บทที่ 44 ดาบกระชากวิญญาณ อู่เปียว ProjectZyphon
หลี่มู่คิดในใจพลางละสายตามองไปรอบๆ
เขาเลือกจุดวางเท้าถัดไป แล้วจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปราวสายฟ้าแลบ
ในหุบเหวหน้าผานี้ไม่แคบเหมือนในห้องฝึกยุทธ์ของเรือนด้านหลังที่ว่าการ ที่นี่กว้างโล่ง มีอิสระไร้ขีดจำกัด หลี่มู่สามารถทดสอบขีดจำกัดของการใช้วิชาตัวเบาจาก ‘หมัดยุทธแท้’ ได้ตามใจ เมื่อสองเท้าเขาส่งพลังกระโดดขึ้นครั้งหนึ่งจะไปไกลถึงสิบสองจั้ง ความเร็วนั้นดั่งฟ้าแลบ ว่องไวยิ่งกว่าลิงที่ปราดเปรียวที่สุดบนเขาเสียอีก
เมื่อกระโดดขึ้นไปจนหนำใจ หลี่มู่รู้สึกเพียงเลือดสูบฉีดทั้งร่าง ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าเขาบินได้
การบินเป็นความฝันที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของมนุษย์บนโลกมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะทำให้ผู้คนได้โดยสารยานพาหนะต่างๆ เช่นเครื่องบิน สามารถใช้เครื่องร่อน บอลลูนรวมถึงสิ่งอื่นๆ เพื่อสัมผัสความสุดยอดของการขึ้นสู่ผืนฟ้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เทียบกับหลี่มู่ในขณะนี้ไม่ได้
หลี่มู่รู้สึกเหมือนว่าเขามีปีกงอกขึ้นมาจริงๆ กำลังโบยบินอยู่ระหว่างหน้าผาและหุบเหว
เขาอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องออกมา
เสียงโห่ร้องพร้อมกับเสียงน้ำตกที่เหมือนฟ้าคะนองดังสะท้อนในหุบเหวสูงชัน
ยิ่งหลี่มู่ก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง เขายิ่งรู้สึกถึงหลักการวิชาตัวเบาที่แฝงอยู่ในกระบวนท่าที่สองของ ‘หมัดยุทธแท้’ ได้รู้แจ้งสิ่งใหม่ และอานุภาพของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป ทุกก้าวกระโดดของหลี่มู่สามารถไปไกลได้ถึงสามสิบจั้ง
ระยะที่กระโดดได้น่าหวั่นเกรงอย่างยิ่งแล้ว หากอยู่บนโลกก็ไม่ต่างจากยอดมนุษย์ แม้แต่ตึกระฟ้าสูงร้อยเมตรยังกระโดดขึ้นไปถึงยอดได้ ต้องทำให้ทั้งโลกตกตะลึงอย่างแน่นอน แม้แต่บนดาววิถียุทธ์ดวงนี้ วิชาตัวเบาเช่นนี้ก็ยังคงเป็นที่น่าตื่นตกใจ อย่างน้อยจนถึงปัจจุบัน หลี่มู่ยังไม่เห็นยอดฝีมือที่บรรลุวิชาตัวเบาถึงระดับนี้ ถึงเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิตก็ทำไม่ได้
นอกจากนั้น หลี่มู่ค่อยๆ ควบคุมระดับความช้าเร็วได้แล้ว
เมื่อกลั้นลมหายใจ เขาจะเปรียบเหมือนกับขนนก เกือบเป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วง ลอยพลิ้วไหวดุจล่องสายลม ทั้งยังสามารถเป็นประหนึ่งกระสุนดาวตกที่ตกลงมายังพื้นอย่างรวดเร็ว
หลี่มู่เพลิดเพลินกับความรู้สึกนี้เกินบรรยาย
โบยบินบนท้องฟ้า ทุกอย่างดูเหมือนสามารถควบคุมได้
ราวครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่มู่ก็ลงมาถึงก้นบึ้งของเหว
พื้นด้านล่างเป็นทะเลสาบสีมรกตกว้างใหญ่
ทะเลสาบนี้มีขนาดใหญ่ มองแวบแรกไม่เห็นสุดปลาย ดูลึกลับและเย็นเยียบ น่าจะเกิดขึ้นเพราะถูกน้ำตกเก้ามังกรกัดเซาะเป็นหมื่นพันปี ภายใต้หุบเหวลึกเช่นนี้ แสงจันทร์ส่องสะท้อนผิวทะเลสาบ ดูราวผืนกระจกที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยความลี้ลับชวนตื่นเต้นและเก่าแก่ดั้งเดิม
หลี่มู่ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เมื่อเขามองทะเลสาบอันเงียบสงบก็มีความรู้สึกอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นในใจ รู้สึกเพียงมีความป่าเถื่อนอันตรายก่อตัวอย่างเงียบเชียบ ราวกับมีสัตว์อสูรตัวยักษ์บางตัวซ่อนอยู่ภายใต้ผิวน้ำที่นิ่งสงบนี้
เขารั้งอยู่ไม่นานนักก็เคลื่อนตัวจากไป
แสงจันทร์นวลส่องเข้าไปในป่าลึก
หลี่มู่เคลื่อนตัวผ่านหุบเขาลึกดุจดั่งแสงสีดำ
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามเขาก็หยุดเคลื่อนไหว
“ถึงแล้ว”
หลี่มู่ยืนอยู่บนยอดเขาหินสูงราวสามสิบจั้ง ก้มมองลงมาข้างล่าง
เบื้องหน้าเป็นภาพทิวทัศน์ของหุบเขาและผืนป่าหนาทึบ
ในหุบเขาลึกมีทางแยกสามสาย แต่ละเส้นทางมีความกว้างและระดับพื้นดินที่แตกต่างกัน เปรียบเสมือนงูสีขาวสามตัวในหุบเขามืดสลัวใต้แสงจันทร์ คดเคี้ยวผ่านลำห้วยและเนินเขานับไม่ถ้วนมาบรรจบกันที่ตำแหน่งนี้
ทางแยกทั้งสามนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง เรียกว่าสามแยกฮั่น
จุดนี้เป็นสถานที่ที่ต้องผ่านเมื่อเดินทางไปมาระหว่างเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์และภายนอก
ไม่ว่าพ่อค้าเร่คนพเนจรจะมาจากที่ใด หากพวกเขาต้องการเข้าสู่เขตอำเภอขาวพิสุทธิ์ผ่านด่านของทางการ จะต้องผ่านที่แห่งนี้แน่นอน
ดังนั้นถ้า ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวผู้บ้าคลั่งแห่งค่ายลมโชยอยากล้างแค้นให้ลูกชายจริง ยามนำทัพเหล่าทหารม้าไปโจมตีเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะต้องผ่านสามแยกฮั่นนี้
คืนนี้ หลี่มู่มาที่นี่เพื่อหยุดพวกมัน
หรือจะเรียกว่ามาดักซุ่มโจมตีคงไม่ผิดนัก
‘หากการคำนวณเสี่ยวชิงเฟิงไม่ผิดพลาด ในไม่ช้าคนจากค่ายลมโชยจะปรากฏตัวที่สามแยกฮั่นข้างล่างนี้ แล้วจากนั้น…’ หลี่มู่สูดหายใจลึก ในหัวเขาคิดวางแผนรับมือปัญหาที่จะเกิดขึ้นคราวนี้เรียบร้อยแล้ว
การเดินทางมาคนเดียวในครั้งนี้เป็นทางออกดีที่สุดที่เขาคิดได้
กล่าวตามตรง หลี่มู่นั้นก็หวาดกลัวต่อความตาย ยังหวั่นเกรงอยู่บ้าง
แม้ช่วงที่ผ่านมาเขาผ่านการสังหารมากมาย เคยเห็นโลหิต เคยเข่นฆ่าคน แต่การต่อสู้ก่อนหน้านี้แทบจะเป็นชัยชนะเบ็ดเสร็จ ไม่อาจนับเป็นการทดสอบพิเศษอะไร แค่นั้นก็ทำตามวาจาของซินแสเฒ่าตอนอยู่โลกมนุษย์ที่ว่า ‘สู้ได้จงสู้ สู้ไม่ได้ให้หนี’ ได้แล้ว สำหรับหลี่มู่ การประมือกันก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นเพียงการทดสอบย่อยเท่านั้น
ค่ำคืนนี้ต่างหากถึงเป็นการทดสอบที่แท้จริง
เนื่องด้วยคู่ต่อสู้ของเขาคือ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียว
จากการประเมินของเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง อู่เปียวเป็นบุคคลที่น่ากลัวนัก ยามเข้าสู่ขั้นรวมจิตเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ก้าวข้ามขอบเขตความสามารถของจอมยุทธ์ระดับหนึ่งไปแล้ว ถือได้ว่าเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง ฝีมือแกร่งกว่าซือคงจิ้งแห่งพรรคเสินหนง คุณชายสูงศักดิ์หลี่ปิง และพวกหนานเหวินเจิ้งก่อนหน้านี้ หากหนานเหวินเจิ้งเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาในยุทธภพทิศพายัพ เช่นนั้น ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวก็โด่งดังอย่างแท้จริง
ความสำเร็จของหลี่มู่ อู่เปียวก็ทำได้อย่างสบายมือ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบกันได้
หากไม่ใช่ในสมองคิดแต่เรื่องเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ถูกทำลายซ้ำไปซ้ำมา ถึงเวลานั้นจะเกิดการนองเลือด ชาวบ้านจำนวนมากถูกเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม หลี่มู่เองก็ไม่อยากมีปัญหาขัดแย้งกับตัวอันตราย หากเขาพลาดท่าจะต้องจบชีวิตของตัวเองลง ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส
แต่ปัญหาคือ เขาไม่สามารถหนีไปได้
อย่างไรหลี่มู่ก็นับว่าเป็นคนดีซึ่งยึดถือค่านิยมตามหลักห้าสำคัญสี่งดงาม[1]และหลักสังคมนิยมมาตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ว่าเขาจะขลาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดจะละทิ้งหน้าที่ ในความเห็นของหลี่มู่ เขาถูกส่งมายังดาวนี้และจับพลัดจับผลูกลายเป็นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ทั้งหมดในตอนนี้เกิดจากตัวเขาเอง เขาควรจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนก่อขึ้น
บางครั้งแม้จะกลัวแทบตาย แต่ก็ต้องยืนหยัดต่อไปเพื่อทำบางสิ่ง
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
‘แม่งเอ๊ย ช่างมันเถอะ ถ้าสู้ไม่ได้ค่อยหนีแล้วกัน อย่างไรเราก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องจนถึงที่สุดแล้ว’
ใต้เท้าขุนนางเมืองคิดปลอบใจตัวเองเช่นนี้
จากนั้นชายหนุ่มเลือกยอดหินที่เหมาะจะซ่อนตัว ก่อนนั่งลงใต้ต้นสนโบราณต้นหนึ่ง เริ่มควบคุมลมหายใจเข้าออก โคจร ‘พลังก่อนกำเนิด’ เพื่อฝึกฝนและปรับสภาพ ‘พลังก่อนกำเนิด’ ส่งผลยอดเยี่ยมมากในด้านการสงบจิตใจ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระดูก รวมทั้งการฟื้นฟูพลัง
ในไม่ช้าก็ดูเหมือนว่าเขาหลอมรวมเข้ากับเขาหินทั้งลูกไปแล้ว
………
ณ เขาลึกห่างไกล หน้าผาสูงชัน ยอดเขาหินตระหง่านดุจกระบี่
ชื่อเขาลมโชยฟังดูคล้ายบทกวีที่งดงาม แต่ความจริงเป็นสถานที่สูงชันอันตรายที่มีชื่อเสียงในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ซึ่งทอดยาวหลายร้อยลี้ แนวทิวเขาสูงชะลูดเสมือนเกิดจากขวานของเทพเจ้า เขานี้มีหมอกปกคลุม แม้ว่าจะมีลมแรงตลอดทั้งปีก็ไม่อาจพัดพาหมอกหนาทึบนี้ให้หายไปได้
ค่ายลมโชยตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของเขาลมโชย
มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะไปยังค่ายลมโชยจากนอกหุบเขาได้ จำต้องผ่านรอยแยกสี่สายซึ่งยาวมากกว่าสามสิบจั้ง ภูมิประเทศปกป้องง่ายและโจมตียาก เพียงแค่ติดตั้งกลไกกับดักไว้ล่วงหน้า แม้แต่ผู้แข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่งก็ยังบุกเข้าไปได้ยากยิ่ง
ค่ายลมโชยเป็นแหล่งซ่องสุมคนชั่วที่ขึ้นชื่อในรัศมีหลายร้อยลี้ มีจอมยุทธ์ที่กระทำความผิด จอมอันธพาล และทหารหนีทัพมารวมตัวกันที่นี่เพื่อออกปล้นและทำสิ่งชั่วร้ายต่างๆ
ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่ายลมโชยกลับไม่ถูกจักรวรรดิต้าฉินกำจัด เหล่าจอมยุทธ์สายธรรมะที่ผูกใจเจ็บแค้นมากมายก็ไม่มาทำลาย ในทางตรงกันข้ามที่นี่กลับเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากเหตุผลทางภูมิประเทศแล้ว ความแข็งแกร่งของหัวหน้าค่ายลมโชยก็เป็นสาเหตุสำคัญเช่นกัน แม้แต่กลุ่มอิทธิพลหลักอันดับหนึ่งของเทือกเขาขาวพิสุทธิ์อย่างสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ยังไม่อยากยั่วยุคนบ้าคลั่งเหล่านี้
หลายปีมานี้ พวกผู้ร้ายเดนตายหลายพันคนมารวมตัวกันในค่าย อำนาจอิทธิพลมหาศาล นับได้ว่าปกครองหนึ่งอาณาบริเวณ
แต่กล่าวกันว่าสำเร็จก็เซียวเหอล้มเหลวก็เซียวเหอ[2] ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวหัวหน้าค่ายผู้แข็งแกร่งก่อร่างสร้างค่ายลมโชยขึ้นเพราะเป็นนักรบผู้ห้าวหาญเท่านั้น พลังฝึกแก่กล้าทว่าวิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล หนำซ้ำชื่อเสียงของกลุ่มนี้ก็เน่าเฟะเกินไป จึงไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าชาวยุทธ์ มิฉะนั้นเกรงว่าค่ายลมโชยจะเป็นดั่งพรรคจันทราโลหิต มีคุณสมบัติเข้าเป็นสำนักมีระดับไปแล้ว
ตอนพลบค่ำ ควันจากฟืนไฟม้วนตลบขึ้น
อดีตที่ค่ายลมโชยในช่วงเวลานี้จะมีงานรื่นเริงสนุกสนาน ทุกที่จะได้ยินเสียงหัวเราะร้องรำครื้นเครง ทว่าปัจจุบันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อสายที่ส่งออกไปสืบข่าวกลับมาและเข้าพบหัวหน้าแล้ว เสียงคำรามดุจหมียักษ์ที่กำลังผสมพันธุ์ถูกแย่งคู่ไปก็ดังออกมาจากโถงชุมนุม
ทุกคนในค่ายได้ยินอย่างชัดเจน นั่นเป็นเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวของหัวหน้าค่าย
ครั้งก่อนที่หัวหน้าโกรธขนาดนี้เป็นเรื่องเมื่อใดกัน?
ผู้ที่ย้ายเข้ามาค่ายลมโชยในช่วงห้าปีที่ผ่านมาล้วนไม่เคยพบเจอประสบการณ์เช่นนี้
“แย่แล้ว หัวหน้าโกรธแล้ว”
“ฟ้าถล่มเป็นแน่…”
“ครั้งสุดท้ายที่หัวหน้าโกรธเกรี้ยวเช่นนี้คือตอนอนุคนโปรดที่สุดหลบหนีไปกับผู้ดูแลแปด ต่อมาทั้งสองคนถูกจับกลับมาคุมขังเป็นเวลาสิบวันสิบคืน เสียงทรมานเล็ดลอดออกมาตลอด สุดท้ายก็ตายจากไป หัวหน้ายังไม่คลายความโกรธลง ต้องไล่ฆ่าล้างหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงอีกสามแห่งจนเลือดไหลนองเป็นธารโลหิตจึงจะเก็บดาบได้”
“ชู่ว เบาเสียงเจ้าลงหน่อย ห้ามพูดจาไร้สาระ หากหัวหน้าได้ยินเข้า หัวเจ้าได้หลุดจากบ่าแน่”
ลูกน้องที่ค่อนข้างมากประสบการณ์บางคนเริ่มหวาดกลัวแล้ว
เมื่ออู่เปียวคลั่ง แม้กระทั่งพวกตัวเองก็ฆ่าได้
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ไม่ช้า ชายร่างใหญ่ดังหอคอยเหล็กปรากฏตัวขึ้น กล้ามเนื้อเหมือนหล่อหลอมจากเหล็กกล้า สวมชุดเกราะเรียบง่ายสีแดงเข้ม พร้อมด้วยเกราะหุ้มอกสีชาดปกป้องตำแหน่งหัวใจไว้ ผมของเขาเป็นสีแดงไม่ยาวนัก ตั้งชี้ขึ้นดุจเข็มเหล็ก แขนหนาเกือบเท่าเอวของคนธรรมดาสามัญ มือถือดาบพิชิตอาชาที่หล่อจากเหล็กสีโลหิตยาวกว่าหกฉื่อ ตัวดาบซึ่งยังไม่ได้ลับคมลากลงบนพื้นเกิดเป็นประกายไฟ มาพร้อมเสียงเสียดสีที่ชวนให้ผู้คนหวาดกลัว
บุรุษเหมือนหอคอยดำที่น่าสะพรึงคนนี้คือ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวหัวหน้าโจรค่ายลมโชยนั่นเอง
…………………………….
[1] หลักห้าสำคัญสี่งดงาม ห้าสิ่งที่เน้นสำคัญคือ สมบัติผู้ดี มารยาท สุขอนามัย ระเบียบวินัย และคุณธรรม สี่งดงามคือจิตใจงดงาม ภาษางดงาม ความประพฤติงดงาม และสภาพแวดล้อมงดงาม
[2] สำเร็จก็เซียวเหอล้มเหลวก็เซียวเหอ หมายถึง ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวเกิดขึ้นได้จากคนคนเดียว