บทที่ 48 จบสิ้นทุกอย่าง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สี่สิบแปด

จบสิ้นทุกอย่าง

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่หอบฟืนมาถึงห้องครัว ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังนั่งมองแท่นเตาอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ใบหน้าด้านข้างของเขาดูนิ่งสงบเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

หลังจากเธอเอ่ยเรียก เด็กหนุ่มก็หันมามองและรีบลุกขึ้นมารับมัดฟืนไปวางเอาไว้ด้านข้างแท่นเตา ดึงฟืนออกมาสองท่อนแล้วยัดเข้าไปในเตา จากเดิมที่ไฟหรี่ลงจนใกล้ดับ ตอนนี้ก็ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงทุกขณะ เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจะกลับมาเสียก่อนจึงรีบนำผักไปล้าง เมื่อล้างผักเสร็จ เธอก็เปิดฝาหม้อออกดูและพบว่าปลาตะเพียนสุกแล้ว หลังจากโรยต้นหอมซอยลงไปหนึ่งกำมือ ก็ยกหม้อไปไว้อีกเตา ก่อนจะนำผักมาผัด

เสวี่ยหยวนจิ้งมองหม้อใบนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปอีกด้านด้วยความเย็นชา แล้วหยิบฟืนสองท่อนยัดเข้าไปในเตา

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ตักอาหารจานสุดท้ายที่เพิ่งทำเสร็จ เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็กลับมาพอดี

ด้านนอกหิมะกำลังตกหนัก เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในเรือน ก็เขย่าเกล็ดหิมะออกจากร่าง

“หิมะตกเร็วจริงๆ ดูเหมือนว่าฤดูหนาวของปีนี้จะต้องหนาวมากแน่ๆ” ซุนซิ่งฮวาบ่น

“หนาวมากแล้วอย่างไร หลายวันมานี้พวกเราก็ดวงดีไม่ใช่น้อย เล่นไพ่ใบไม้ชนะได้กำไรมามาก เดี๋ยวข้าจะรีบเข้าเมืองไปซื้อผ้าดีๆ สักพับมาให้เจ้า ทำเสื้อบุนวมดีๆ สักตัว” เสวี่ยหย่งฝูเอ่ยพลางหัวเราะ

ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองคนก็นั่งลงที่โต๊ะในห้องโถง ก่อนสั่งเสวี่ยเจียเยว่ยกอาหารมาให้พวกเขากิน

เสวี่ยเจียเยว่ยกอาหารที่ทำเสร็จทั้งหมดไปวางบนโต๊ะ และวางตะเกียบลงตรงหน้าพวกเขา

เสวี่ยหย่งฝูมองลูกเลี้ยงด้วยแววตาเหยียดหยาม ไม่มีความละอายและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำไปเมื่อหลายวันก่อนแม้แต่น้อย แต่รู้สึกเสียดายมากกว่า หากไม่ใช่เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาขัดขวางได้ทันเวลา เขาคงได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อสดใหม่ก้อนนี้ไปแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขากับซุนซิ่งฮวา หลังจากยกอาหารมาวางไว้บนโต๊ะเสร็จ ก็เพียงก้มหน้าเดินกลับไปที่ห้องครัว

เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวา และตอนนี้อากาศหนาวมาก เธอไม่มีเสื้อบุนวม เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าเนื้อบางเท่านั้น อีกทั้งห้องครัวยังอุ่นกว่าห้องอื่นๆ ช่วงนี้เธอจึงกินข้าวอยู่ในห้องครัว

เสวี่ยหยวนจิ้งก็นั่งกินข้าวอยู่ในห้องครัวเช่นกัน แต่แตกต่างจากคนทั้งสองที่นั่งพูดคุยและกินข้าวไปด้วยอยู่ด้านนอก เสวี่ยเจียเยว่กับเด็กหนุ่มไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงกินข้าวของตนอย่างเงียบๆ เมื่อกินเสร็จแล้ว ก็นำตะเกียบกับถ้วยไปวางเอาไว้บนแท่นเตา และนั่งฟังเสียงการเคลื่อนไหวในห้องโถง

เมื่อเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวากินข้าวเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงออกไปเก็บถ้วยชามและตะเกียบเข้ามาล้าง

พวกเขากินอาหารจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือไว้ให้เสวี่ยเจียเย่วกับเสวี่ย-หยวนจิ้งแม้แต่นิดเดียว

ทว่าในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังพับแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเตรียมล้างถ้วยชามนั้น ก็ได้ยินซุนซิ่งฮวาสั่งให้เธอตักน้ำอุ่นออกไปให้พวกเขาแช่เท้า เธอไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงวางถ้วยลงแล้วตักน้ำออกไป

เมื่อกลับมาล้างถ้วยในห้องครัวต่อ เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาพูดคุยกันพร้อมนับเงินที่พวกเขาเล่นพนันมาได้อยู่ในห้องโถง

น้ำเสียงของพวกเขาดูมีความสุข ต่างพูดว่าปีนี้เป็นปีที่ดีมากปีหนึ่ง รอให้หิมะละลายในอีกสองสามวันข้างหน้า พวกเขาก็จะเข้าเมืองไปซื้อของที่จะใช้ในวันตรุษจีน

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาคงจะพาเธอไปด้วย…

เธอพลันรู้สึกหน่วงๆ ในใจ จึงเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

สีหน้าของเด็กหนุ่มยังคงราบเรียบเช่นเคย ราวกับว่ากำลังตั้งใจฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ด้านนอก

ตอนนี้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาแช่เท้าเสร็จแล้ว ถังน้ำแช่เท้าถูกวางเอาไว้ที่เดิม รอให้เสวี่ยเจียเยว่มายกออกไปเทนอกเรือน จากนั้นทั้งสองคนก็เดินพูดคุยกันเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตู

ราวกับเสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งได้สติกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่แล้วเอ่ยถาม “เจ้าล้างถ้วยเสร็จแล้วหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ถอดผ้าที่ใช้กันเปื้อนออกและสะบัดน้ำออกจากมือ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ล้างเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นทันที “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยากเรียนเขียนตัวอักษรกับข้าไม่ใช่หรือ ไปเรือนข้าตอนนี้สิ”

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจเล็กน้อย เธอเคยเปรยกับเขาตอนที่กลับมาจากในเมืองกับยายหาน ทว่าหลังจากนั้นก็เหมือนว่าเขาจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เธอจึงนึกว่าเขาลืมไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มยังคงจำได้

เสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลง ก่อนจะเดินตามเขาออกไปนอกเรือน และหันกลับไปปิดประตูบานใหญ่

ด้านนอกลมพัดแรง หิมะโปรยปรายนลงมาจากท้องฟ้า แม้แต่กลุ่มภูเขาที่อยู่ห่างไกลก็ยังดูขาวโพลน

แต่หิมะมีข้อดีเช่นกัน เพราะเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมากระทบ ก็ทำให้พอมองเห็นรอบด้านได้รางๆ

เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนำอ่างไม้ใส่หิมะเอาไว้ครึ่งหนึ่งกลับมาด้วย จากนั้นก็หักกิ่งไม้แล้วส่งให้เธอ

“กิ่งไม้นี้คือพู่กัน ส่วนหิมะนี้ก็คือกระดาษ เอาละ ข้าจะสอนวิธีเขียนตัวอักษรให้เจ้า”

แม้ว่าเขาจะมีพู่กันที่ขนใกล้หลุดร่วงออกไปหมดแล้วหนึ่งด้าม แต่ไม่มีกระดาษ และไม่มีหมึก โดยปกติแล้วแม้อยากสอนเสวี่ยเจียเยว่เขียนตัวอักษรก็ไม่มีทางทำได้ แต่วันนี้หิมะตกจึงสามารถใช้หิมะแทนกระดาษสอนเขียน

ตัวอักษรได้

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยฝึกการเขียนพู่กันมาก่อน ทว่าโชคดีที่เธอเคยดูคนเขียนพู่กันจึงพอจะรู้วิธีใช้อยู่บ้าง แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงตำหนิเธอว่าท่าถือพู่กันนั้นไม่ถูกต้อง

“กดลง ลาก ขีด ตวัด บรรจบ นิ้วหัวแม่มือใช้กด นิ้วชี้ใช้ลาก นิ้วกลางใช้ขีด นิ้วนางใช้ตวัด นิ้วก้อยใช้บรรจบตัวอักษร นิ้วมือควรมั่นคง กลางนิ้วมือปล่อยวาง ฝ่ามือควรตั้งตรง ข้อมือควรออกแรงอย่างสม่ำเสมอ พู่กันควรตั้งตรง ลองใหม่อีกครั้ง”

เสวี่ยเจียเยว่ชะงักไปทันที…

ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในหัวของเธอตอนนี้คือ การดูคนอื่นทำนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย ทว่าพอลงมือทำเองกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เมื่อก่อนเคยเห็นคนอื่นเขียนพู่กัน ยังคิดว่าไม่มีขั้นตอนมากมายขนาดนี้ และหากเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นอาจารย์ เขาจะต้องเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดมากๆ คนหนึ่ง

ภายใต้คำสั่งที่เข้มงวดของอาจารย์เสวี่ย เสวี่ยเจียเยว่จึงต้องทำใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ายังคงไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเสวี่ยหยวนจิ้ง

สุดท้ายเขาก็จับมือเสวี่ยเจียเยว่เพื่อแสดงให้เห็นว่าการจับพู่กันที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

อากาศหนาวเย็น เสื้อผ้าของทั้งสองคนก็บางมาก ดังนั้นมือของพวกเขาจึงเย็นเฉียบ เมื่อกุมมือกันและกันเช่นนี้ ก็เหมือนกับน้ำแข็งสองก้อนที่มากระทบกัน

เสวี่ยเจียเยว่อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ มือของท่านช่างเย็นจริงๆ”

ชั่วขณะนั้นก็พลันสบประสานกับดวงตาสีดำขลับของเขา เสวี่ยเจียเยว่อดตะลึงไม่ได้ ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งช่างหล่อเหลาเอาการจริงๆ เพียงแค่มองเท่านั้นยังทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์

ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “อย่าเสียสมาธิ ตั้งใจฝึก”

ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไร้เรี่ยวแรงและหมดหวัง เหมือนเธอกับเขาเป็นนายและบ่าว เธออยากคุยกับเขาเรื่องสายลม ดอกไม้ หิมะ และพระจันทร์ แต่เขากลับคุยเรื่องฟืน ข้าว น้ำมัน และเกลือ

หลังจากสอนไปได้สักพัก เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินไปเทน้ำหนึ่งถ้วยมาให้แม่นางน้อยดื่ม

เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปรับมา ก่อนจะยกถ้วยน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่

น้ำนี้คือน้ำอุ่น อีกทั้งเมื่อดื่มเข้าไปแล้วยังมีรสชาติหวานเล็กน้อย และได้กลิ่นควันที่เป็นลักษณะเฉพาะของแท่นเตาชาวนา ต่างจากน้ำที่เคยดื่ม

เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าเอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านใส่อะไรลงไปในน้ำเจ้าคะ เหตุใดถึงมีรสชาติหวานด้วยล่ะ”

ดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้งวูบไหว จากนั้นเขาก็เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าเพิ่งใส่หิมะลงไปในน้ำเมื่อครู่นี้”

“หิมะละลายไม่ได้เป็นแค่น้ำหรือ มีอะไรที่พิเศษมากกว่านี้ด้วย?” เสวี่ย-เจียเยว่หัวเราะ “มีรสชาติหวานได้ด้วยหรือ”

เด็กหนุ่มหันไปอีกด้าน ไม่นานเขาก็หันกลับมามองเสวี่ยเจียเยว่ แล้วเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง

“หิมะปีนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา หลังจากผ่านหิมะครั้งนี้ไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น”

คำพูดของเขาเหมือนมีปริศนาบางอย่างซึ่งเสวี่ยเจียเยว่ฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าหลังจากหิมะหยุดตก ชีวิตของเธอจะต้องขมขื่น

ความสนใจในการฝึกเขียนตัวอักษรของเธอค่อยๆ ลดน้อยลง หลังจากพูดคุยไม่กี่ประโยค จู่ๆ เธอก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานความง่วงได้ และหลับไปโดยพิงร่างของเสวี่ยหยวนจิ้ง

เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้ามองก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว คิ้วของเสวี่ย-เจียเยว่ขมวดเป็นปม ราวกับว่ามีเรื่องกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย

เด็กหนุ่มอดยกมือขึ้นลูบตรงหว่างคิ้วของแม่นางน้อยมิได้ อยากจะลูบให้คิ้วนั้นคลายออก จากนั้นก็อุ้มร่างบอบบางขึ้นไปนอนบนเตียงของตนอย่างเบามือ และห่มผ้าให้เบาๆ

เขายืนมองใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่อยู่ข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงหยิบตะกร้าหวายที่อยู่ใต้เตียง

ตะกร้าใบนี้ไม่หนักเท่าไร เขาเหลือบมองฝาที่ปิดแน่นอยู่บนตะกร้าหวายด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ยามนี้เขานึกถึงมารดากับน้องสาวขึ้นมา เขาไม่ได้ปกป้องพวกนางแม้แต่คนเดียว เฝ้ามองมารดาตายไป และต้องเห็นน้องสาวถูกขาย ตอนนี้เสวี่ย-เจียเยว่คือคนที่เขาอยากปกป้อง เขาไม่มีทางยอมให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาขายแม่นางน้อยออกไปเด็ดขาด ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องซ้ำรอยเดิมกับน้องสาวของเขาอย่างแน่นอน

เด็กหนุ่มตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ยกตะกร้าหวายด้วยสองมือ ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกไป

ลมและหิมะโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง กิ่งไม้ไหวเอนไปมาจนเกิดเสียงดังหวีดหวิว และหญ้าบางส่วนที่ใช้มุงหลังคาถูกลมพัดลอยขึ้นไปบนอากาศ

เสวี่ยหยวนจิ้งเดินผ่านลานเงียบๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในเรือนหลัก

ประตูห้องนอนของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาปิดสนิท ทั้งด้านในยังใช้กลอนไม้ขัดเอาไว้ แต่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเสวี่ยหยวนจิ้งเลย

เขาไม่ได้ใช้วรยุทธ์ทำให้กลอนประตูหักโดยตรง แต่ใช้แรงกระแทกประตูเข้าไป ทำเช่นนี้หลายครั้งติดต่อกัน ในที่สุดกลอนไม้ก็หัก แล้วประตูก็เปิดออก

ไม่มีแสงไฟในห้องแม้แต่น้อย มีเพียงแสงจันทร์สะท้อนหิมะรางๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา พอให้แยกแยะสิ่งของต่างๆ ในห้องได้

เสวี่ยหยวนจิ้งมองภายในห้องครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นจัดเสื้อ ก่อนจะหิ้วตะกร้าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย… เดินตรงไปที่เตียงนอนหลังนั้น

เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวากำลังนอนกรนอยู่บนเตียง พวกเขาไม่ตกใจตื่น ทั้งที่เมื่อครู่เสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งบุกรุกเข้ามา

เด็กหนุ่มหรี่ตามองพวกเขาด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก

ทันใดนั้นภาพมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา มีภาพที่พวกเขาสามคนแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข และภาพเสวี่ยหย่งฝูดื่มสุราจนเมาแล้วตบตีเขากับน้องสาว นางเจ็บจนร้องไห้ มารดาเขาก็โผเข้ามาเกลี้ยกล่อม ทว่ากลับถูกบิดาเขาถีบจนกระเด็นออกไป ทั้งยังมีภาพของเสวี่ยหย่งฝูกดร่างเสวี่ย-เจียเยว่เอาไว้ ฉีกเสื้อของแม่นางน้อยอย่างป่าเถื่อน

ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาแกะหญ้าที่ใช้มัดฝาตะกร้าหวายออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดฝาตะกร้าออก เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วเทสิ่งที่อยู่ในตะกร้าทั้งหมดลงไป ก่อนจะคลุมผ้าห่มลงบนร่างของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเหมือนเดิม ครู่หนึ่งจึงหยิบตะกร้ากับหญ้าขึ้นมาและหมุนตัวเดินจากไป

เด็กหนุ่มปิดประตูห้อง ก่อนจะเดินออกจากเรือน และเงยหน้ามองเกล็ดหิมะท่ามกลางความมืดมิดด้วยหัวใจที่นิ่งสงบ

ทุกอย่างจบลงแล้ว หลังจากผ่านหิมะครั้งนี้ไป ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง