เก็บถ้อยคำที่พูดกันลับหลังมาใส่ใจเลยสักนิด

แต่ก็ไม่ทราบว่าข่าวลือเกิดอะไรขึ้นกับข่าวลือพวกนั้น พอแพร่ไปถึงหูจองเชียนหลิงอวี่ ผลคือเจ้าเด็กนี่มีอาการหวาดหวั่นราวกับจะเหยียบถูกกับระเบิดก็มิปาน พูดจาปลอบใจเธอเป็นนัยๆ ทำให้เธอเผลอถีบเขากระเด็นไปหลายหน…

ส่วนเรื่องราวระหว่างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับอวิ๋นชิงหลัว เธอไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ขึ้นชื่อว่าข่าวลือ ย่อมสามารถกลับขาวให้เป็นดำ กลับดำให้เป็นข่าวได้ ความน่าเชื่อถือต่ำเกินไป!

เพียงแต่เธอก็ยังย้อนคิดถึงทุกสิ่งที่ตนเคยพบเห็นอยู่บ้าง ท่าทีที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัว คล้ายกับเห็นนางเป็นสหายจริงๆ…

เขาบาดเจ็บมาครึ่งเดือนแล้วยังส่งคนมาพาอวิ๋นชิงหลัวไปเยี่ยมโดยเฉพาะ ข้อนี้ประประหลาดอยู่บ้างจริงๆ

กู้ซีจิ่วเคยไปพักที่วังค้ำนภามาแล้ว ทราบว่าในนั้นไม่ขาดแคลนบ่าวหญิง ดังนั้นข้างกายตี้ฝูอีก็ไม่น่าจะขาดคนดูแล

————————————————————————————-

บทที่ 650 ซีจิ่ว ไม่ได้พบกันเสียนาน

ต่อให้เขาถูกคนซ้อมจนเป็นอัมพาฒ คนที่อยู่ข้างกายเหล่านั้นก็สามารถดูแลได้เป็นอย่างดี

เช่นนั้นเขารับตัวอวิ๋นชิงหลัวไปทำอะไร?

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกระทำการใดมักทำให้ผู้คนรู้สึกฉงนอยู่เสมอ ดังนั้นคำถามนี้จึงถูกลิขิตไว้แล้วว่ามิอาจคลี่คลายได้

แต่กู้ซีจิ่วก็ละทิ้งความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนเขาแล้ว วิถีชีวิตเธอควรเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เล่าเรียน ประลองยุทธ์ ค้นคว้ากลยุทธ์ หลอมยาบ้างเป็นครั้งคราว ดำเนินวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายเสรีเช่นนี้เหมือนครึ่งเดือนที่ผ่านมา

อวิ๋นชิงหลัวกลับมาแล้ว

นางหายไปกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็กลับมาแล้ว แถมยังถูกส่งกลับมาโดยทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วย

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนคงจะมีเวรมีกรรมกับสองคนนี้จริงๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แต่กลับประสบพบเจอกันอยู่ร่ำไป

วันที่อวิ๋นชิงหลัวกลับมาเป็นวันที่อากาศแจ่มใส วันนั้นกู้ซีจิ่วเพิ่งจะออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ ก็มองเห็นเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นบนท้องนภา

ใต้หล้านี้กู้ซีจิ่วรู้จักคนผู้เดียวที่สามารถล่องเรือกลางเวหาได้ นั่นก็คือตี้ฝูอี

ดังนั้นวินาทีที่เธอมองเห็นเรือลำนั้นฝีเท้าก็ชะงักทันที หยุดนิ่งไป

แน่นอน เรือลำนั้นปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นยิ่ง สหายร่วมสำนักคนอื่นก็หยุดฝีเท้าเช่นกัน พากันแหงนหน้ามอง

ต่อมาเรือลำนั้นก็มุ่งตรงไปที่เหนือลานกว้างผืนใหญ่ หยุดนิ่งที่ระดับความสูงหลายสิบเมตรจากพื้นดิน จากนั้นอวิ๋นชิงหลัวก็เหินลงมาจากเรือดั่งเทพธิดาจำแลง

อวิ๋นชิงหลัวงดงามนัก ทำให้วันนั้นงดงามยิ่งขึ้น

นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ยามที่ร่อนลงมาพลิ้วไหวปานโบยบินออกมาจากภาพน้ำหมึก งดงามจนทำให้คนหยุดหายใจได้

ชมชอบสิ่งสวยงามเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมองเห็นคนงานไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำอีกหลายครา ดังนั้นยามที่อวิ๋นชิงหลัวเหินลงมาจากฟ้าวันนั้นไม่ทราบว่าทำให้สายตาคนตกตะลึงไปมากน้อยเพียงใด

ตามปกติแล้วอวิ๋นชิงหลัวมักจะทะนงในรูปโฉมตน เกรงว่าแต้มชาดแล้วจะฉูดฉาดเลอะเทอะ ส่วนใหญ่จะวาดคิ้วบางๆ แต่งแต้มให้เป็นธรรมชาติ

แต่วันนั้นนางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน บนหน้าผัดสีชมพูอ่อนๆ ริมฝีปากแต้มชาดแดงระเรื่อ ขับให้ผิวนางดูขาวผุดผ่องยิ่งขึ้น ดวงตาใสกระจ่างดุจวารี

หลังจากนางร่อนถึงพื้นก็ค้อมกายคำนับไปยังทิศทางของเรือ “ขอบคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก”

เรือมิได้ร่อนสู่พื้น และไม่มีผู้ใดลงมาอีก มีเพียงเสียงใสเสนาะเสียงหนึ่งแว่วมากับสายลม “ไม่ต้องเกรงใจ”

แล้วเรือลำนั้นก็แล่นจากไป เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไปในทะเลเมฆาอันกว้างใหญ่

เดิมทีฝูงชนยังนึกว่าจะได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้น่าอัศจรรย์คนนั้น นึกไม่ถึงว่าผู้อื่นกลับไม่ลงมาเลย

เรือลำนั้นหยุดอยู่สูงเกินไป แถมบนเรือยังมีประทุนเรือผ้าลูกไม้คลุมไว้อีก นอกเหนือจากผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่ควบคุมเรือแล้ว ฝูงชนก็มองไม่เห็นแม้กระทั่งเสี้ยวมุมชุดของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย

อวิ๋นชิงหลัวยิ้มบางๆ อยู่ตลอด มิได้กล่าวอันใด เก็บงำเรื่องราวหนึ่งเดือนนี้ไว้ไม่เอื้อนเอ่ย เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาประโยคเดียว “หนึ่งเดือนมานี้..เหนื่อยเหลือเกิน…”

ดูเหมือนประโยคเดียวนี้จะสามารถขยายความหมายไปได้มากมาย และทำให้ผู้คนขบคิดสารพัดได้ง่ายดายยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากอวิ๋นชิงหลัวร่อนถึงพื้นก็ดูเหมือนแข้งขาจะไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนคาดเดากันเรื่อย

ดังนั้นทุกคนจึงสบตากันอย่างรู้อยู่แก่ใจ ผู้ที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นอย่างหนักก็คิดจะขุดคุ้ยเรื่องซุบซิบให้มากกว่านี้หน่อย จึงเลียบๆ เคียงๆ ถาม แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับไม่ยอมพูดอะไรเลย เพียงแต่แย้มยิ้มเท่านั้น

สายตาของนางเฉียบคมยิ่ง มองลอดฝูงชนที่รายล้อมอยู่ไปเห็นกู้ซีจิ่วที่กำลังเตรียมจะจากไปอยู่ไม่ไกล…

ด้วยเหตุนี้นางจึงออกมาจากฝูงชนแล้วก้าวเข้าไปหา ทักทายกู้ซีจิ่วยิ้มๆ “ซีจิ่ว ไม่ได้พบกันเสียนาน”

ถึงแม้น้ำเสียงจะแอบแหบแห้งอยู่เล็กน้อย แต่ก็แฝงความเบิกบานไว้

กู้ซีจิ่วรู้สึกเหมือนนางต้องการจะข่มตน หรือไม่ก็ต้องการจะโอ้อวดเธอ