บทที่ 57 หมู่บ้านตระกูลซ่ง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงบ สองฟากด้านข้างนอกจากยอดฝีมือห้าคนแล้วยังมีอีกคนอีกแปดคน ได้แก่ผู้อาวุโสและผู้จัดการภารกิจภายในของพรรควาฬแดง ตอนนี้ทุกคนประสานสายตากัน ต่างไม่มีคนพูดคุย

สายตาที่ลู่เซิ่งแสดงออกมาก่อนหน้านี้ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าความสามารถของเขาคือการฝึกฝนกำลังภายในและกำลังภายนอกพร้อมกัน ไม่ทราบว่าถึงระดับผนึกจิตแล้วหรือไม่ แต่ต่อให้เป็นแค่ยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่ง ในสถานการณ์ที่ไม่มีความจำเป็นและไม่มีความขัดแย้งกับทุกคน ไม่มีคนยอมเอ่ยปากกล่าวโทษ

“ในเมื่อต่างไม่มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ให้น้องลู่เซิ่งรับตำแหน่งผู้จัดการภารกิจภายนอกคนที่หกของพรรควาฬแดง รับผิดชอบคนและอาณาเขตของอู๋ซานก่อนหน้า ทุกคนเห็นด้วยกระมัง” ประมุขพรรคหงหมิงจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เหมาะสมอยู่บ้างกระมัง” รองประมุขพรรคกงซุนจางหลานก้มหน้ากล่าวราบเรียบ

“มีอันใดไม่เหมาะสม” เฉินอิงมองคนผู้นี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายคิดให้กงซุนจิ้ง หลานสาวของตนรับมาช่วงต่อคนและอาณาเขตของอู๋ซาน การกล่าวโต้แย้งในตอนนี้ถือว่าปกติ

กงซุนจางหลานเป็นบุรุษวัยกลางคนใบหน้าอึมครึม สวมเสื้อคลุมสีดำ สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ

เขามองเฉินอิง ยิ้มจอมปลอม “ถึงแม้น้องลู่จะมีพลังน่าทึ่ง แต่นั่นเพียงบ่งบอกถึงพลังของเขาคนเดียว พูดถึงการจัดการขุมกำลัง นี่ไม่ใช่มีวรยุทธ์เหี้ยมหาญแล้วจะทำได้อู๋ซานแม้ตายไปแล้ว แต่ว่าคนและกิจการในอาณาเขตของเขา มอบให้คนใหม่ที่เพิ่งเข้าพรรคเช่นนี้ นี่ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นในพรรคคิดเห็นอย่างไร ยังไม่สร้างผลงาน ก็ได้รางวัลเช่นนี้ ไม่สอดคล้องกับกฎ”

“อู๋ซานตายอย่างไร ทุกคนล้วนกระจ่าง ตอนนี้คนและกิจการของเขามีคนคิดรับช่วง เรื่องที่อันตรายที่สุดกลับไม่มีคนกล้ารับ จะเอาแต่สิ่งดีๆ ไม่คิดรับความเสี่ยง โลกใบนี้ไม่มีเรื่องดีแบบนี้ รองประมุขพรรคกงซุน หลานท่านกงซุนจิ้งแม้มีพลังน่าทึ่ง สติปัญญาเองก็เป็นตัวเลือกบนๆ แต่ต้องการช่องว่างที่อู๋ซานเหลือไว้ มิสู้เรื่องนั้นก็รับไว้เป็นอย่างไร” เฉินเอิงพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ข้าไม่ได้พูดเรื่องเสี่ยวจิ้ง เพียงแค่ลุกขึ้นทวงถามความยุติธรรมให้แก่พวกผู้อาวุโสในพรรค ในฐานะรองประมุขพรรคที่ควบคุมกฎในพรรคเท่านั้น อาศัยอะไรพวกผู้อาวุโสที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในพรรคมาหลายปี ยังสู้คนใหม่ที่เพิ่งเข้าพรรคไม่ได้” กงซุนจางหลานกล่าวราบเรียบ

เฉินอิงหัวเราะเย็นชา “เช่นนั้นท่านหมายความว่าอะไร อยู่ๆ ก็แทรกขึ้นมา ต่อให้ไม่มีความตั้งใจนี้ ก็ทำให้คนคิดแบบนี้อยู่ดี”

“จะสร้างความเข้าใจผิดหรือไม่ ข้าไม่สนใจ ในฐานะรองประมุขพรรคผู้ดูแลกฎระเบียบในพรรค ข้ามีสิทธิ์ถามเรื่องที่ขัดต่อกฎทั้งหมด” กงซุนจางหลานพูดอย่างสงบ

สองคนเถียงกันไปมา ไม่มีใครยอมใคร ลู่เซิ่งกลับชมดูจนหงุดหงิดบ้างแล้ว

“เถียงกันเพื่ออะไร ใครรู้สึกไม่พอใจ ก็ลุกขึ้นมาสู้กับข้า” เขาเลียรีมฝีปาก ลุกขึ้นกล่าว

สายตาเริ่มเคลื่อนไปที่บนร่างคนสองสามคนที่แข็งแกร่งที่สุด

“เรื่องของคนในยุทธภพ กำปั้นใครแข็งแกร่งกว่าคนนั้นกล่าววาจา!” ลู่เซิ่งเริ่มเคลื่อนไหวหมัด

กงซุนจางหลานนิ่งอึ้ง ขณะที่มองลู่เซิ่ง เขาถูกดวงตาคู่นั้นจ้องจนเสียวสันหลังเล็กน้อย จึงสงบจิตใจลง

“ต่างเป็นพี่น้องในภายในพรรค ไหนเลยมาถึงก็ฆ่าฟัน นี่ถ้าหากลือกันออกไป…”

“นี่เรียกว่าสนทนาภายใน มาเถอะไม่ต้องเกรงใจ ใครไม่ยอม ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ทุกคนมาสนทนากัน” ลู่เซิ่งรู้สึกเลือดลมสูบฉีดบ้างแล้ว

ตอนนี้เขายิ่งมายิ่งชอบการต่อสู้ ครั้งที่เข่นฆ่ากับภูตผีตัวนั้นบนเรือสำราญ ทำให้เขารู้สึกถึงการดำรงอยู่อันแข็งแกร่งของตัวเองอย่างแท้จริง

เป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาเบิกบาน คึกคักฮึกเหิม บวกกับแรงกระตุ้นที่เดินบนขอบความเป็นความตาย ช่างน่าลุ่มหลงเสียจริง

“น้องลู่ เจ้าอาจเข้าใจผิดไปบ้าง ข้าไม่ได้โต้แย้งไม่ให้เจ้ารับ…” กงซุนจางหลานใบหน้าเคร่งเครียดแล้ว

“ไม่เป็นไร มาเลย มาสู้กันสักครั้ง” ลู่เซิ่งจ้องเขา ดวงตาเป็นประกายอยู่บ้าง รู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องทนทานมากแน่

“น้องลู่ ข้าว่าเจ้านี่…”

“มาเถอะๆ สู้กันสักครั้ง”

กงซุนจางหลานรู้สึกว่าเส้นเลือดที่หน้าผากเต้นตุบๆ กระแอมไอ เพลิงโทสะพวยพุ่ง แต่ตอนนี้คนจำนวนมากมองอยู่ จึงได้แต่ข่มความโกรธไว้ น้ำเสียงแฝงการคุกคาม

“การต่อสู้ของคนภายในพรรคขัดต่อกฎของพรรค ยิ่งไปกว่านั้นท่านกับข้ามีพลังต่างกันมาก ฝ่ามือเอกาลี้ลับที่ข้าฝึกรุนแรงเหลือประมาณ ถ้าลงมือไม่ตายก็บาดเจ็บ เกิดพลั้งมือทำร้ายเจ้าก็ลำบากแล้ว…”

“ทำร้ายข้าหรือ ไม่ตายก็บาดเจ็บใช่หรือไม่” สองตาลู่เซิ่งค่อยๆ มีสายเลือดกระจายออกมา แสยะยิ้มพิกล

“นี่ปะไร ลงมือมา ถ้าเอาแต่กล้าๆ กลัวๆ ไม่ใส่พลังทั้งหมด นั่นก็แค่เล่นเป็นพ่อแม่ลูก!”

เขาจ้องกงซุนจางหลานเขม็ง

“มาเถอะ สู้กันสักรอบ หากข้าตายก็ถือว่าสมควรแล้ว!”

จิตสังหารอันเข้มข้นค่อยๆ กระจายออกจากบนร่างของเขา

กงซุนจางหลานมองเขา เงียบงันไปชั่วขณะ

เขารู้สึกว่าตัวเองคล้ายประเมินระดับความโอหังของคนที่เพิ่งเข้าพรรคผู้นี้ต่ำไป อีกฝ่ายคล้ายไม่กลัวว่าคนไหนล่วงเกินได้ไม่ได้ คิดทำอะไรก็ทำเช่นนั้น ไร้ข้อกริ่งเกรง

“ดูเหมือน น้องลู่คิดจะสู้กับข้าจริงๆ แล้ว…” ดวงตาของกงซุนจางหลานในที่สุดปรากฏจิตสังหารหลายสายออกมา อยากลงมือสังหารคนใหม่ผู้นี้บ้างแล้ว

แต่เขาทราบว่าประมุขพรรคผู้เฒ่ายังอยู่ ยังมีเฉินอิงอีก ต่อให้คิดลงมือ ก็ไม่อาจทำได้ง่ายๆ

“เอาล่ะๆ” เป็นอย่างที่คาด ประมุขพรรคผู้เฒ่าส่งเสียง ยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้กำหนดเช่นนี้ ที่จางหลานพูดก็มีเหตุผล ยังไม่สร้างผลงานก็ดูแลขุมกำลังกิจการใหญ่เช่นนี้ ไม่สมควรจริงๆ กลับรับช่วงได้ก่อนส่วนหนึ่ง ถ้าจัดการเรื่องนั้นได้ ค่อยมอบที่เหลือให้

“ไม่ทราบน้องลู่จะจัดการอย่างไร”

ทันใดนั้นดวงตาหลายคู่จับจ้องที่ร่างลู่เซิ่ง ดูว่าเขาจะตอบอย่างไร

“อาณาเขตของอู๋ซานนั่นไม่ใช่มีปัญหาหรือ บอกได้หรือไม่ว่าเป็นปัญหาอะไร” ลู่เซิ่งเห็นว่าไม่ได้ต่อสู้แล้ว เลือดลมจึงสงบลงอย่างช้าๆ ถึงแม้ผิดหวังไปบ้าง แต่ก็ไม่รีบร้อน ยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนี้อยู่นี่ หากคิดต่อสู้สามารถหาคนสู้ด้วยได้ตลอดเวลา

“อู๋ซานเป็นผู้จัดการภารกิจภายนอกคนก่อน อาณาเขตขุมกำลังของเขามีแร่เหล็กที่สำคัญมากสำหรับพรรคเรา เหมืองแร่เกิดปัญหา ตอนเขาไปตรวจสอบก็ได้หายไปอย่างลึกลับ รอจนพบตัว เขาก็ตายอยู่ในป่าบริเวณหนึ่งนอกเหมืองแร่แล้ว” เฉินอิงตอบ

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ถามว่า “พลังฝึกปรือของอู๋ซานเป็นอย่างไร”

“ยอดฝีมือขอบเขตสำนึกปลอดโปร่ง แตะระดับผนึกจิตได้แล้ว ดาบบุปผาโปรยใบหลิวดั่งเทพโผล่ผีสูญ” เฉินอิงกล่าวอย่างจริงจัง “ถ้าสู้กันจริงๆ ในพรรคสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรก”

“สิบอันดับแรกหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา มองยอดฝีมือที่อยู่รอบๆ สัมผัสพลัง ปราณ จิตในสายตาได้ว่าคนไหนเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับเขา

ดูจากความรู้สึกก่อนหน้า คนที่อยู่รอบๆ มีหกคนเป็นระดับผนึกจิตที่ฝึกกำลังภายนอกและกำลังภายในพร้อมกัน สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรก บ่งบอกว่าอู๋ซานผู้นั้นเป็นหนึ่งในสี่คนที่แข็งแกร่งที่สุด ท่ามกลางคนจำนวนมากและในหมู่ขอบเขตสำนึกปลอดโปร่ง

“เป็นอย่างไร มั่นใจที่จะรับหรือไม่” กงซุนจางหลานหัวเราะเย็นชา

ลู่เซิ่งไม่พอใจบ้างแล้ว คนผู้นี้มักขัดขาเขาตลอด คล้ายไม่มีเหตุผล ตั้งแต่เริ่มถึงตอนนี้ก็เอาแต่หาเรื่องขัดขวางเขา ไม่ต้องการให้เขารับบริวาร กิจการ และขุมกำลังของอู๋ซาน อาจมีความคิดอื่น

ลู่เซิ่งเดิมเป็นคนกล้าหาญละเอียดอ่อน

เหมือนกับตอนที่อยู่ในเรือสำราญหอแดงก่อนหน้านี้ เขาดูเหมือนดื่มสุรากินทานเนื้อกับสหายสนิท ความจริงระวังตัวอยู่ตลอด ขณะกินทานอาหาร ก็พิจารณาสองคนที่กินไปก่อน ดูว่าพวกเขาทานแล้วต้องพิษหรือไม่ แล้วจึงค่อยกิน

ถ้าไม่มีการเตรียมตัวป้องกันเลย ก็ไม่มีทางพกดาบไป เวลาเที่ยวเล่นยังพกดาบ มีกี่คนที่ทำเช่นนี้

หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เจอเรือสำราญประหลาดนั่นครั้งหนึ่ง ลู่เซิ่งก็คงไม่ระวังตัว สุดท้ายพิสูจน์ความคิดของเขาได้

ส่วนครั้งนี้ เจอปัญหาที่ทำให้ยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งคนหนึ่งตายไป เขาไม่บุ่มบ่ามรับ ถามถึงพลังของอู๋ซานอย่างละเอียด

“ข้ามีความมั่นใจหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับท่าน” ในเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่หาเรื่อง ลู่เซิ่งก็ไม่เกรงใจกับเขาเช่นกัน ตอกหน้ากลับไป

กงซุนจางหลานพูดไม่ออก พลันสีหน้าดูไม่ดีอยู่บ้าง แต่ก็กลับเป็นปกติทันที เพียงยิ้มเย็นแก่ลู่เซิ่ง ภายหลังก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว

ในตำหนักใหญ่มีคนกระซิบกระซาบ พวกผู้อาวุโสจับกลุ่มคุยกัน ถึงเสียงจะเบา แต่ก็ไม่ได้เบาจนไม่ได้ยิน

โอวหยางหนิงจื่อสนทนาสองสามประโยคเบาๆ กับสตรีวัยกลางคนอีกคน ขมวดคิ้วมองไปที่ผู้เฒ่าหวัง

ผู้เฒ่าหวังเป็นผู้จัดการภารกิจภายใน ให้ความสำคัญกับลู่เซิ่งมาก ตอนนี้เห็นรองประมุขพรรคกงซุนขัดขวาง ก็หน้าแดงก่ำ คิดลุกขึ้นมาพูดหลายครั้ง ล้วนถูกสหายเฒ่าข้างกายฉุดรั้งไว้

“คนนอกคนหนึ่งใช้วิธีการสะเปะสะปะ ฝึกฝนฝ่ามือทำลายใจที่เป็นวรยุทธ์ในตระกูลของเฒ่าหวังจนแข็งแกร่งสุดขีด เห็นได้ถึงพรสวรรค์อันน่ากลัวของลู่เซิ่ง หายากจริงๆ เขาต้องส่งจดหมายผ่านนกพิราบ บอกพี่ใหญ่ของเขามาในทันที รองประมุขพรรคกงซุนนั่นนึกว่าตัวเองมีที่พึ่ง จึงไม่นำพา ไม่กลัวล่วงเกินใคร แต่ถ้าหวังหยวนซานมา เรื่องนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” โอวหยางหนิงจื่อกระซิบ

“หวังหยวนซานหรือ” สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวแบบนักพรตหญิงด้านข้างกล่าวอย่างตกใจอยู่บ้าง “เป็นหวังหยวนซานฉายาฝ่ามือกระบี่เก้าทิศใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว คนผู้นี้ไม่ธรรมดา… ถ้ามาจริงๆ ล่ะก็” โอวหยางหนิงจื่อไม่ได้พูดต่อ คาดว่านี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้จัดการภารกิจภายนอกหลายคนไม่ยอมล่วงเกินลู่เซิ่ง ด้วยนิสัยของผู้เฒ่าหวังหวังที่ปากสว่าง เกรงว่าจะโพนทนาเรื่องลู่เซิ่งไปทั่วระดับสูงในพรรคแล้ว

บนตำหนักใหญ่ตอนนี้ ลู่เซิ่งสอบถามเรื่องของอู๋ซานคร่าวๆ เข้าใจต้นสายปลายเหตุโดยสังเขปแล้ว

เรื่องนี้เรียบง่ายยิ่ง

ข้างๆ เหมืองแร่เหล็กที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของพรรค มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเกิดเรื่อง

หมู่บ้านแห่งนั้นเกิดเรื่องก็เกิดเรื่องไป แต่ว่าบนเส้นทางที่ต้องผ่านไปเหมืองแร่เหล็กต้องผ่านหมู่บ้านนั้น

หลังจากคนงานเหมืองแร่หายตัวไปบนเส้นทางที่จะไปขุดแร่ติดต่อกัน ในพรรคก็เกิดความสนใจในระดับสูง ส่งคนไปถามไถ่ตรวจสอบ ผลก็คือคนที่ไปถามไถ่ก็เกิดปรากฏการณ์หายตัวไปเช่นกัน

ในพรรคจึงกำหนดเรื่องนี้เป็นภัยมืดอย่างรวดเร็ว และให้ผู้จัดการภารกิจภายนอกรับช่วงไปจัดการ

สาเหตุที่ผู้จัดการภารกิจภายนอกเหล่านี้ยอมไปจัดการเรื่องอันตรายอย่างภัยมืด เป็นเพราะมีผลประโยชน์ตอบแทนที่ดียิ่ง

ผลประโยชน์อำนาจของผู้จัดการภารกิจภายนอก ต่อให้เป็นประมุขพรรคเองก็เทียบไม่ได้ ตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่หมุนเวียน ไม่ใช้คนใดคนหนึ่งรับหน้าที่ตลอด ผลัดเปลี่ยนทุกๆ หนึ่งปี

ผู้อาวุโสระดับสูงส่วนใหญ่ผลัดกันรับหน้าที่ผู้จัดการภารกิจภายนอก อู๋ซานในตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้ เขาเพิ่งหมุนเวียนขึ้นรับหน้าที่ ทราบถึงอันตรายภัยร้าย เพื่อความไม่ประมาท ได้พาคนไปทั้งหมดห้าคน ต่างเป็นมือดีระดับพลังปลอดโปร่ง มุ่งหน้าไปตรวจสอบเรื่องนี้

ผลคือ อู๋ซานหายสาบสูญ คนที่เขาพาไปก็หายสาบสูญเช่นกัน ภายหลังศพของเขาถูกพบในป่าเล็กๆ

………………………………………….