ตอนที่ 75 เลือก
อันที่จริงฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้โกรธที่ต้องยกห้องนอนให้หรงซิวจริงจังสักหน่อย
หรงซิวช่วยนางหลายต่อหลายครั้ง และนางก็ติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ ดังนั้นให้เขาค้างที่นี่สักคืนก็ไม่เห็นเป็นอะไร
หลังจากที่นางเดินออกจากห้องนอน นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่ห้องอ่านหนังสือ
ที่จริงในห้องหนังสือมีเตียงสำหรับนอนเอนกาย แต่ฉู่หลิวเยว่ยังไม่อยากนอนตอนนี้
…วันนี้นางต้องการทะลวงร่างกายที่ยังไม่เคยฝึกยุทธ์แล้วกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ สักที
ฉู่หลิวเยว่ปิดประตูและหน้าต่าง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิบนเตียงและค่อยๆ หลับตาลง
ร่างกายนี้มีชีพจรตี้จิง ซึ่งทำให้ความเร็วในการฝึกฝนนั้นเร็วกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปหลายเท่า
ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาไม่นานในการฟื้นฟูชีพจรเดิม แต่พลังแห่งฟ้าดินที่ดูดซับเข้าไปในร่างกายของฉู่หลิวเยว่นั้นมีมากพออยู่แล้ว
ตอนนี้สอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องปิดบังความจริงที่ว่าชีพจรเดิมนั้นได้รับฟื้นฟูแล้ว
บรรยากาศภายในห้องหนังสือช่างเงียบสงัด
ในไม่ช้าพลังแห่งฟ้าดินก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาท่วมร่างของฉู่หลิวเยว่!
ราตรีนี้ ข้าจะต้องบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ให้จงได้!
…
คืนฝนพรำนี้มักจะลิขิตให้ไร้ความสงบสุข
ณ ตระกูลลู่
“เยี่ยนเอ๋อร์ ฉู่หลิวเยว่เอาชนะหมินหมิ่นในการสอบกลางภาคได้อย่างนั้นหรือ”
หลังจากการสอบกลางภาคสิ้นสุดลง ทางสำนักก็อนุญาตให้พักได้สามวัน ทันทีที่ลู่เฟยเยี่ยนกลับมาที่ตระกูลลู่ นางถูกลากไปสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ในห้องหนังสือทันที
ลู่เฟยเยี่ยนเบะปาก
“จริงเจ้าค่ะ”
คนในตระกูลลู่หลายคนสบตากัน
“นี่…ฉู่หลิวเยว่ผู้ไร้ความสามารถกลายเป็นอัจฉริยะชั่วข้ามคืนจริงหรือ”
ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่เชื่อ
แม้กระทั่งหมอเทวดายังไมมีทางรักษาผู้ที่มีชีพจรพิการได้ แล้วฉู่หลิงเยว่ทำได้เยี่ยงไร
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าถ้าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ!
“หึ ข้าว่าแล้วฉู่หลิวเยว่คนนี้แปลกเหลือเกิน นางสามารถเอาชนะหมินหมิ่นได้ ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ชนะหมินหมิ่นได้เท่านั้น นางยังทำให้หมินหมิ่นเสียโฉมอีกด้วย ตอนนี้หมินหมิ่นคงโกรธแค้นนางยิ่งกว่าอะไรดี”
ผู้ใหญ่หลายคนถึงกับตกตะลึง จกานั้นทุกคนก็ส่ายหน้าเมื่อได้ฟังรายละเอียดในเรื่องนี้
“ฉู่หลิวเยว่ทำลายตระกูลฉู่ย่อยยับหมดแล้ว ตอนนี้นางแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ประกอบกับฉู่หนิงได้เลื่อนเป็นแม่ทัพราชองครักษ์อีก ช่างกำเริบกันใหญ่แล้ว แต่เกรงว่าพวกเขาคงไม่ตั้งหลักในเมืองหลวงได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ…”
“จดหมายจากตระกูลฉู่มาถึงแล้ว ผู้อาวุโสรอง ท่านดูสิ…”
“แม้เรากับตระกูลฉู่จะไม่มีอะไรกระทบกระทั่งมากนัก แต่ถึงอย่างไรหมินหมิ่นก็มีสายเลือดของตระกูลเราอยู่ครึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า[1] ไม่จำเป็นต้องทำให้ตระกูลฉู่ต้องขุ่นเคืองในเวลานี้”
“ขอรับ!”
…
ณ ตระกูลกู้
แม้ว่าจะเป็นวันหยุด แต่กู้หมิงเฟิงก็ไม่กลับมาที่ตระกูลเหมือนเมื่อก่อน
ไม่มีใครในตระกูลกู้สนใจเรื่องนี้ และพวกเขายังคงปรึกษาหารือว่าจะเอายังไงกับตระกูลฉู่ต่อไป
“สถานะของฉู่หนิงตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หากไม่ไว้หน้าเขา ก็มิเท่ากับว่ามิไว้หน้าฝ่าบาทหรอกหรือ ตอนนี้อำนาจตระกูลฉู่เริ่มถดถอยไปเรื่อยๆ มิจำเป็นต้องเป็นกังวล…”
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ตระกูลฉู่ก็ยังมีคนที่โหดเหี้ยมอยู่บ้าง! ไม่ว่าฉู่หนิงจะแข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ ข้าคิดว่าเขาไม่สามารถเอาชนะคนในตระกูลฉู่ได้แน่นอน!”
“กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าพวกเรา…”
“ยืนฝ่ายตระกูลฉู่!”
…
ณ ตระกูลซือ
ไม่นานหลังจากที่ซือถิงและซือหยางกลับมา พวกเขาถูกซือเยี่ยจือซึ่งเป็นประมุขตระกูลเรียกตัวไปพบเพื่อไต่ถาม
ภายในห้องนั้นนอกพวกเขาสามคนก็ไม่มีผู้ใดอีก
“พวกเจ้าคิดว่าฉู่หลิวเยว่เป็นยังไงบ้าง”
ซือเยี่ยจือเปิดประเด็นถามตามตรง
ซือหยางกระตือรือร้นตอบก่อน
“ท่านประมุข ฉู่หลิวเยว่คนนั้นเก่งจริงๆ พรสวรรค์ของนางเฉียดพี่ใหญ่ไปนิดเดียว คนในตระกูลฉู่ตาบอดมาตั้งหลายปีจริงๆ”
ซือเยี่ยจือไพล่มืองทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง
“วันนี้ฉู่หลิวเยว่ตัดขาดกับตระกูลฉู่ไปแล้ว”
“อะไรนะ!”
ซือหยางพูดด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่นึกถึงวิธีที่ตระกูลฉู่ปฏิบัติต่อนาง ก็รู้สึกว่านางไม่ได้ทำอะไรผิด
“…ตระกูลฉู่ทำกับนางไม่ดีขนาดนั้น ที่นางขอตัดขาดความสัมพันธ์ก็สามารถเข้าใจได้…ใจกล้าบ้าบิ่นจริง!”
ซือถิงที่นิ่งเงียบ ในที่สุดก็มองไปที่ซือเยี่ยจือ
“ท่านประมุข ท่านเลือกใคร”
ซือเยี่ยจือเหลือบมองเขาอย่างชื่นชม
จิตใจที่เด็ดเดี่ยวและฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ เป็นคนที่สามารถรับผิดชอบได้อย่างแท้จริง!
“ตระกูลฉู่”
“อันที่จริง ไม่ได้มีแค่ข้าเท่านั้น แต่คนทั้งเมืองหลวงก็น่าจะเลือกเช่นเดียวกัน เกรงว่า…ตระกูลฉู่ไม่ทำให้นางได้มีเวลาและโอกาสลืมตาอ้าปากอย่างแน่นอน”
ซือถิงกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“ข้าอยากให้ท่านเลือกฉู่หลิวเยว่มากกว่า”
ซือเยี่ยจือประหลาดใจอย่างยิ่ง
“เพราะเหตุใด”
ซือถิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง
“พรสวรรค์ของนางเหนือกว่าข้ามาก อีกอย่าง…น่าจะเป็นนางมากกว่าที่ไม่ให้โอกาสใดๆ กับตระกูลฉู่อีก!”
ตอนที่ 76 หน้ากระดาษที่ขาดหาย
ฝนยังคงตกหนักไม่ขาดสาย
ภายในห้องหนังสือ ฉู่หลิวเยว่รวบรวมสมาธิแล้วดูดซับพลังแห่งฟ้าดินรอบกายอย่างรวดเร็ว
เวลาค่อยๆ ผ่านไปช้าๆ
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ รู้สึกตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พลังเหล่านั้นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง และไหลอย่างรวดเร็วไปยังจุดตันเถียนตามเส้นชีพจร พวกมันไม่ได้สร้างเป็นหยวนตันเพื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ถูกดูดกลืนเข้าไปในทะเลสาบเล็กๆ ข้างในนั้นแทน
หากต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงก็จำเป็นต้องหลอมรวมหยวนตันให้ได้เสียก่อน
สำหรับฉู่หลิวเยว่ นางมีพลังในร่างกายเหลือล้น หากก่อร่างหยวนตันได้ต่อไปก็เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พลังแห่งฟ้าดินก็ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถควบแน่นเป็นหยวนตันได้!
หลังจากถ่ายเทลงไปในทะเลสาบ พลังเหล่านั้นดูเหมือนจะถูกกลืนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ร่องรอยของคลื่นสักลูกก็ไม่เกิดขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่จึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่ร้ายแรงเกิดขึ้น
…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงไม่สามารถควบแน่นหยวนตันและไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้วใช่หรือไม่!
แต่หยวนตันมีความสำคัญมากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทะลวงผ่านไปถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่ หยวนตันก็จะยิ่งมีความสำคัญมากกว่าสำหรับผู้ฝึกยุทธ์!
ถ้านางไม่มีหยวนตัน นางก็จะไม่นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง และพลังของนางก็จะถูกจำกัดอย่างมาก!
ฉู่หลิวเยว่พยายามรักษาพลังดั้งเดิมเหล่านั้นและรวบรวมพวกมันเข้าด้วยกัน แต่ทำอย่างไรนางก็ทำไม่ได้เลยสักครั้ง
“พลังของทะเลสาบนี้ครอบคลุมพลังของข้าโดยตรง…”
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นและพึมพำเสียงแผ่วเบา
หากอาศัยพลังความสามารถในปัจจุบันของนางเพียงอย่างเดียว นางไม่สามารถเอาชนะทะเลสาบในร่างกายของนางได้
ช่างยากเย็นยิ่งนัก!
ตกลงทะเลสาบนั้นคือสิ่งใดกันแน่
ฉู่หลิวเยว่มั่นใจว่าทะเลสาบไม่ได้ทำอันตรายถึงชีวิตแก่ตัวนางเอง และแม้เมื่อนางตกอยู่ในอันตราย ทะเลสาบก็ยังสามารถระเบิดพลังออกมาเพื่อช่วยนางได้อีกด้วย
แต่ถ้านางไม่รู้ว่านี่คืออะไร แล้วมันจะติดอยู่ตรงนี้ตลอดไปหรือไม่
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่มือของตนเอง
นางจำได้ชัดเจนว่าเมื่อครั้งนางฟื้นขึ้นมาจากการเกิดใหม่ก็เห็นว่ามีลวดลายแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง
ต่อมา เมื่อลวดลายนั้นหายไปกลับมีหน้ากระดาษหนังสือที่ฉีกขาดปรากฏขึ้นมาในจุดตันเถียนของนาง
จากนั้นหน้ากระดาษหนังสือที่ฉีกขาดก็กลายเป็นทะเลสาบแล้วเลือนหายไปในความเงียบสงบ
ครั้งสุดท้ายที่มีการเคลื่อนไหวในทะเลสาบแห่งนี้ก็คือเมื่อครั้งที่นางฟื้นฟูชีพจรเดิม
ตอนแรกฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งนี้จะขัดขวางนางในการรวบรวมหยวนตันครั้งนี้!
ต่อจากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็พยายามอีกหลายครั้งอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความล้มเหลว
ด้านนอกหน้าต่างที่เห็นว่าฝนยังไม่หยุดกระหน่ำเทลงมานั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด
“นี่มันคืออะไรกันแน่”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกตกใจเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวในจุดตันเถียน!
พลังอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากทะเลสาบ!
ร่างกายของฉู่หลิวเยว่เกิดความสั่นไหวในทันที แล้วโลหิตก็เกิดการไหลเวียนที่บริเวณระหว่างหน้าอกและหน้าท้องของนาง!
นางรีบควบคุมทำให้ร่างมั่นคงทันทีและมองไปที่จุดตันเถียนของนาง!
เมื่อนางมองเห็นก็ตกตะลึงค้างทันที
นางเห็นทะเลสาบที่เดิมลอยอยู่ในอากาศ แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็กลายเป็นหน้ากระดาษหนังสือที่โปร่งใสอีกครั้ง!
มันเป็นหน้ากระดาษที่ฉู่หลิวเยว่เคยเห็นมาก่อน!
เพียงแต่ว่าคราวนี้กลับมีลำแสงสีแดงมาบรรจบกันอย่างรวดเร็วบนหน้าหนังสือ!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่แทบตกไปที่ตาตุ่ม…การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้หมายความว่าอย่างไร
ลำแสงสีแดงบนหน้าหนังสือโปร่งใสค่อยๆ รวมตัวกันเป็นคำหนึ่งคำ…หรือ!”
ฉู่หลิวเยว่จดจ่อและมองให้ชัดมากขึ้น
และคำที่สองก็ปรากฏขึ้นตามมาเช่นกัน!
คราวนี้ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เห็นตัวอักษรที่เป็นคำชัดเจน
“โง่เขลา”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ข้อความปรากฏบนหน้ากระดาษโปร่งใสลึกลับ นางคิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่เห็นจะเป็นคำๆ นี้…
“เจ้ากำลังด่าข้าหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ถามด้วยความเหลือเชื่อ
หน้ากระดาษหนังสือสั่นไหวเล็กน้อย และตัวอักษรบนนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ความตกใจของฉู่หลิวเยว่ยังไม่ได้หายไปไหน
หลังจากประสบพบเจอกับสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุด นางแอบคาดเดาว่าหน้าหนังสือโปร่งใสนี้น่าจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่ขาดหายไป
นางเองก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าสรุปแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีจิตสำนึกในตัวของมันเองแล้วจริงๆ!
“ตกลงเจ้าคือผู้ใดกันแน่”
ฉู่หลิวเยว่ระงับความตกใจและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มีสิ่งนั้นอยู่ในจุดตันเถียน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้รู้สึกสบายใจ
ในไม่ช้า ก็มีข้อความอีกบรรทัดหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าหนังสือ
“หยวนตันหลอมรวมพลังแห่งฟ้าดิน เพียงหนึ่งกระบวยก็ล้นได้”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
หมายความว่าพลังแห่งฟ้าดินที่หยวนตันสามารถควบแน่นมีน้อยเกินไปอย่างนั้นหรือ
แต่มันก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากในโลกนี้ หากหยวนตันสามารถรวมพลังแห่งฟ้าดินได้นับไม่ถ้วน เช่นนั้นก็มิเป็นการก่อให้เกิดความโกลาหลหรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อระดับของผู้ฝึกยุทธ์เพิ่มขั้นมากยิ่งขึ้น หยวนตันก็จะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย! และสามารถบรรจุพลังที่อยู่ภายในมากขึ้นเรื่อยๆ!
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน
ดูเหมือนว่ามันสามารถคาดเดาความคิดที่อยู่ในใจของนาง เมื่อข้อความบรรทัดนั้นหายไป ก็มีข้อความบรรทัดใหม่ปรากฏขึ้น
“โง่ไม่มีที่เปรียบ”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เมื่อรวมนางในชาติที่แล้วและชาตินี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางโดนด่าเช่นนี้
โดยไม่รอให้นางพูดอะไร ตัวอักษรเหล่านั้นก็หายไปอย่างสมบูรณ์ และแม้แต่หน้ากระดาษหนังสือก็กระจายหายไปอีกครั้งแล้วก่อตัวเป็นทะเลสาบ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่แยแสนางเลย…
ฉู่หลิวเยว่จ้องไปที่ทะเลสาบที่ลอยอยู่ข้างในจุดตันเถียน แล้วเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด
ประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร
หยวนตันหนึ่งกระบวยก็ล้น…
เป็นไปได้ไหมที่จะบอกว่ามันสามารถบรรจุพลังแห่งฟ้าดินได้มากขึ้น
เมื่อคิดได้ถึงข้อนี้ ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ใจสั่น
นางเริ่มพยายามสัมผัสถึงพลังที่มีอยู่ในทะเลสาบ
กว้างใหญ่ไพศาลและไร้ตัวตน!
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจ พยายามชี้นำพลังที่อยู่ในนั้นอย่างระมัดระวัง
ระลอกคลื่นกระเพื่อมเบาๆ บนพื้นผิวทะเลสาบ
ตู้ม!
ทันใดนั้น พลังอันน่าสยดสยองก็พุ่งออกจากทะเลสาบและไหลไปตามร่างกายของฉู่หลิวเยว่!
ฉู่หลิวเยว่ก็ลืมตาขึ้นทันทีและชี้นิ้วไปข้างหน้า!
ประตูใหญ่ก็แตกกระจุยทันที!
[1] อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า คำพังเพย หมายถึงตระกูลร่ำรวยที่จนลง แต่ก็ยังรวยกว่าตระกูลที่จนมาตั้งแต่แรก