บทที่ 58 หมู่บ้านตระกูลซ่ง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ฟังเฉินอิงอธิบายกระบวนการคร่าวๆ เสร็จ

ลู่เซิ่งคิ้วยิ่งมายิ่งขมวด เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงคดีล้างตระกูลที่เกิดขึ้นในบ้านพี่ใหญ่สวีเต้าหรานที่เมืองเก้าประสานตอนนั้น จนถึงปัจจุบัน คดีนั้นยังไม่เจอฆาตกร

เขาหลับตาใคร่ครวญสักพัก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน

“ข้ารับเรื่องนี้ แต่ไม่รับประกันว่าจะแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ ข้าจะคืนตำแหน่งนี้ภายในหนึ่งปี”

เฉินอิงดวงตาปรากฏความจนปัญญา เรื่องของอู๋ซาน แม้แต่พวกเขารองประมุขพรรคสองคนยังไม่กล้าลงมือ เพราะไม่มีความมั่นใจ แต่ว่าเด็กน้อยผู้นี้ถึงกับกล้ารับหรือ

“ตกลงตามนี้” ประมุขพรรคหงหมิงจือหัวเราะเสียงกังวาน “ลูกโคเกิดใหม่ไม่กลัวพยัคฆ์ น้องลู่แม้ว่ารับตำแหน่งนี้ แต่ถ้าเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็รีบทิ้งโดยเร็ว พวกเราไม่อยากเสียอู๋ซานคนที่สองไป”

ลู่เซิ่งพยักหน้า

หลังสนทนากันพักหนึ่ง กิจการและขุมกำลังที่ลู่เซิ่งรับก็กำหนดได้แล้ว

มีขบวนมือดีถือดาบราวสามร้อยกว่าคน ร้านค้าหลายร้านในเมืองเลียบคีรี หมู่บ้านชาวนาสิบกว่าแห่ง ยังมีโรงผลิตน้ำมันอีกหลายแห่งนอกเมือง ที่มากที่สุดคือร้านตีเหล็กกับโรงงานช่างฝีมือ มีอย่างละสิบกว่าแห่ง เอาไว้สร้างอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือให้สมาชิกในพรรคโดยเฉพาะ

กล่าวได้ว่ากิจการในมือของอู๋ซานแม้ไม่มาก แต่มีความสำคัญยิ่งต่อพรรค นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่แม้แต่รองประมุขพรรคกงซุนจางหลานยังคิดสอดมือ

แน่นอนว่าลู่เซิ่งไม่อาจแตะต้องกิจการเหล่านี้ชั่วคราว ได้แต่โยกย้ายกำลังคนส่วนหนึ่งเพื่อไปจัดการเรื่องเหมืองแร่เหล็ก หลังจัดการเสร็จ เขาค่อยนับเป็นผู้จัดการภารกิจภายนอกที่แท้จริง

สนทนากันเรียบร้อยก็แยกย้าย เฒ่าหวังผู้จัดการภารกิจภายในมาหาลู่เซิ่ง ลากเขาขึ้นรถตัวเอง กลับเข้าเมืองเลียบคีรีด้วยกัน

บนรถ เฒ่าหวังแนะนำเรื่องเกี่ยวกับฝ่ามือทำลายใจของเขากับลู่เซิ่งอย่างเป็นทางการ

“เรื่องเหมืองแร่เหล็กยุ่งยากยิ่ง น้องลู่ต้องหาโอกาสเคลื่อนไหว อย่าได้วู่วาม นอกจากนี้เกี่ยวกับฝ่ามือทำลายใจ ข้าผู้เฒ่าคิดถามว่าฝ่ามือทำลายใจของเจ้าใช่เรียนมาจากคนที่ชื่อจางสวินในเมืองเก้าประสานหรือไม่”

ลู่เซิ่งพยักหน้า “เป็นหัวหน้ามือปราบจางสวินถ่ายทอดให้จริงๆ”

“งั้นก็ถูกต้องแล้ว จางสวินเคยเห็นหนึ่งในศิษย์ที่ข้ารับไว้ แต่เป็นเพราะตอนนั้นคุณสมบัติไม่ดี จึงไม่ได้สนใจเขา คิดไม่ถึงเขาถึงกับฝึกถึงระดับพลังปลอดโปร่งได้แล้ว…” เฒ่าหวังสะท้อนใจอยู่บ้าง “ศิษย์ที่รับตลอดชีวิตข้ามีไม่มาก น่าเสียดายคนที่ฝากความหวังไว้มากกลับไม่เอาถ่าน คนที่ไม่ได้คาดหวังโดยสิ้นเชิงถึงกับมีความสำเร็จ”

“ท่านพี่ผู้เฒ่าหวังนี่เรียกว่าไม่ตั้งใจปักหลิว หลิวให้ร่มเงา” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย

“คงใช่กระมัง” เฒ่าหวังส่ายหน้า “น้องลู่ที่ข้าตามตัวเจ้ามาเพราะคิดถามว่า เจ้าสนใจจะเรียนฝ่ามือทำลายใจดั้งเดิมของตระกูลหวังข้าหรือไม่”

“เฒ่าหวังวาจานี้หมายความว่าอะไร” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว เขารู้ว่าฝ่ามือทำลายใจดั้งเดิมเป็นวรยุทธ์ในตระกูลของอีกฝ่าย คิดจะเรียน เกรงว่าจะมีเงื่อนไขความต้องการมากมายยิ่ง ไม่มีทางง่ายปานนั้น

“พี่ใหญ่ข้ามีบุตรี ใบหน้าเพริศพริ้ง รูปร่างอ้อนแอ้น” เฒ่าหวังพอเอ่ย สีหน้าลู่เซิ่งก็พิกลทันที

“เฒ่าหวังหยุดก่อนๆ” ลู่เซิ่งโบกมือติดต่อกัน “ข้าน้อยตอนนี้ยังหนุ่ม ยังไม่เคยไตร่ตรองเรื่องใหญ่ในชีวิตแบบนี้ รอภายหลังเส้นทางบู๊มีผลสำเร็จ ค่อยไตร่ตรองก็ยังไม่สาย”

เฒ่าหวังพลันผิดหวังอยู่บ้าง มองสีหน้าลู่เซิ่ง ทราบว่าวาจานี้ไม่แปลกปลอม จึงไม่เกลี้ยกล่อมต่ออีก ถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องอู๋ซานยังไม่แก้ไข เรื่องนี้เป็นความยุ่งยากใหญ่หลวงท่ามกลางภัยมืด ถ้าไม่ระวัง น้องลู่ผู้นี้จะรอดมาหรือไม่ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน เขาเสียดาย ถ้าน้องลู่ไม่ตอบรับเรื่องนี้ พี่ใหญ่ออกหน้ายังมีโอกาส แต่ตอนนี้เขาตอบรับไปแล้ว…

ภายหลังทั้งสองคนสนทนากันเรื่องวรยุทธ์ส่วนหนึ่ง เฒ่าหวังเกิดแรงบัลดาลใจไม่น้อย ได้ประโยชน์ที่ไม่ธรรมดาเพราะลู่เซิ่ง จึงนับถือเขายิ่งขึ้น

ลู่เซิ่งก็ทราบถึงความรู้ทั่วไปในปัจจุบันของยุทธภพไม่น้อย อย่างเช่นค่ายพรรคขุมกำลังเจอสถานการณ์แบบไหนรับมืออย่างไร สิ่งใดเรื่องไหนต้องหลบเลี่ยงสลัดหลุด

กลับถึงบ้านในเมืองเลียบคีรี หลังจากลู่เซิ่งพักหายใจสักพักหนึ่ง ก็พักผ่อนตอนกลางคืน

เช้าตรู่วันที่สอง ชายฉกรรจ์ชื่อต้วนเหมิ่งอัน ขุนพลสมุนของอู๋ซาน พาคนมาหาเขาด้วยตัวเอง

ลู่เซิ่งพอเปิดประตู เห็นชายฉกรรจ์สองแถวยืนอยู่หน้าประตู ต่างเป็นบุรุษกำยำผิวคล้ำกล้ามเนื้อแน่น เอวหยาบไหล่กลม

ฟ้ายังไม่สว่าง คนทั้งสองแถวก็โค้งตัวคำนับลู่เซิ่ง

“คำนับพี่ใหญ่!”

เสียงดังสั่นสะเทือนคานห้องดังกึกๆ

ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูมองชายฉกรรจ์สวมเสื้อสีเทา รอตนด้วยอารมณ์คึกคัก ปากยังตะโกนเรียกพี่ใหญ่ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลมืด

“ภายหลังเรียกข้า… เอ่อ… ก่อนหน้าพวกเจ้าเรียกอู๋ซานว่าอะไร”

ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำไว้ผมสั้นเตียน หน้าเหี้ยมเกรียมตอบว่า “เรียนพี่ใหญ่ เรียกว่าลูกพี่อู๋”

ลู่เซิ่งหน้าเครียด จินตนาการว่าคนกลุ่มหนึ่งเห็นเขาถูกเรียกลูกพี่ลู่ ภาพนั้นดูเกินไป…

“ภายหลังเรียกข้าพี่ใหญ่หรือใต้เท้าก็พอ”

ต้วนเหมิ่งอันชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำคนนั้นเกาหัว “เช่นนั้นเรียกท่านคุณชายเถอะ ใต้เท้ามีแต่นายผู้เฒ่าขุนนางถึงเรียกแบบนี้ได้”

“ก็ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ลงไปเถอะ ระหว่างทางบอกด้วยว่าตอนนี้ข้าใช้กองกำลังในมือจากไหนได้บ้าง”

ทุกคนลงไปจากอาคารอย่างรวดเร็ว ที่ขี่ม้าก็ขี่ม้า ที่เดินก็เดิน ลู่เซิ่งกับต้วนเหมิ่งอันขึ้นรถม้า

“กองกำลังที่คุณชายเรียกใช้ได้ในตอนนี้ มีมือดีพลังปลอดโปร่งรวมถึงข้าเป็นสี่คน มือดีทั่วไปสามสิบสองคน ที่เหลือต่างเป็นพลพรรคทั่วไป หลังจากลูกพี่อู๋จากไป พวกเราเดิมทีเสียหายสาหัส กิจการส่วนใหญ่ถูกเฉือนแบ่งให้ผู้จัดการภารกิจภายในคนอื่น เหลือเหมืองแร่เหล็กกับกิจการส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องยังอยู่ ตอนนี้กำลังคนน้อย คุณชายได้โปรดให้อภัย”

“ใช้คนอาศัยอะไรเรียก คำสั่งด้วยปาก ป้ายคำสั่ง หรือว่าอย่างอื่น” ลู่เซิ่งถาม

“นี่เป็นป้ายอาญาของท่าน เทียบเท่ากับตราประทับ กลุ่มพวกเราเป็นสาขาดินดำที่หก พี่น้องสาขาดินดำขอแค่เห็นป้ายอาญาของคุณชายท่าน จะต้องฟังคำสั่ง” ต้วนเหมิ่งอันอธิบาย มอบป้ายอาญาสำริดแผ่นหนึ่งให้เขา

ลู่เซิ่งรับมาดู งานฝีมือประณีต เป็นรูปปลาตัวหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายรวงข้าวและต้นสน

ขณะต้วนเหมิ่งอันอธิบาย รถม้าค่อยๆ ออกจากเมืองเลียบคีรีภายใต้การคุ้มครองของชายฉกรรจ์ทั้งสองแถว ตั้งธงใหญ่พรรควาฬแดง มุ่งหน้าไปยังเหมืองแร่เหล็ก

ฟ้าเริ่มสาง เมฆหนา ท้องฟ้ายามเช้าตรู่อึมครึมยิ่ง

ออกจากเมืองได้ครึ่งชั่วยาม รถม้าก็แล่นบนถนนดินสีเหลืองดำ ข้างทางปรากฏหลุมหินที่ถูกทิ้งผ่านไป

หลุมหินแต่ละหลุมเหมือนกับหลุมที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิดใส่ ซ้ายขวาทอดยาว ส่วนใหญ่กว้างสิบกว่าหมี่ หลุมเล็กกว้างหลายหมี่

ลู่เซิ่งหยีตามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง สีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง

“เหตุใดที่นี่มีหลุมบ่อมากมายขนาดนี?” เขาลองสูดกลิ่นดู ในอากาศมีกลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกับกลิ่นที่ลอยมา หลังจากที่เนื้อบางชนิดเปลี่ยนสภาพ

ต้วนเหมิ่งอันเห็นหลุมบ่อที่ผ่านด้านนอก ตอบว่า

“เรียนคุณชาย ที่นี่เมื่อก่อนเป็นที่ที่เอาหินไปสร้างอาคารหินในเมือง ภายหลังไม่ทราบว่าเพราะอะไร จึงละทิ้งที่นี่ เหลือหลุมหินเล็กใหญ่ไว้มากมาย”

ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ยังห่างจากเหมืองอีกเท่าไหร่”

“ยังเหลืออีกประมาณครึ่งทาง”

“งั้นไม่ต้องรีบ ถึงแล้วเรียกข้า” ลู่เซิ่งว่า

“ขอรับ” ต้วนเหมิ่งอันเข้าใกล้หน้าต่างรถ คอยสังเกตเส้นทางด้านนอกอย่างจริงจังยิ่ง

รถม้าผ่านบริเวณหลุมหิน ไม่ทันไรก็เข้าสู่เนินหญ้าที่มีดอกไม้สีขาวขึ้นเต็ม

เทียบกับบ่อหิน เนินหญ้าที่นี่มีชีวิตชีวากว่าก่อนหน้า มีสิ่งมีชีวิตมากมาย

ขบวนรถมุ่งหน้าข้ามเนิน ถึงตอนเที่ยงวันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็บรรลุถึงเขตที่เหมืองแร่พรรควาฬแดงอยู่

พรรควาฬแดงสร้างบ้านไม้ขนาดเล็กไว้ที่นี่แถบหนึ่่งให้ผู้คุมงาน คนงานเหมือง ยังมีพวกพลพรรคที่มาขุดเหมือง ก่อนหน้านี้ที่นี่จึงกลายเป็นหมู่บ้านย่อมๆ มีชื่อว่าหมู่บ้านแร่เหล็ก

จุดหมายปลายของของขบวนรถคือมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้

เสียงล้อรถหมุน ดังอยู่ตลอดเวลา ลู่เซิ่งนั่งปรับลมหายใจมาพักหนึ่งอยู่ข้างหน้าต่าง อยู่ๆ ก็ถูกต้วนเหมิ่งอันเรียกเบาๆ

“คุณชายใกล้ถึงหมู่บ้านแร่เหล็กแล้ว”

ลู่เซิ่งลืมตา หันมองไปนอกหน้าต่าง

รถค่อยๆ ผ่านหมู่บ้านที่มีกำแพงสูงล้อมรอบแห่งหนึ่ง บนกำแพงสีขาวอมเทาของหมู่บ้านเป็นด่างดวง เก่าไปบ้าง รอบๆ ดูเหมือนไม่มีคน เงียบสงบเย็นยะเยือก

รถอ้อมผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ไป เลี้ยวไปยังทิศทางหนึ่งแล้วแล่นต่อ

ระหว่างนี้เลี้ยวลู่เซิ่งพิจารณาหมู่บ้านที่อยู่ด้านข้าง ในกำแพงสูงเงียบสงัดคล้ายไม่มีคนอาศัย

“ที่นี่เป็นหมู่บ้านตระกูลซ่ง” ตอนที่ต้วนเหมิ่งอันพูดชื่อหมู่บ้านนี้ มีสีหน้าซีดขาวโดยไม่อาจควบคุม ชายฉกรรจ์ใบหน้าดุร้าย ร่างกายสูงใหญ่กำยำเช่นเขาถึงกับแสดงสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ความขัดกันที่รุนแรงนี้ทำให้ลู่เซิ่งเห็นแล้วตราตรึง

“หมู่บ้านตระกูลซ่งนี่เอง เป็นหมู่บ้านที่เกิดเรื่องใช่หรือไม่” เขาถาม

“ใช่แล้วคุณชาย ลูกพี่อู๋ตรวจสอบเรื่องหมู่บ้านนี้ หลังเข้าไปก็หาคนไม่เจออีก ภายหลังจึงค่อยเจอที่ป่าด้านนอก…” ต้วนเหมิ่งอันก้มหน้า ไม่กล้ามองดูหมู่บ้านนอกหน้าต่าง “ครั้งนี้พี่น้องที่มาต่างเป็นคนที่เพิ่งเข้าร่วมไม่นาน ไม่ทราบเรื่องนี้ ในขบวนนี้มีแค่ข้าที่ทราบว่าหมู่บ้านแห่งนี้คือหมู่บ้านที่เคยเกิดเรื่อง ดังนั้นขอคุณชายอย่าได้พูดออกไป”

ลู่เซิ่งหยีตา พิจารณาหมู่บ้านที่ค่อยๆ ผ่านไปนอกหน้าต่าง

ไม่ทันไร รถก็อ้อมมาถึงประตูใหญ่ของหมู่บ้าน

ประตูใหญ่สีแดงเข้มที่ควรปิดสนิทตอนนี้เหมือนไม่ได้ปิดแน่น เหลือร่องแยก

ลู่เซิ่งมองดู เห็นสภาพด้านในหมู่บ้านส่วนหนึ่งจากในร่องแยก

ลานหลักแตกพัง สวนดอกไม้แห้งเหี่ยว พื้นมีใบไม้เกลื่อนกลาด กิ่งไม้แห้งโกร๋น

ในหมู่บ้านไร้ผู้คน เย็นยะเยือก

“หมู่บ้านตระกูลซ่งนี้ไม่มีใครอยู่กระมัง” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

“ก่อนหน้านี้ยังมีคน หัวหน้าหมู่บ้านสามีภรรยา บัณฑิตคนหนึ่งอยู่ที่นี่ ยังมีน้องสาวคนหนึ่งของเขาก็อยู่ที่นี่เช่นกัน หลังเกิดเรื่อง ตอนนี้ไม่ทราบแล้ว” ต้วนเหมิ่งอันลดเสียงตอบ

“ดูคล้ายไม่มีคนอยู่” ลู่เซิ่งพินิจข้างในจากร่องแยก จากนั้นรถม้าก็แล่นต่อ เขาค่อยๆ เห็นภาพลานด้านในหมู่บ้านจากมุมที่แตกต่าง

ต้นไม้หักล้ม

มีแต่หน้าต่างสีเทาขาว

โคมไฟสีขาวที่ส่ายตามลม

เสาบ้านที่มีแต่รอยขีดข่วน

ยังมี… บัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่บนสะพานหิน บัณฑิตเสื้อสีเทาที่คลุมศีรษะปล่อยผม กำลังถลึงตามองรถม้าที่กำลังวิ่งผ่าน

ลู่เซิ่งเบิกตา ด้วยสายตาของเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ใบหน้าของบัณฑิตผู้นั้นไร้อารมณ์ เส้นเลือดกระจายในสองตา หน้าซีดขาว ยืนอยู่ตรงนั้นถ้าไม่ใช่ว่าลืมตาอยู่ คงนึกว่าเป็นคนตายไปแล้ว

………………………………………….