บทที่ 50 สอบสวนสาเหตุการตาย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ห้าสิบ

สอบสวนสาเหตุการตาย

เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านพาชาวบ้านสองสามคนรีบเร่งมาถึงเรือน ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยืนอยู่ใต้ชายคา

พอเห็นหัวหน้าหมู่บ้าน เสวี่ยหยวนจิ้งก็รีบไปต้อนรับ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน”

หัวหน้าหมู่บ้านหยุดชะงัก สายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มแล้วเอ่ย “น้องสาวเจ้าบอกว่าพ่อกับแม่ของเจ้าตาย แต่ข้าถามนางว่าพวกเขาตายอย่างไร นางก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ร้องไห้บอกว่าหวาดกลัวเท่านั้น เจ้าเป็นพี่ชาย โตกว่านาง เจ้าบอกข้ามา ทำไมอยู่ดีๆ พ่อกับแม่เจ้าถึงตายได้เล่า เมื่อคืนพวกเขายังไปเล่นไพ่ใบไม้ที่โรงบ่อนหน้าหมู่บ้านอยู่เลยไม่ใช่หรือ เหตุใดเพียงแค่ข้ามคืนพวกเขาก็จากไปเสียแล้ว”

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ” เสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นเครือ สีหน้าท่าทางดูตื่นตระหนก “ตอนเช้าตรู่ข้ากับเอ้อร์ยาลุกมาทำอาหาร พอทำเสร็จก็ยังไม่เห็นท่านพ่อท่านแม่ตื่นเสียที ข้ากับน้องสาวคิดว่าพวกเขาชอบนอนตื่นสาย อีกอย่าง… วันนี้หิมะตก เกรงว่าพวกเขาจะยิ่งไม่อยากตื่นขึ้นมา เลยไม่ไปปลุกออกมากินข้าว แต่พอถึงยามไกเจิ้ง ก็ยังไม่เห็นพวกเขาตื่นเสียที ข้าจึงเดินไปเรียกที่หน้าประตู ทว่าเรียกอยู่นานด้านในก็ไม่มีเสียงตอบรับอันใด ข้าร้อนใจยิ่งนัก พอผลักประตูจึงรู้ว่ามันถูกลงกลอนจากด้านใน แต่ตอนนั้นข้าไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น พยายามกระแทกประตูสุดแรง พอประตูเปิดออก ข้าก็เห็นพวกเขานอนอยู่บนเตียง และพวกเขา…”

“เจ้าเห็นอะไร” หัวหน้าหมู่บ้านรีบเอ่ยถามขึ้นมาทันที “พวกเขาสองคนตายได้อย่างไร”

สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งในยามนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และราวกับว่าเขาอดกลั้นเอาไว้ แต่ระหว่างตอบคำถามของหัวหน้าหมู่บ้าน ก็พยายามตั้งสติเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก

“ข้า… ข้าเห็นจมูก ปาก ตาทั้งสองข้าง หูทั้งสองข้างของพวกเขามีเลือดไหลออกมา ข้าเรียกพวกเขาสุดเสียง แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆ ข้ากังวลมากจึงเดินเข้าไปเขย่าตัวพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่ขยับ ข้ากลัวมากจึงรีบวิ่งออกมา บอกให้เอ้อร์ยารีบวิ่งไปบอกท่านมาตรวจสอบ ส่วนการตายของท่านพ่อท่านแม่คืออะไรนั้น ข้า… ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ”

หัวหน้าหมู่บ้านคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี เมื่อเห็นคนใกล้ชิดของตนตายและมีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดต่อหน้าต่อตา แน่นอนว่าเขาจะต้องเสียใจและหวาดกลัวไม่น้อย

หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ ทั้งยังเอื้อมมือไปตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ จากนั้นก็กวักมือเรียกชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังอีกสองสามคน “พวกเจ้าตามข้ามา พวกเราเข้าไปดูในห้องด้วยกัน”

ทุกคนที่ถูกเรียกนั้นรีบขานรับทันที ก่อนจะเดินตามหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปในเรือน เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ก็อยากตามเข้าไปดูสถานการณ์ว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตายอย่างไร ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับยื่นมือมาขวางไว้ไม่ให้เธอเดินเข้าไป

ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านกับคนอื่นๆ เดินไปที่หน้าห้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาแล้ว จากนั้นเธอก็เห็นประตูห้องเปิดออก

พวกเขามองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปในห้องเป็นแถว ซึ่งนำโดยหัวหน้าหมู่บ้าน

เป็นเหมือนคำที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมา เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวานอนหงายอยู่บนเตียง เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด สภาพนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

พวกเขาตกใจเป็นอย่างมากจนพูดไม่ออก ต่างเดินถอยหลังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะมองหน้ากันอีกครั้ง

เสียงสั่นๆ ของชาวบ้านคนหนึ่งในกลุ่มพวกเขาดังขึ้น “พวกเขา… พวกเขาสองคนเป็นอะไรตายหรือ”

พวกเขายืนเงียบงัน ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งชี้นิ้วไปที่เตียงนอน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “พวก… พวกเจ้าดูนั่น ผ้าห่ม ผ้าห่มขยับ ด้านใน… ด้านในนั้นมีอะไร”

เดิมทีหากมีคนตายเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดต่อหน้า สถานการณ์ก็น่าหวาดกลัวมากอยู่แล้ว เมื่อจู่ๆ มีคนตะโกนประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็ถอยหลังสองก้าวด้วยความหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างเริ่มไร้เรี่ยวแรง ถึงขั้นต้องเอื้อมมือไปจับประตูเอาไว้ สุดท้ายก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่พยายามตั้งสติ แล้วตะคอกออกไป

“กลัวอะไร! มีกันตั้งหลายคน ไม่ว่าในผ้าห่มนั่นจะเป็นอะไร พอมันออกมา ก็ใช้ไม้ทุบมันให้ตาย”

ในขณะที่เอ่ยนั้น เขาก็สั่งชาวบ้านสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด “พวกเจ้าออกไปหาไม้ไผ่ยาวๆ เข้ามาหนึ่งลำ แล้วก็หาจอบ ไม้ หรือไม่ก็มีดเข้ามาด้วย”

สองคนนั้นรับคำแล้วออกไปหาไม้ไผ่ เครื่องมือทำไร่ทำนา ไม้ และมีดที่พอจะหาได้ในเรือน หากไม่มีจริงๆ ก็จะถือหม้อกับฝาหม้อเข้ามา ซึ่งเรียกได้ว่าพอมีอาวุธติดตัวบ้าง

เมื่อได้ไม้ไผ่แล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็สั่งคนที่ถือไม้ไผ่ลำนั้น

“เจ้ามานี่ ใช้ไม้ไผ่นี่เปิดผ้าห่มออก ดูว่าข้างในเป็นอะไรกันแน่”

เวลานี้เสวี่ยเจียเยว่ยังคงยืนอยู่ในห้องโถง เธออยากจะเข้าไปดู ทว่ากลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งยกแขนขึ้นมาขวางไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เธอเข้าไปในห้อง อีกทั้งในลานยังมีชาวบ้านมารอดูหลังจากรู้ข่าว ไม่นานก็มีคนอยู่เกินกว่าครึ่งลาน และมีคนไม่น้อยที่เบียดเข้ามาด้านในห้องโถง บางคนมายืนที่ประตูห้องและมองเข้าไปข้างใน

ทันใดนั้นคนที่ถูกหัวหน้าหมู่บ้านเรียกก็กลืนน้ำลายและกระชับไม้ไผ่ให้แน่นขึ้น จากนั้นเขาก็ใช้ไม้ไผ่ลำนั้นเลิกผ้าห่มออกด้วยมือที่สั่นเทา เหตุเพราะตื่นเต้นเกินไป จึงต้องทำอยู่หลายครั้งกว่าจะสำเร็จ

เมื่อผ้าห่มถูกเลิกออก พวกเขาก็พบว่ามีงูหลายตัวเลื้อยออกมา หัวของพวกมันเป็นรูปสามเหลี่ยม และลำตัวมีหลากสีสัน มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคืองูพิษ

ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ตกใจทันที บางคนกรีดร้อง บางคนก็วิ่งออกมา แต่ยังพอมีคนกล้าหาญอยู่บ้าง จึงถือจอบกับไม้เดินเข้าไปตีงู ชั่วขณะนั้นทั้งด้านในและด้านนอกห้องก็เกิดชุลมุนขึ้นมา

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่กลัวงู จึงอาศัยช่วงชุลมุนลากอีกฝ่ายวิ่งออกมานอกเรือน

ไม่นานงูในห้องก็ถูกชาวบ้านตีจนตาย เมื่อตรวจดูจนทั่วห้องและแน่ใจแล้วว่าไม่มีงูอีก ชาวบ้านจึงเชิญหัวหน้าหมู่บ้านไปนั่งที่ห้องโถง จากนั้นก็เชิญคนที่ได้รับการนับถือในหมู่บ้านสองสามคนไปนั่งด้วย พวกเขาพูดถึงเรื่องที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาถูกงูกัดตายเสียงดังเซ็งแซ่

หมู่บ้านซิ่วเฟิงล้อมรอบด้วยป่าเขา ฤดูร้อนจะมีงูชุม เรื่องงูเลื้อยเข้าเรือนของชาวบ้านไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็เป็นเพียงงูธรรมดาเท่านั้น ตราบใดที่ไม่ใช่งูพิษ ชาวบ้านก็ไม่สนใจ ทั้งยังบอกว่านี่คืองูที่มาเยี่ยมเยียน หากตีจนตายก็จะพบกับความโชคร้าย ทว่าตอนนี้คือฤดูหนาว ด้านนอกยังมีหิมะตกอยู่ ตามหลักแล้วงูมิใช่ว่าต้องจำศีลหรืออย่างไร เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้เลื้อยขึ้นมาบนเตียงนอนของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังมาตั้งหลายตัว

พวกเขาคิดหาสาเหตุไม่ออก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นกลางห้องโถง

“ข้ารู้ว่าเพราะอะไร!”

คนรอบข้างรีบเอ่ยถามชาวบ้านที่ดูกระตือรือร้นผู้นั้น จากนั้นก็ได้ยินคำตอบ

“เมื่อหลายวันก่อน ข้ากลับมาจากหว่านปุ๋ยในนา ระหว่างทางเจอพวกเขาด้วย ข้าเห็นว่าในมือของพี่หย่งฝูถืองูตายตัวใหญ่ แต่หัวงูตัวนั้นขาดไปแล้ว ตอนนั้นข้าถามเขาว่าไปเอางูมาจากไหน เขาบอกว่าขุดขึ้นมาจากดิน ก่อนจะใช้จอบตีมันจนตาย คิดจะเอามันกลับไปกิน ตอนนั้นข้าเอ่ยเตือนเขาว่างูตัวนี้กินไม่ได้ ระวังบาปกรรมจะตามสนอง แต่พี่หย่งฝูก็ยังหัวเราะ บอกว่าข้าไม่มีปัญญาขุดจึงหาว่ามันกินไม่ได้ พอข้าเห็นเขาไม่ฟังเลยปล่อยไป

“พอมาคิดดูอีกที งูพวกนี้ก็เหมือนกับตัวที่พี่หย่งฝูถือมาในวันนั้น ข้าจึงเดาว่าต้องเป็นเพราะงูตัวที่พวกเขากินอย่างแน่นอน พองูตัวอื่นรู้เข้า พวกมันเลยมาแก้แค้น ไม่อย่างนั้นอากาศหนาวขนาดนี้ งูที่จำศีลอยู่ดีๆ เหตุใดถึงได้เลื้อยมาบนเตียงนอนของพวกเขาได้เล่า”

คนอื่นๆ เอ่ยคล้อยตาม บอกว่าวันนั้นตนก็เห็นเสวี่ยหย่งฝูถืองูตัวนั้นกลับมา และงูพวกนี้ก็เหมือนกับตัวที่เขาถือมาไม่มีผิด

จากนั้นชาวบ้านคนหนึ่งก็เอ่ยข้อสงสัยออกมา “หากบอกว่าเป็นงูมาแก้แค้น เหตุใดถึงมีเพียงพี่หย่งฝูกับพี่ซิ่งฮวาที่ถูกงูกัดตายเท่านั้น แต่น้องจิ้งกับเอ้อร์ยากลับไม่เห็นเป็นอะไร”

หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินดังนั้น สายตาของเขาก็มองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ และพบว่าดวงตาพวกเขาแดงก่ำ ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดไม่จา

หัวหน้าหมู่บ้านกวักมือเรียกพวกเขาเข้ามา จากนั้นก็เอ่ยถาม “วันนั้นพวกเจ้าได้กินเนื้องูหรือไม่”

เสวี่ยหยวนจิ้งส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ไม่ขอรับ ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเองก็รู้จักนิสัยของแม่เลี้ยงข้า มีของกินดีๆ อะไรในเรือนมีหรือนางจะให้ข้ากับเอ้อร์ยากิน หากท้องพวกข้าไม่หิว ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อันใดขอรับ”

สิ่งที่เขาพูดมานั้นล้วนเป็นความจริง ชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงต่างก็รู้ว่าซุนซิ่งฮวาทำกับเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ้อร์ยาอย่างไรในเวลาปกติ ยามนี้หัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่พูดอะไรต่อ

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วมองไปทั่วทั้งในห้องโถงและด้านนอกเรือน เมื่อเห็นว่าในหม้อที่วางอยู่ในห้องครัวยังมีข้าวต้ม ทั้งยังมีกับข้าวอีกอย่าง ก็คิดว่าพวกเขาทำอาหารรอเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตื่นขึ้นมากินจริงๆ กลอนประตูห้องที่หักเป็นสองท่อนนั้น คงเป็นเพราะถูกคนใช้แรงกระแทกจากด้านนอก ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นจริงตามที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมาเมื่อครู่นี้

แต่ว่า…

ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมามองเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่ “ถูกงูกัดต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน ไม่มีทางตายในทันที เมื่อคืนนี้พวกเจ้าไม่ได้ยินเสียงร้องของพ่อกับแม่เลยหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันทันที ที่หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวมานั้นก็ถูก แต่เมื่อคืนนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดเธอถึงได้หลับลึก จนไม่ได้ยินเสียงร้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา

เธอหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง และเห็นเขาส่ายหน้า

“ไม่ขอรับ แต่จะว่าไป เมื่อคืนนี้ก็แปลกไม่น้อย เมื่อก่อนตอนที่ข้านอนอยู่ ข้าจะตกใจตื่นขึ้นมาง่ายมาก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเป็นเพราะอะไร จู่ๆ ก็หลับลึก ไม่ได้ยินเสียงอันใดเลยขอรับ”

“ไม่ได้ยินเสียงอันใดเลยอย่างนั้นหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านถามต่อ

เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วแน่น ราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“เหมือนว่าเมื่อคืนข้าจะได้ยินเสียงลมพัด เหมือนกับมีบางอย่างเลื้อยอยู่บนพื้น แต่คิดว่ามันเป็นเพียงเสียงหิมะเท่านั้น อีกอย่าง… อากาศก็หนาว ข้าเลยนอนต่อ ไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตูดู”

“แล้วเจ้าล่ะ” หัวหน้าหมู่บ้านหันไปถามเสวี่ยเจียเยว่ด้วยดวงตาเป็นประกาย “เมื่อคืนเจ้าไม่ได้ยินเสียงแปลกๆ อันใดเลยหรือ”