บทที่ 49 การตายของแม่เลี้ยงและพ่อเลี้ยง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สี่สิบเก้า

การตายของแม่เลี้ยงและพ่อเลี้ยง

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็พบว่าเธอไม่ได้นอนอยู่บนเตียงของตน แต่กลับเป็นเตียงของเสวี่ยหยวนจิ้ง

หลายวันก่อนตอนที่ยายเฉียนมาที่นี่ แม้ว่าเธอจะนอนบนเตียงของเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ทั้งยังมีผ้าห่มปูเอาไว้ แตกต่างจากตอนนี้ เธอนอนทั้งคืนไม่พอ ยังมีผ้าห่มของเขาคลุมตัวอีกด้วย

เธอลุกขึ้นนั่งทันที ก่อนจะพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนอนอยู่ที่พื้น

ในเรือนเก็บฟืนมีฟางอยู่เป็นจำนวนมาก เขาจึงนำฟางมาปูเอาไว้บนพื้น มีเสื้อหลายตัวคลุมร่างแทนผ้าห่ม กระนั้นเขาก็นอนขดตัว ดูท่าคงจะหนาวไม่น้อย

เมื่อคืนหิมะตกหนักจริงๆ

เสวี่ยเจียเยว่อดรู้สึกเป็นกังวลมิได้ เธอรีบกระโดดลงจากเตียงทันที ก่อนจะหอบผ้าห่มไปคลุมกายเสวี่ยหยวนจิ้ง

เด็กหนุ่มไม่ได้หลับลึกนัก แม้เสวี่ยเจียเยว่จะคิดว่าตนห่มผ้าให้เขาอย่างเบามือ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับรู้สึกตัวทันที อีกทั้งตอนที่เขาลืมตาขึ้นมานั้น แววตาก็ดูเย็นชายิ่งกว่าหิมะนอกเรือนเสียอีก

เมื่อเห็นว่าเป็นเสวี่ยเจียเยว่ ความเย็นชาในแววตาของเขาก็จางหายไปในทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “เจ้าตื่นแล้วหรือ”

หลังจากลุกขึ้นนั่งแล้ว เขาก็เอ่ยต่อ “เมื่อคืนเจ้าคุยกับข้าอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มาหลับพิงข้า ข้าเห็นเจ้าหลับลึก อีกทั้งหิมะด้านนอกก็ตกหนัก จึงไม่ได้ปลุกเจ้า ไม่ได้อุ้มเจ้ากลับห้อง และปล่อยให้เจ้าอยู่ที่เรือนของข้า เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเมื่อคืนตนหลับสบายเป็นอย่างมาก ไม่แม้กระทั่งฝัน พอตื่นมาก็เช้าเสียแล้ว

“ถึงอย่างนั้น ท่านพี่ก็ไม่ควรนอนบนพื้น เมื่อคืนหิมะตกหนักขนาดนั้น ท่านนอนบนพื้นจะหนาวขนาดไหน หากไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร” เธอบ่น

ขณะที่พูดเธอก็เอื้อมมือไปจับมือเขาด้วย มือเด็กหนุ่มเย็นเฉียบจริงๆ

เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมืออีกข้างออกมา ก่อนจะนำมือของเสวี่ยหยวนจิ้งมาประกบไว้กับมือของตน และใช้อีกมือถูหลังมือเขาเบาๆ พร้อมกับก้มหน้าลงเป่าเพื่อให้สองมือของเขาอุ่นขึ้นเร็วๆ

มือของเธออบอุ่น ลมหายใจก็อุ่น ยิ่งไปกว่านั้น แม้ฝ่ามือจะเล็กกว่าเขา แต่ก็ยังพยายามกุมมือเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุด

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจเขาอบอุ่นขึ้นมา และรู้สึกถึงความอ่อนโยนด้วย

เมื่อปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่ถูหลังมือเขาเช่นนี้อยู่ครู่ใหญ่ เขาถึงได้เอ่ยเตือนขึ้น “เช้าแล้ว เจ้าควรไปทำอาหารเช้า”

เสวี่ยเจียเยว่อุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปมองด้านนอกผ่านหน้าต่าง จึงเห็นว่าท้องฟ้าสว่างแล้วจริงๆ

ขณะที่เธอรีบลุกขึ้นและกำลังจะออกไปนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งกลับจับมือเธอเอาไว้

“รอข้าก่อน ข้าจะไปกับเจ้า”

หลังจากนำฟางที่ปูอยู่บนพื้นกลับไปไว้ที่เดิมแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็พับผ้าห่มแล้วนำไปวางไว้บนเตียงให้เรียบร้อย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาก็เดินออกไปพร้อมเสวี่ยเจียเยว่

เมื่อคืน… ตอนที่พวกเขาออกมาจากเรือนหลัก เสวี่ยเจียเยว่ได้ปิดประตูเรือนเอาไว้ และตอนนี้เธอกังวลว่าเสวี่ยหย่งฝูหรือซุนซิ่งฮวาอาจจะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วลงกลอนด้านใน ทำให้เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปในเรือนไม่ได้ ทว่าสามารถเปิดประตูได้อย่างง่ายดาย

เสวี่ยเจียเยว่มองไปยังประตูห้องนอนของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา เมื่อเห็นว่ายังปิดอยู่ ก็คิดว่าพวกเขาคงยังไม่ตื่น เธอถึงได้วางใจและย่องเข้าไปในห้องครัว

เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองประตูห้องนอนของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา เมื่อเห็นว่ายังคงปิดอยู่ และไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ เขาจึงถอนสายตากลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะเดินตามเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในห้องครัว

เสวี่ยเจียเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมของทำอาหารเช้า เด็กหนุ่มจึงเข้าไปช่วยจุดไฟในเตา

ระหว่างทำอาหารก็ต้มน้ำในหม้ออีกใบ พอน้ำเดือดทั้งสองคนผลัดกันตักไปผสมกับน้ำเย็นให้อุ่นแล้วใช้ล้างหน้าล้างตา จากนั้นเมื่ออาหารทุกอย่างเสร็จสรรพ กลับไม่เห็นเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาออกมาจากห้อง

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทีท่าว่าจะไปปลุกพวกเขา เพราะซุนซิ่งฮวาจะโมโหที่ถูกปลุก เมื่อลุกขึ้นมานางก็จะด่าเธอทันที

แต่วันนี้หนาวยิ่งนัก อาหารที่เพิ่งทำเสร็จจะเย็นชืดได้ง่ายมาก เธอจึงคิดจะนำมาใส่ลงในหม้ออีกครั้ง ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งห้ามเอาไว้

“วันนี้หิมะตกหนัก อากาศก็หนาวกว่าทุกวัน ไม่รู้พวกเขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นหากรอต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ พวกเราจะหิวเอาได้”

หากรอจนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา เกรงว่าเขากับเสวี่ยเจียเยว่คงไม่มีเวลากินข้าวทั้งวัน แน่นอนว่าต้องรีบกินเสียตั้งแต่ตอนนี้

เสวี่ยเจียเยว่ลังเลเล็กน้อยในตอนแรก เพราะกลัวว่าหากซุนซิ่งฮวาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอาหารน้อยลง ก็จะด่าเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งเอาได้ ทว่าเมื่อไตร่ตรองแล้วก็คิดว่าคำพูดของเด็กหนุ่มมีเหตุผลไม่น้อย อีกอย่าง… วันนี้เธอทำข้าวต้ม ถ้าตอนนี้เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งตักกินก่อนคนละถ้วย ซุนซิ่งฮวาก็คงไม่มีทางรู้ คิดได้ดังนั้น เธอก็หยิบถ้วยออกมาจากตู้ถ้วยชาม

เสวี่ยเจียเยว่ตักข้าวต้มที่เข้มข้นเป็นพิเศษส่งให้เสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นก็ส่งตะเกียบให้เขาพลางบอก “ท่านพี่ รีบกินเจ้าค่ะ”

จากนั้นเธอตักข้าวต้มให้ตัวเอง ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน

เพราะกังวลว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจะตื่นขึ้นมา แล้วเห็นว่าเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังกินข้าวพอดี จากนั้นก็ต้องด่าพวกเขาเป็นการใหญ่อย่างแน่นอน เสวี่ยเจียเยว่จึงกินข้าวอย่างรวดเร็ว

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้หิมะตกหนัก พวกเขาไม่มีทางตื่นเช้าอย่างแน่นอน เจ้าค่อยๆ กินเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน ระวังลวกปาก”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับ ก่อนจะกินข้าวช้าลง

เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งอยากให้เสวี่ยเจียเยว่กินอีกถ้วย ทว่ากลัวอีกฝ่ายจะเกิดความสงสัยเอาได้ เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพียงมองแม่นางน้อยเก็บตะเกียบกับถ้วยที่ล้างเสร็จแล้วเข้าไปในตู้ถ้วยชาม เขาไม่ได้เดินออกไปข้างนอก แต่นั่งอ่านตำราและพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่อยู่ในห้องครัว

ท้องฟ้าด้านนอกสว่างมากขึ้นทุกขณะ คาดว่าตอนนี้คงจะถึงยามไกเจิ้ง[32]แล้ว ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาออกมาจากห้องเสียที

สำหรับชาวนา เมื่อถึงยามไกเจิ้งก็ถือว่าสายมากแล้ว หากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม คนที่กินข้าวเช้าช้าก็ต้องเตรียมตัวกินข้าวกลางวัน ทว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายังไม่ตื่นขึ้นมากินข้าวเช้า

เสวี่ยเจียเยว่อดแปลกใจไม่ได้ จึงเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ เหตุใดพวกเขาสองคนถึงยังไม่ตื่นอีกเล่า ไปปลุกพวกเขาดีหรือไม่”

จากนั้นเธอก็เห็นเด็กหนุ่มปิดตำราในมือแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้ารออยู่ในครัว อย่าออกมา ข้าจะไปปลุกพวกเขาเอง”

หลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็ให้เสวี่ยเจียเยว่หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บิดาของเขาเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอคิดว่าตอนนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น จึงพยักหน้าไม่สงสัยอันใด ก่อนจะนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใกล้แท่นเตาโดยไม่ขยับเขยื้อน

ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินอย่างมั่นคง จากนั้นก็เป็นเสียงเคาะประตู ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงเคาะดังขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็นเสียงกระแทก

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องครัว และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก้าวเข้าไปในห้องของซุนซิ่งฮวา

ไม่นานเขาก็ถอยหลังออกมา และเอื้อมมือปิดประตูห้องให้สนิท

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นสีหน้าของเขาเคร่งขรึม หัวใจของเธอก็เต้นแรงทันที ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ยังคงเคร่งขรึมเช่นเดิมโดยไม่พูดอะไร

ครู่หนึ่งเขาก็เอื้อมมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยขึ้น “ข้าจะบอกเจ้า แต่เจ้าห้ามกลัว”

เสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยแววตางุนงง หัวใจเธอยิ่งเต้นรัว

เสวี่ยหยวนจิ้งพูดออกมาช้าๆ “เมื่อครู่นี้ข้าเห็น… แม่ของเจ้ากับพ่อของข้าตายแล้ว”

ตายแล้ว? เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตายแล้ว? ในตอนแรกเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ เธอคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังโกหก

ไม่ใช่คนชั่วทั้งหมดจะมีอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปีหรอกหรือ คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจะตายในเวลานี้ เธอเองก็ไม่ได้เห็นกับตา

แต่แล้วหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

หากเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตาย ก็หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครบังคับเธอให้เป็นภรรยาของชายพิการอะไรนั่นอีกใช่หรือไม่ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะขายเธอออกไปเป็นสาวใช้ หรือขายให้หอนางโลม ต่อไปก็จะไม่มีใครทุบตีและด่าเธอแล้ว? ในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ ต่อไปหากเธออยากไปที่ไหนก็สามารถไปได้อย่างนั้นหรือ

ราวกับว่าการตายของพวกเขาจะทำให้ปัญหาและความลำบากทั้งหมดที่เธอต้องเผชิญหายไปในชั่วพริบตา

“พวกเขาตายแล้วหรือ” เสวี่ยเจียเยว่พึมพำ สีหน้าของเธอค่อยๆ เปลี่ยนจากตกใจและไม่อยากจะเชื่อ เป็นความตื่นเต้นและดีใจแทบบ้าคลั่งแทน

ในที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะเก็บอารมณ์ของตัวเองเช่นไร

เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะสั่ง “เจ้าออกไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน และบอกเขาว่าแม่เจ้ากับพ่อข้าตายแล้ว ให้เขารีบพาคนมาตรวจสอบ”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับ ขณะจะหมุนตัวก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นอีก

“จำไว้ คนที่ตายคือแม่ของเจ้ากับพ่อของข้า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเจ้าต้องร้องไห้ และต้องหวาดกลัว”

เสวี่ยเจียเยว่รับคำ ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไปด้านนอก

หิมะเบากว่าเมื่อวานมาก แต่ก็ยังคงหนาวมากเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้น หิมะยังทับถมหนากว่าครึ่งคืบเห็นจะได้ เวลาเดินจึงไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ตอนเสวี่ยเจียเยว่เดินนั้นเท้าข้างหนึ่งของเธอจมลึกและอีกข้างจะตื้นกว่า

ความตื่นเต้นในใจของเธอค่อยๆ สงบลงเมื่อลมหนาวพัดโชยมา และเวลานี้เธอก็อดสงสัยไม่ได้

เมื่อคืนพวกเขายังพูดคุยหัวเราะกัน เหตุใดจู่ๆ ถึงตายได้ในชั่วข้ามคืน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาตายได้อย่างไร และตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งออกมาเหตุใดถึงต้องปิดประตู เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้เธอเข้าไปในห้อง ทำไมเขาถึงไม่อยากให้เธอเข้าไป หรือว่าสภาพศพของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาน่ากลัวเกินไป เขาถึงไม่อยากให้เธอเห็น

เสวี่ยเจียเยว่ยิ่งสงสัยมากขึ้น กระนั้นเธอยังคงเดินต่อไปไม่หยุด โดยมุ่งหน้าไปทางเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน

เวลานี้หัวหน้าหมู่บ้านกำลังยกหม้อดินขนาดเล็กใบหนึ่งอยู่ข้างเตาไฟ เสวี่ยเจียเยว่เดินตรงเข้าไปหาเขาทันทีโดยไม่สนใจสิ่งใด

เมื่อนึกถึงคำสั่งของเสวี่ยหยวนจิ้งก่อนจะออกมาจากเรือน เสวี่ยเจียเยว่ก็รีบแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งร้องห่มร้องไห้พลางเอ่ย

“ท่าน… หัวหน้าหมู่บ้าน แย่แล้วเจ้าค่ะ! พ่อข้ากับแม่ของข้า พวกเขา… พวกเขาตายแล้วเจ้าค่ะ!”

การตายของคนในครอบครัวหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตกใจ

“พ่อกับแม่ของเจ้าตายได้อย่างไร!”