บทที่ 51 ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ห้าสิบเอ็ด

ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่พลันสั่นสะท้าน ทว่าเธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธในทันที “ข้า… เมื่อคืนข้าไม่ได้ยินเสียงแปลกๆ อันใดเลยเจ้าค่ะ”

ครั้นกล่าวจบ เธอก็ยกหลังมือข้างขวาขึ้นมาเช็ดน้ำตา มือซ้ายเอื้อมไปจับแขนของเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงปนสะอื้น

“ท่านพี่ ท่านพ่อท่านแม่ตายจริงๆ หรือเจ้าคะ พวกเขาตายแล้ว ข้าจะทำเช่นไร ข้า… ข้ากลัวเจ้าค่ะ”

นัยน์ตาของเสวี่ยหยวนจิ้งแดงก่ำ ก่อนจะกอดเสวี่ยเจียเยว่แล้วลูบหลังเบาๆ “แม้ว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่แล้ว แต่ข้ายังอยู่ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กสองคนที่เพิ่งสูญเสียบิดามารดาไป สตรีที่ยืนมองอยู่ด้านข้างใจสั่นไหว จนร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้

จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินเสียงยายหานดังมาจากลานเรือน

“หัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าถามหลานจิ้งกับเอ้อร์ยาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือเจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นคนฆ่าพ่อกับแม่ของตัวเอง พวกเขาเป็นเด็กอายุสิบสี่ปีกับแปดขวบเท่านั้น จะไปเข้าใจอันใด อีกอย่าง… นั่นเป็นพ่อแท้ๆ ของเขากับแม่แท้ๆ ของนาง พวกเขาจะกล้าลงมือทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร หากอยากจะฆ่าจริงๆ เหตุใดไม่ฆ่าไปเลย ยังต้องลำบากไปจับงูหลายตัวมาทำไม ผู้ใหญ่อย่างเราเห็นงูพิษพวกนี้ยังวิ่งหนี นับประสาอะไรกับเด็กอย่างพวกเขา เจ้าไม่เห็นหน้าเอ้อร์ยาซีดเผือดตกใจกลัวหลังจากได้ยินว่ามีงูหรืออย่างไร”

มีเสียงคนที่มุงดูอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมา “ใช่ๆ เห็นอยู่ว่าพี่หย่งฝูกับพี่ซิ่งฮวากินงูตัวนั้นเมื่อหลายวันก่อน งูตัวอื่นก็เลยแค้นฝังใจ เมื่อคืนพวกมันจึงเข้ามาแก้แค้น พวกเขาไม่ใช่คนที่มีอิทธิฤทธิ์ไม่ใช่หรือ แม้จะรู้สึกตัว แต่คงไม่สามารถขยับได้ ร้องออกมาก็ไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตามองตัวเองถูกงูกัด ต่อให้เจ็บปวดปางตาย ก็ร้องออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้นเขาจะเรียกว่าแก้แค้นได้อย่างไร

“เรื่องมันถูกกำหนดให้เป็นเช่นนี้ พวกเรามองปราดเดียวก็รู้ หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเค้นถามเด็กอย่างพวกเขาสองคนไปเพื่ออันใด พ่อแม่ของพวกเขาตายไปแล้ว ยังไม่เพียงพอให้สงสารอีกหรือ ท่านถามเช่นนี้ออกมาได้เยี่ยงไร”

จากนั้นทุกคนที่อยู่บนลานก็พากันเอ่ยคล้อยตาม และมีคนพูดขึ้นมาอีกว่า เหตุใดเมื่อวานหิมะถึงตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่แน่งูพวกนั้นอาจจะรู้ว่าสหายของพวกมันถูกคนกินอย่างไม่เป็นธรรม ถึงได้ทำให้หิมะตกลงมาก็เป็นได้

คนที่ตีงูเหล่านั้นก่อนหน้านี้เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา รีบบอกว่าอีกประเดี๋ยวจะกลับเรือนเพื่อเตรียมธูปกับของเซ่นไหว้ไปบูชาที่ไร่นา ขอให้บรรพบุรุษที่ปกปักรักษาผืนดินคุ้มครองพวกเขา และบอกอีกว่าจะทำบุญให้งูเหล่านั้น ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาพานพบกันอีก

ท่ามกลางความวุ่นวาย หัวหน้าหมู่บ้านไร้วิธีจัดการ อีกทั้งเขายังหาความจริงอันใดมายืนยันไม่ได้ ดูเหมือนว่าคงทำได้แค่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวากินเนื้องู ทำให้งูเหล่านั้นโกรธแค้น เมื่อวานพวกมันถึงได้ตั้งใจเลื้อยมากัดพวกเขาที่นอนอยู่บนเตียงจนสิ้นใจ

เรื่องงานศพก็ต้องจัด แต่เสวี่ยเจียเยว่อายุแปดขวบ ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งแม้ว่าจะโตกว่า ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่ม จะสามารถจัดการเรื่องงานศพของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้อย่างไร

ชาวบ้านหารือเสียงดัง สุดท้ายก็เลือกคนที่ชื่อเสวี่ยเจิ้งจื้อซึ่งมีอายุประมาณหกสิบปีมาจัดการเรื่องงานศพให้

เสวี่ยเจิ้งจื้อผู้นี้ แม้ว่าไม่ใช่หัวหน้าหมู่บ้าน แต่ตามลำดับอาวุโสก็ยังคงเหนือกว่าหัวหน้าหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านพบเขาทีไร ก็ต้องเรียกท่านลุงทุกครั้ง เขาคือคนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนจึงเชื่อฟังเขา

เสวี่ยเจิ้งจื้อกระแอมกระไอ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เอ่ยออกมา ข้าเองก็อยากจะฝังศพของพวกเขาตามพิธี แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่าเดิมทีครอบครัวของหย่งฝูไม่มีเงินมากนัก ตอนนี้พวกเขาก็จากไปแล้ว ทิ้งลูกสองคนเอาไว้ตรงนี้ เด็กสองคนยังต้องมีชีวิตต่อไป แต่เรื่องนี้ข้าก็ทำได้เพียงเห็นอกเห็นใจ

“และในสองสามวันนี้ข้ายังอยากจะขอความเมตตาจากพวกเจ้าให้เข้ามาช่วยกันด้วย ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เด็กสองคนนี้น่าสงสารยิ่งนัก จึงไม่จำเป็นต้องตระเตรียมอาหารใดๆ เมื่อพวกเจ้าช่วยงานเสร็จแล้ว ก็กลับไปกินข้าวที่เรือนของตัวเองเถอะ”

ชาวบ้านต่างก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล จึงรีบตอบตกลงทันที

ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาพร้อมเอ่ยขึ้น “ทุกท่านได้โปรดฟังข้า”

อาจเป็นเพราะความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นในใจ เสียงของเขาจึงแหบแห้งเล็กน้อย เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้น ก็เงียบลงทันทีเพื่อรอฟังว่าเขาต้องการจะพูดอะไร

เสวี่ยหยวนจิ้งเดินมายืนตรงกลางห้องโถง ก่อนจะทำความเคารพหัวหน้าหมู่บ้านกับเสวี่ยเจิ้งจื้อที่นั่งอยู่ แล้วหันกลับไปโค้งคำนับชาวบ้านที่อยู่ล้อมรอบ จากนั้นยืดตัวตรงแล้วเอ่ยขึ้น

“ท่านพ่อท่านแม่ตายไปอย่างไม่เป็นสุข ข้ากับเอ้อร์ยารู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก นอกจากนี้สติก็ยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงไม่รู้ว่าควรจัดการเช่นไรดี ขอบคุณท่านหัวหน้าหมู่บ้านและทุกท่านที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ หลังจากงานศพของท่านพ่อกับท่านแม่เสร็จสิ้นลง ข้าจะต้องพาเอ้อร์ยาไปคารวะขอบคุณทุกท่านถึงที่เรือน”

เขาเอ่ยต่อ “แม้ว่าข้าจะยากจน แต่ประการแรก… การตายของท่านพ่อกับท่านแม่เป็นเรื่องใหญ่ ข้ากับเอ้อร์ยาเป็นลูก ถึงอย่างไรก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดงานศพให้พวกเขาให้ได้ นี่คือสิ่งที่ข้ากับเอ้อร์ยาควรทำเพื่อแสดงความกตัญญู ประการที่สอง… ทุกท่านเหนื่อยล้าจากการช่วยเรื่องงานศพ จะให้พวกท่านหิวกลับเรือนได้เยี่ยงไร นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรปฏิบัติ”

เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่เรือนอีกหลังซึ่งใช้หญ้าในการมุงหลังคา ด้านในมีหมูอยู่สองตัว วัวหนึ่งตัว และไก่ ซึ่งเดิมทีใช้เป็นเล้าไก่มาก่อน

“สัตว์เลี้ยงพวกนั้นท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงเอาไว้ ตอนนี้ข้าอยากจะขอให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเรียกคนมานำพวกมันไปขายหรือฆ่าพอให้ได้เงินมาจัดงานศพให้ท่านพ่อกับท่านแม่ ส่วนเนื้อสัตว์ที่เหลือก็นำมาทำอาหารในงานศพ อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ทุกท่านมาช่วยงานในสองสามวันนี้ ก็สามารถอยู่กินอาหารที่เรือนของข้าได้”

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้นออกมา ก็ได้ยินเสวี่ยเจิ้งจื้อเอ่ยขึ้น

“หลานจิ้งช่างสมกับเป็นคนที่เคยเล่าเรียนมาก่อน คำที่เอ่ยออกมาก็มีเหตุผลและกตัญญูไม่น้อย”

จากนั้นชายชราถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อ “พ่อแม่ของเจ้าไม่ควรให้เจ้าหยุดเรียนกลางคัน พวกเขาควรให้เจ้าเรียนต่อ ไม่แน่ภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้เป็นบัณฑิตคนแรกในหมู่บ้านของพวกเราและได้เป็นถึงขุนนาง จากนี้ไปเจ้าก็สามารถไปเรียนต่อได้แล้ว และเข้าร่วมการสอบบัณฑิตได้”

“ขอบคุณสำหรับคำชมของท่านขอรับ ข้าน้อยมิกล้า” เสวี่ยหยวนจิ้งโค้งคำนับ

เสวี่ยเจิ้งจื้อโบกมือไปมาเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องมากพิธี ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แม้จะบอกว่าเป็นงานศพของพ่อกับแม่เจ้า ในฐานะลูกชายลูกสาวจะต้องกตัญญูและพยายามจัดงานศพให้แก่บุพการีอย่างเต็มที่ แต่ชีวิตของเจ้ากับน้องสาวยังต้องดำเนินต่อไป หากตอนนี้พวกเจ้าใช้สมบัติของครอบครัวหมดแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร”

ในขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเอ่ยปาก เสวี่ยเจิ้งจื้อก็เอ่ยแนะนำเขา

“แม้ว่าเจ้าจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่ก็ต้องคิดถึงน้องสาวของเจ้าบ้าง นางเพิ่งอายุแปดขวบ พี่ชายก็เหมือนพ่อ แม้พวกเจ้าจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ในเมื่อเข้าประตูเรือนมาแล้ว ในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน พวกเจ้าก็เปรียบเสมือนพี่น้องกันแท้ๆ ต่อไปเจ้าในฐานะพี่ชาย ไม่ว่าจะเรื่องอันใดก็ต้องคิดเพื่อนาง”

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ทันที

เสวี่ยเจียเยว่ยังคงยืนงุนงงอยู่กับที่ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหันมามอง เธอก็มองเขากลับโดยไม่เอ่ยคำใด

เธอไม่มีทางเชื่อว่างูพวกนั้นจะทำให้เกิดหิมะเมื่อคืนนี้ แล้วเลื้อยเข้ามากัดเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจนตายเพียงเพราะกินงูตัวนั้นอย่างแน่นอน และมักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในบางอย่าง แม้กระทั่งคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเสวี่ยหยวนจิ้งด้วย เพราะนึกถึงการกระทำของเขาเมื่อคืนกับวันนี้…

ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวหรือเพราะเหตุผลอื่น เสวี่ยเจียเยว่จึงสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เสวี่ยหยวนจิ้งหันกลับ แล้วโค้งคำนับเสวี่ยเจิ้งจื้อพร้อมเอ่ย “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านขอรับ”

เสวี่ยเจิ้งจื้อพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบเครายาวของตน

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มแบ่งหน้าที่ให้ชาวบ้านแต่ละคน

สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกก็คือโลงศพ เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ในเรือนก็ไม่มีผู้อาวุโส โลงศพย่อมไม่มีอย่างแน่นอน จำเป็นต้องเข้าไปซื้อในเมือง

ซื้อโลงศพก็ย่อมต้องใช้เงิน เสวี่ยเจิ้งจื้อให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปค้นหาเงินในห้องว่ามีหรือไม่ และมีอยู่เท่าไร เขาจะได้ตัดสินใจให้คนซื้อโลงศพอย่างไรกลับมา

เสวี่ยหยวนจิ้งรับคำอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เดินไปหาเงินในห้องเสวี่ย-หย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา

เพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ร่างของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจึงยังนอนอยู่บนเตียง ไม่มีคนไปจัดการ

สายตาอันเย็นชาของเด็กหนุ่มเหลือบมองพวกเขาครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับร่างทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็ถอนสายตากลับมา แล้วค้นหาเงินทั้งในตู้ที่ใช้เก็บเสื้อผ้าและหีบ ทว่าหามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เสวี่ยหยวนจิ้งมองเงินในมือของตน ก่อนจะขมวดคิ้ว

เมื่อวานตอนที่เขาอยู่ในห้องครัว ได้ยินซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูพูดคุยกันอย่างชัดเจน นางเอ่ยถึงเงินห้าตำลึงที่ได้มาเมื่อหลายวันก่อน อีกทั้งช่วงนี้พวกเขายังได้เงินจากการเล่นพนัน เหตุใดถึงมีอยู่เท่านี้

เขาปรายตามองซุนซิ่งฮวาแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปดึงหมอนที่นางใช้หนุนออกมา และคลำด้านในอย่างละเอียด

เป็นจริงดังคาด เขาสัมผัสได้ถึงของแข็งๆ บางอย่าง เมื่อหยิบออกมาดู ก็เห็นว่าเป็นถุงผ้าเล็กๆ เก่าๆ หนึ่งใบ ด้านในนั้นมีเงินอยู่ราวแปดตำลึง

เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองด้านนอก เมื่อไม่มีใครมองมา เขาก็นำถุงผ้าใส่เข้าไปในอกเสื้อเงียบๆ แล้วถือเงินที่พบในตู้กับหีบเดินออกไปจากห้อง

ขณะนี้เสวี่ยเจิ้งจื้อกำลังถ่ายทอดคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่นี้ให้ชาวบ้านคนอื่นๆ ฟัง ซึ่งคงไม่สมเหตุสมผลหากต้องให้ชาวบ้านที่มาช่วยเหลือ

กลับไปโดยท้องยังว่าง เขาจึงขอให้ยายหานรีบกลับเรือนไปทำเต้าหู้จำนวนมาก ชายชรารู้สึกผิดต่อทุกคนที่อาหารในสองสามวันนี้ต้องทำจากเต้าหู้ ทว่าชาวบ้านก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด

เสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ข้างๆ เพื่อฟังคำพูดของเสวี่ยเจิ้งจื้อ ก่อนจะก้าวไปหาชายชรา แล้วส่งเงินให้ด้วยสองมือพลางเอ่ย

“นี่คือเงินทั้งหมดที่ข้าน้อยหาพบในห้องขอรับ ข้าน้อยขอมอบให้ท่าน ท่านได้โปรดใช้เงินจำนวนนี้จัดงานศพให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าน้อยด้วย ข้าน้อยกับน้องสาวจะได้คลายความกังวลขอรับ”