บทที่ 651 + 652 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 651 อารมณ์ชั่ววูบคือมารร้าย! เฮ้อ
กู้ซีจิ่วคร้านจะวิเคราะห์อารมณ์นาง อีกอย่างด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับนาง ดูเหมือนจะได้มิได้อยู่ในสถานะสนิทชิดเชื้อกันปานนี้ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าให้อวิ๋นชิงหลัวเท่านั้น แล้วหันหลังจากไป
ระหว่างทางได้รับสายตามากมายบ้างก็เห็นใจบ้างก็ยิ้มเยาะ
แม้แต่หลานไว่หูที่ร่าเริงอยู่เสมอก็เงียบลงไม่น้อย เวลาที่พูดคุยกับเธอก็ระมัดระวังยิ่ง มองสีหน้าของเธอเป็นพักๆ
ส่วนเชียนหลิงอวี่เสมือนหีบเสียงที่ถูกเปิดออก พูดพร่ำอยู่ข้างกายเธอไม่หยุดปานพระถังซัมจั๋ง พูดเป็นต่อยหอย ไม่มีช่วงที่เงียบเลย
ไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินเรื่องเล่าขำขันอันใดมากจากไหน หลายวันมานี้ขอเพียงเขาอยู่ด้วย ก็จะเจื้อยแจ้วให้เธอฟังอยู่ตลอด แถมเรื่องส่วนใหญ่ที่เล่ายังเป็นเรื่องราวความรักที่พลัดพรากจากแยก พอเล่ามาถึงตอนจบก็จะสรุปความทำนองว่า ‘แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ไยต้องอาวรณ์หาบุปผาเพียงดวอกเดียว’ ทำให้กู้ซีจิ่วอับจนวาจายิ่งนัก
สุดท้ายกู้ซีจิ่วทนบทสวดของเขาไม่ไหวแล้วจริงๆ เอ่ยถามเขาตรงๆ “เจ้าคิดว่าข้าช้ำรักหรือ ดังนั้นจึงต้องการคำปลอบโยนจากเจ้าใช่หรือไม่? ข้าขอบอกเจ้าเลยนะ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ข้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นไม่ได้มีอะไรจริงๆ เจ้าอย่ามาเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกายข้าได้หรือไม่?”
ผลคือเด็กหนุ่มผู้นี้เงียบไปพักหนึ่ง ตอบอย่างระมัดระวังยิ่ง “ได้ ข้าไม่พูดแล้ว ไม่เอ่ยแล้ว ต่อไปจะไม่เอ่ยถึงอีก”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็โล่งใจแล้ว รู้สึกว่าในที่สุดก็สงบหูได้เสียที ในที่สุดเจ้าเด็กคนนี้ก็รู้แจ้งแล้ว
กลับนึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้ยินเชียนหลิงอวี่เอ่ยกำชับหลานไว่หูเข้า “ต่อไปอย่าเอ่ยถึงท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีกนะ แม้แต่ว้ายขวาก็พยายามอย่าเอ่ยถึง ต่อไปพวกเราจะใช้เลขหนึ่งเลขสองแทนสองทิศทางนี้ หนึ่งคือซ้าย สองคือขวา…”
กู้ซีจิ่วแทบกระอัก!
อันที่จริงการอกหักไม่ได้น่ากลัวเลย แต่ที่น่ากลัวก็คือการที่คนทั้งโลกคิดว่าคุณอกหัก!
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่าทีของกู้ซีจิ่วปกติดีทุกอย่าง แต่ในสายตาของผู้ที่ห่วงใยเป็นกำลังฝืนทำเป้นเข้มแข็ง
สามเดือนที่ผ่านมากลุ่มของเธอประลองกับชั้นเรียนศิษย์ใหม่ในชั้นเมฆาม่วงไปนับไม่ถ้วน ชนะมากหนแพ้น้อยครั้ง สถิติการสู้ยอดเยี่ยมนัก
แต่หลังจากมีเรื่องของอวิ๋นชิงหลัวออกมา ไม่ว่าเธอแพ้หรือชนะก็จะถูกตีความไปต่างๆ นาๆ
ยามชนะจะกล่าวว่าเธอเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นแรงต่อสู้ ตั้งใจแสดงความสามารถออกมาเป็นพิเศษ
ยามแพ้จะกล่าวว่าเธอเจ็บช้ำจนจิตฟุ้งซ่านเกินไป…
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะมีท่าทีอย่างไร ในสายตาฝูงชนก็ล้วนเป็นท่าทีของคนช้ำรักทั้งสิ้น…
….
จันทร์เสี้ยวบนนภาถูกเมฆบดบังจนแสงสลัวเลือนราง กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองจันทรา แล้วล้วงกระจกบานหนึ่งออกมาส่องใบหน้าตน ครุ่นคิดอย่างจริงจัง หน้าข้าดูเหมือนอกหักหรือไงกัน?
เธอไม่ได้รู้สึกว่าเธออกหัก มากสุดก็หดหู่นิดหน่อยเท่านั้น
ถึงอย่างไรเธอก็เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ เกือบจะได้หมั้นหมายกับเขาจริงๆ แล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ถ้าเธอบอกว่าไม่ผิดหวังเลยสักนิดก็โกหกแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากสถานะอกหักอยู่ดี
หากกล่าวว่าเมื่อก่อนเธอเคยมีความรู้สึกเล็กน้อยต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่หลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไป ความรู้สึกเล็กน้อยนั้นถูกเธอดับจนวอดไปแล้ว
เดิมทีเธอก็ไม่คิดจะแล่นมาชมจันทร์ที่นี่ แต่สองคนที่อยู่ข้างกายนั้นระมัดระวังจนเกินไปจริงๆ ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจ ดังนั้นจึงออกมารับลมสักหน่อย แล้วทบทวนตัวเองไปด้วย
ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนที่ทะเลาะกับอวิ๋นชิงหลัวยามนั้นเธอจะไม่พลั้งปากออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
อารมณ์ชั่ววูบคือมารร้าย! เฮ้อ
โขดหินที่เธอนั่งยื่นออกมาจากริมหน้าผาครึ่งหนึ่ง คล้ายชะง่อนหินริมทะเล ถึงแม้จะอันตรายแต่ทิวทัศน์ที่มองลงไปจากตรงนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ใต้หน้าผานี้มีเมฆหมอกขาวลอยละล่อง ให้อารมณ์แดนสวรรค์ยิ่งนัก
————————————————————————————-
บทที่ 652 เจ้าโผล่มาจากไหนกัน?
ยามปกติกู้ซีจิ่วก็มานั่งเล่นที่นี่อยู่บ่อยครั้ง นั่งรับลม เรียบเรียงความคิด วางแผนสำหรับอนาคต
ครั้งนี้ก็เธอก็เหมือนเช่นเคย ความกลัดกลุ้มของเธอไม่สืบเนื่องยาวนานนัก นั่งอยู่เช่นนี้สักพัก ก็ถูกลมภูเขาพัดพาให้กระจัดจายไปนานแล้ว
เธอเริ่มครุ่นคิดเรื่องการประลองในอีกสามวันให้หลัง วางแผนการอยู่ในใจ
กู่ฉานโม่กล่าวว่า ขอเพียงกลุ่มของเธอเอาชนะได้อีกตา พวกเธอทั้งสามก็สามารถเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งอย่างเป็นทางการได้
ห้องหนึ่งเป็นห้องพิเศษ หากเข้าที่นี่ได้ ประการแรกคือจะได้รับทรัพยากรที่ดีกว่า ประการที่สองคือเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง และข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อนทั้งสองคนในกลุ่มเธออยากเข้าชั้นเรียนนี้เป็นพิเศษ…
บังเอิญเหลือเกิน หัวหน้ากลุ่มที่ต้องสู้ด้วยในวันนั้นคืออวิ๋นชิงหลัว…
และสหายร่วมกลุ่มทั้งสองของนางก็เป็นยอดอัจฉริยะเช่นกัน พลังวิญญาณธาตุหลักล้วนบรรลุขั้นหกตอนกลางแล้ว รับมือได้ไม่ง่ายนัก
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ปกติแล้วสามคนนี้จะไม่ค่อยประมือกับผู้อื่น ถึงขั้นที่กู้ซีจิ่วไม่เคยเห็นลูกไม้ยามที่พวกเขาจับกลุ่มประลองเลย แต่อีกฝ่ายกลับเคยเห็นฝีมายลายมือของกลุ่มกู้ซีจิ่วนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว…
รู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งไม่พ่าย ตอนนี้อีกฝ่ายรู้ตื่นลึกหนาบางของพวกเธอแล้ว แต่เธอกลับเข้าใจอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย
ศึกครั้งนี้ไม่ง่ายแล้ว!
“กู้ซีจิ่ว…” จู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วหวิวแว่วมาจากด้านหลัง
กู้ซีจิ่วที่กำลังเหม่อลอยอยู่ ถูกเขาเรียกกะทันหันจึงสะดุ้งโหยง หันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นเยี่ยนเฉินยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังเธอ ท่าทางค่อนข้างกังวลเล็กน้อย
น้อยนักที่จะได้เห็นสีหน้ากังวลบนหน้าของคนผู้นี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกประหลาดใจ พลันเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าโผล่มาจากไหนกัน?”
ดวงตาคู่นั้นของเยี่ยนเฉินจ้องมองเธอ “ก่อนเจ้าเข้ามา” กล่าวพลางเดินเข้ามาด้วย
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเขากังวลอะไร อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าคงไม่นึกว่าข้าคิดจะกระโดดหน้าผากระมัง? ด้วยวรยุทธ์ของข้า จากความสูงระดับนี้กระโดดลงไปก้ไม่ถึงตายหรอก”
หน้าผานี้ลึกกว่าสองร้อยเมตร หากกระโดดลงไปตรงๆ กู้ซีจิ่วย่อมไม่รอด
แต่วิชาตัวเบาของเธอก็มิใช่ธรรมดา ต่อให้พลัดตกลงไป เธอก็สามารถเหยียบกิ่งไม้เลื้อยเหินทะยานขึ้นมาได้…
เยี่ยนเฉินมองเธอครู่หนึ่ง คงจะมองความไม่แยแสบนใบหน้าเธอออก จึงถอนหายใจอย่างลางอก เดินเข้ามานั่งข้างกายเธอ มองลงไปเบื้องล่างแวบหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้ผานี้จะมิใช่ผาที่ลึกที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าด้านล่างคืออะไร? เป็นน้ำพุร้อนสายหนึ่ง ซ้ำยังเป็นน้ำพุร้อนที่ร้อนพอจะต้มคนให้สุกได้ด้วย”
กู้ซีจิ่วตะลึง
เธอกะแอมไอคราหนึ่ง “ข้าคิดว่าด้วยความสามารถระดับข้าไม่มีทางกลิ้งตกลงไปแน่นอน”
เธอก็ทราบเช่นกันว่าน้ำพุร้อนด้านล่างสามารถต้มคนให้ตายได้ เมื่อก่อนก็เคยไปสำรวจมาแล้ว
เยี่ยนเฉินก็ทราบแล้วว่าเป็นตนที่ตื่นตูมไปเอง เขากระดากเล็กน้อย พลันเบี่ยงหัวข้อสนทนา “ดึกดื่นค่อนคืนเจ้าไม่หลับไม่นอนวิ่งมาทำอะไรที่นี่? จิ้งจอกน้อยหาเจ้าไม่เจอเลยร้องห่มร้องไห้ วางไปเคาะประตูข้า…”
กู้ซีจิ่วเหงื่อตก ถามอย่างอดไม่ได้ “ยามนางเคาะประตูเจ้าได้ทำให้คนอื่นตกใจหรือไม่?”
พรุ่งนี้คงไม่มีข่าวลือว่าตัวเธอกู้ซีจิ่วคิดไม่ตกจนคิดฆ่าตัวตายออกมากระมัง?!
เยี่ยนเฉินย่อมทราบว่าเธอกังวลอะไร ส่ายศีรษะพลางให้คำตอบ “ไม่มี ปกติแล้วยามที่นางคิดอะไรม่ออกหรือหวาดกลัวปฏิกิริยาแรกก็คือมาหาข้า หากข้าก็ไม่มีเช่นกัน นางถึงจะไปหาคนอื่น ข้าเดาว่าด้วยนิสัยหน้าหนาของเจ้าไม่เหมือนคนที่จะคิดสั้น ดังนั้นจึงบอกนางไปว่าเจ้าน่าจะไปหาที่สงบๆ สักแก่งศึกษาค้นคว้ากลยุทธ์ รับปากนางว่าจะรีบมาตามหาเจ้า นางถึงได้วางใจ”
กู้ซีจิ่วสวนกลับทันที ”…เจ้าน่ะสิหน้าหนา! บ้านเจ้านั่นแหละหน้าหนากันทั้งตระกูล!”