ภาค 1 บทที่ 45 ซุ่มโจมตี

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 45 ซุ่มโจมตี ProjectZyphon

ทันทีที่เขาปรากฏตัว ทั้งค่ายลมโชยก็เหมือนถูกปิดปากโดยฝ่ามือที่มองไม่เห็น ความเงียบสงัดปกคลุมในชั่วพริบตา

ผู้คนในค่ายนับไม่ถ้วนมองชายผู้ทำให้ค่ายลมโชยยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยสายตาเคารพยำเกรง เทิดทูน และฮึกเหิม

“รวมพลทหารม้าโลหิต ออกเดินทางโดยเร็ว ข้าจะล้างอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วยเลือด”

เสียงของอู่เปียวทุ้มต่ำและแหบห้าว เหมือนกับอารมณ์ของเขาในขณะนี้ ดุจดั่งมีเมฆโลหิตรวมตัวบนท้องฟ้า ก่อเป็นพายุฝนฟ้าคะนองที่น่ากลัว

“ท่านหัวหน้า หากเดินทางตอนกลางคืนจะเปลืองกำลังม้า…” ผู้นำทหารม้าโลหิตตกใจ เอ่ยปากแนะนำโดยไม่รู้ตัว “ไม่สู้รอจนถึงพรุ่งนี้เช้า เพียงสองชั่วยามก็ไปถึงเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์…”

ฉัวะ!

ดาบสีเลือดสายหนึ่งส่องประกาย

ศีรษะของหัวหน้าทหารม้าโลหิตผู้ที่ปกติอู่เปียวจะให้ความสำคัญลอยขึ้นไปบนฟ้า

อู่เปียวค่อยๆ ดึงดาบพิชิตอาชาของเขากลับ

ทุกคนเงียบเหมือนจักจั่นยามหน้าหนาว

ผู้ดูแลสองด้านข้างมีบทบาทเป็นที่ปรึกษา เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอม กล่าวกันว่าเคยเป็นซิ่วไฉ[1]ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เขารีบร้อนตะโกนว่า “คำสั่งหัวหน้าค่าย พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ? รีบไปเตรียมพร้อม หัวหน้าไม่ต้องการพูดอีกเป็นครั้งที่สอง…หลังจากทหารม้าโลหิตออกเดินทาง น้องหกเจ้าเตรียมกลุ่มทหารราบและทุกคนที่ต่อสู้ได้ในค่ายลมโชย ให้ทั้งหมดออกเดินทางไปยังอำเภอขาวพิสุทธิ์โดยเร็วที่สุด ถึงเวลานั้นหัวหน้าน่าจะยึดครองเมืองได้แล้ว พวกเจ้าจะได้ปล้นฆ่ากวาดล้างในเมืองได้ตามที่ต้องการ…”

ลูกสมุนทุกคนตื่นเต้นกับคำพูดของเขา

แม้ว่าค่ายลมโชยจะดี แต่ก็เป็นสถานที่หนาวเหน็บกันดาร จะเทียบกับความสมบูรณ์ของเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้อย่างไร เพียงคิดถึงสตรีโฉมงามในเมือง ทองคำ เงิน มุก และสมบัติที่มากมายจนขโมยไม่หวาดไม่ไหว รวมทั้งอาหารรสเลิศ สุรา และเนื้อสัตว์ที่กินได้ไม่หมด ทุกคนก็รู้สึกว่าเลือดสัตว์ร้ายในกายเดือดพล่าน

ในไม่ช้า ทหารม้าโลหิตก็รวมตัวกันเสร็จสิ้น

อู่เปียวพลิกกายขึ้นขี่สัตว์พาหนะ ‘เสือดำลายเบญจมาศ’ ใบหน้าของเขาเย็นชา กล่าวว่า “ทุกคนจงจำไว้ บุกโจมตีเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ แม้แต่สุนัขและไก่ก็ไม่เว้น ไม่ว่าแก่หรือเด็กจงฆ่าให้หมด ข้าอยากให้พวกมันเซ่นวิญญาณบุตรชายข้า หากพวกเจ้าคนใดกล้าใจอ่อนไว้ชีวิตสักคน ไม่สิ ต่อให้ปล่อยหมาไปสักตัว ข้าจะทำให้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันเจ็บปวดเพียงใด”

สมาชิกค่ายทั้งหมดตอบรับเสียงดัง

กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ พวกเขาล้วนเป็นคนร้ายเดนตาย ฆ่าคนวางเพลิงทำชั่วมามากมาย ไม่มีเรื่องใดทำให้ใจอ่อนได้

“พี่ใหญ่ จะจัดการกับต้วนสุ่ยหลิวนั่นอย่างไร” ผู้ดูแลสามเอ่ยถามขึ้นมา

“ต้วนสุ่ยหลิว แล้วยังหลี่มู่อะไรนั่นด้วย…” อู่เปียวแค่นเสียงเย็นชา

มุมปากของเขายกยิ้มอำหิตเกินบรรยาย ถึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทุกคนล้วนฟังออกว่าในคำพูดของเขามีปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวราวมาจากขุมนรกอยู่

เสียงเกือกม้าดังสนั่นหวั่นไหว

ทหารม้าโลหิตสี่ร้อยนายเป็นดั่งเลือดแห่งความชั่วร้ายที่เดือดพล่านในความมืดยามค่ำคืน ห้อทะยานไปในภูเขาใต้แสงจันทร์

……

ทางแยกฮั่น

ดวงจันทร์สาดส่องภูเขาลึกเหมือนผิวน้ำ

เวลาภายใต้แสงจันทร์สองดวงผ่านไปอย่างเงียบงัน

หลี่มู่เป็นเหมือนหินภูเขาก้อนหนึ่ง แขนขาไม่มีการเคลื่อนไหว

เขากำลังฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’

ในอดีต หลี่มู่ขยันหมั่นฝึกวิชาเซียนที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดไว้ให้นี้ทุกวัน

แสงจันทร์เสมือนแสงเงินส่องประกายสาดลงบนตัวหลี่มู่

หากสังเกตดูอย่างละเอียด หลี่มู่แทบจะไม่หายใจ เหมือนกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาหรือหินพันปี มีเพียงหน้าอกที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย เมื่อเขาหายใจ จมูกจะสูดรับพลังวิญญาณในฟ้าดิน การไหลเวียนของอากาศก่อเป็นน้ำวนที่มองไม่เห็นรอบตัวเขา ยามสูดหายใจเข้า ใบไม้และหญ้ารอบตัวจะโน้มเข้าหาเขาเล็กน้อย ขณะที่เขาหายใจออก พวกมันจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม

แม้แต่แสงจันทร์ยังดูเหมือนจะชอบเปล่งแสงไปที่หลี่มู่มากกว่า

บนผิวกายของเขามีแสงจันทร์รางๆ รวมตัวอยู่ ร่างกายราวกับกำลังเปล่งแสงออกมาได้เอง

อีกทั้งในทุกๆ ลมหายใจ หลี่มู่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอากาศสดชื่นที่หายใจเข้าเป็นเหมือนกระแสน้ำอุ่นไหลเวียนในแปดเส้นลมปราณพิเศษและแขนขาจนไปถึงกระดูก เฉกเช่นน้ำไหลผ่านผืนทราย ชะล้างชั้นดินที่มีตะกอนอุดตัน แต่เมื่อเดินพลังครบหนึ่งรอบ ความอบอุ่นของอากาศก็ค่อยๆ สลายไปกลายเป็นหนาวเย็น เทียบได้กับกระแสน้ำลงที่นำพาสิ่งสกปรกออกไปผ่านกระบวนการหายใจทางปากและจมูก

หนึ่งเข้าหนึ่งออก เวียนวนไปมา

อากาศที่สะอาดสดชื่นเข้าทำความสะอาดร่างกาย แปรเปลี่ยนสิ่งสกปรกเป็นลมพิษออกมา

ร่างกายได้รับการยกระดับและพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านการหายใจเข้าออกเช่นนี้

ความรู้สึกยามกำลังภายในโคจรครบรอบ เหมือนกับที่อธิบายไว้ในกลยุทธ์การฝึกกำลังภายในแต่ละอย่างบนดาวดวงนี้ทุกประการ แต่ปัญหาก็คือจะปรากฏเฉพาะตอนหลี่มู่ฝึกฝน พลังก่อนกำเนิด’ เท่านั้น ไม่เหมือนจอมยุทธ์บนดาวดวงนี้ที่หลังการฝึกฝนแต่ละครั้งจะสามารถคงกำลังภายในไว้ในร่างกายและเสริมความแข็งแกร่งได้ แต่เมื่อหลี่มู่ฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’ จบ ความอบอุ่นที่ไหลเวียนนี้ก็พลันหายไปสิ้น ไม่เหลืออยู่ในกายเลยแม้แต่น้อย

นี่คือปมหลักของปัญหา

ตามที่ซินแสเฒ่ากล่าวไว้ ‘พลังก่อนกำเนิด’ ถูกแบ่งออกเป็นสิบสองขั้น แต่ละขั้นมีลักษณะต่างกัน หลักการลึกล้ำคล้ายกับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ แต่เมื่อเทียบกับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ แล้ว ความเร็วในการฝึก ‘พลังก่อนกำเนิด’ จะช้ากว่าเล็กน้อย ดังนั้นขั้นแรกของหลี่มู่จึงยังไม่สมบูรณ์แบบ

‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เป็นเหมือนความแตกต่างระหว่างกำลังภายในและภายนอก

หลี่มู่ไม่แน่ใจว่าหลังจากฝึกขั้นแรกเสร็จสมบูรณ์ สถานการณ์ของกำลังภายในที่ไม่อาจเก็บสะสมไว้ได้จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่

แต่ถึงกระนั้น การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลี่มู่และผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่เขาได้รับจาก ‘พลังก่อนกำเนิด’ ก็น่าหวาดกลัวอย่างยิ่งแล้ว หากเทียบกับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ก็ไม่ด้อยกว่า เขารู้สึกชัดว่าตนแข็งแกร่งขึ้นทุกชั่วขณะ

เพียงพริบตา อีกครึ่งชั่วยามก็ผ่านไป

สภาพจิตใจและพลังกายของหลี่มู่อยู่ในระดับสูงสุดแล้ว

ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงบางสิ่ง จึงลืมตาขึ้นมอง

บนถนนในเทือกเขาลึกทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทางแยกฮั่น นกสีดำตัวใหญ่เป็นฝูงพลันแตกฮือ กระพือปีกหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างหวาดกลัว เพราะเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบจึงได้ยินและมองเห็นชัดเจนเกินจะเปรียบ

มาแล้ว

การได้ยินของหลี่มู่นั้นน่าทึ่ง เขาได้ยินเสียงเกือกม้าดั่งฟ้าร้องมาจากส่วนลึกของเส้นทางบนภูเขาแล้ว

‘เร็วกว่าเวลาที่ชิงเฟิงคำนวนไว้หนึ่งชั่วโมง’

เขาปลดห่อสัมภาระที่อยู่ข้างหลังช้าๆ แล้วหยิบคันธนูสีเงินที่ย้อมดำออกมา

ภายใต้แสงจันทร์ ยามสีหมึกดูดซับแสงสว่างไว้ คันธนูเงินกลับไม่สะท้อนแสง ดังนั้นเขาจะไม่ถูกพบตัวด้วยสาเหตุนี้

ตัวลูกศรเขี้ยวหมาป่าดอกใหญ่ที่สร้างขึ้นอย่างประณีตถูกย้อมเป็นสีดำ ปลายลูกศรที่เป็นขนนกแท้ถูกเอาออกและแทนที่ด้วยปีกเหล็กสามเหลี่ยม นี่คือลูกศรที่หลี่มู่ให้ช่างฝีมือสร้างขึ้นโดยอิงจากอาวุธปืนผาหน้าไม้บางอย่างบนโลกมนุษย์ คันธนูและนักธนูทั่วไปไม่สามารถใช้ลูกศรที่หนักนี้ได้เลย

แต่หลี่มู่ไม่ได้เป็นคนธรรมดา และคันธนูสีเงินก็ไม่ใช่ของธรรมดา

เขาวางธนูเขี้ยวหมาป่ายี่สิบดอกไว้ข้างหน้า แล้วดึงธนูดอกหนึ่งขึ้นมาทาบกับสายธนู เขาไม่รีบง้างสาย แต่ยังคงจ้องมองลงไปยังเส้นทางบนภูเขา

แสงจันทร์สลัวราง เสียงเกือกม้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากระยะไกล

ตำแหน่งยอดเขาหินที่หลี่มู่อยู่ห่างจากทางแยกฮั่นประมาณสามสิบจั้ง ด้วยความสูงระดับนี้ ต่อให้จอมยุทธ์ขั้นรวมจิตทั่วไปจะโคจรพลังไปที่สายตา ก็ยากที่จะมองเห็นชัดเจนภายใต้แสงจันทร์

แต่เพราะ ‘พลังก่อนกำเนิด’ ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลี่มู่พัฒนา ดวงตาทั้งสองเป็นเหมือนกล้องจุลทรรศน์กำลังสูง ม่านตาหดตัวและขยายออกประหนึ่งปรับสายตาได้ด้วยตนเอง หลังจากปรับระยะได้ ไม่นานเขาก็มองเห็นทุกสิ่งบนทางภูเขาที่ไกลออกไปหลายสิบจั้งได้อย่างชัดเจน

เส้นทางบนภูเขา ทหารม้าโลหิตจำนวนสี่ร้อยนายห้อทะยานเข้ามาอย่างดุดันราวกับโลหิตมาร

ไม่ว่าจะไปทางไหนฝุ่นก็ตลบคลุ้ง เหล่าปักษาตกใจบินหนีไปนับไม่ถ้วน

“ไม่น่าแปลก…” หลี่มู่เห็นฉากนี้ก็พยักหน้าคล้ายขบคิดบางอย่าง

ผู้คนในค่ายลมโชยมาถึงทางแยกฮั่นเร็วกว่าเวลาที่เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงคาดไว้ ที่แท้เป็นเพราะฝั่งนั้นรีบควบม้าวิ่งอย่างบ้าคลั่ง บนทางภูเขาใต้แสงจันทร์เช่นนี้ ม้าศึกที่วิ่งทะยานสะดุดได้ง่ายดายนัก เมื่อไม่ควบคุมให้ดีก็สามารถเกิด ‘อุบัติเหตุ’ ซึ่งทำให้ม้าและคนขี่ได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนอู่เปียวจะบ้าระห่ำกว่าที่เด็กชายรับใช้บัณฑิตคิดไว้

ทหารม้าโลหิตวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง

‘นั่นน่าจะเป็น ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียว’ ดวงตาของหลี่มู่จ้องมองชายดาบแดงดั่งหอคอยเหล็กที่อยู่ด้านหน้าสุด แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง แต่ชั่วขณะที่เห็นรูปลักษณ์คนผู้นี้เขาก็ยังรู้สึกกดดัน

หากอธิบายเป็นคำพูดตามนิยายกำลังภายในบนโลกมนุษย์ก็คือ รู้สึกถึงแรงดึงดูดพลังชีวิตที่น่ากลัวดั่งเช่นสนามแม่เหล็ก

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้หลี่มู่ยิ่งกว่าคือ สัตว์พาหนะของอู่เปียวไม่ได้เป็นม้าศึก แต่เป็นเสือดำอสุรกายที่ดุร้ายและมีขนาดใหญ่กว่าม้าศึก

เสือดำประหลาดตัวนี้ถึงระดับสองแล้ว ขนสีดำของมันมีจุดสีส้มเหมือนดอกเบญจมาศบาน มีความสูงหกฉื่อ ยาวราวสิบสองฉื่อ แข็งแกร่งจนถึงขีดสุด มันสวมใส่ชุดเกราะสัตว์ธรรมดา แบกชายที่แข็งแกร่งอย่างอู่เปียว นอกจากนี้ยังมีดาบยักษ์สีเลือดยาวหกฉื่อ ทว่ายังวิ่งห้อราวกับบินได้ รวดเร็วและว่องไวกว่าม้าศึกชั้นยอดของทหารม้าโลหิตด้วยซ้ำ

‘เจ๋ง! ถ้ามาด้วยการขี่เสือดำแบบนี้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของโลกมนุษย์ ก็เป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามดี’

ดวงตาของหลี่มู่เป็นประกาย

เขาไม่เคยคิดเลยว่าในดวงดาวแห่งนี้จะมีคนเอาเสือดำชนิดนี้มาเป็นพาหนะด้วย เหมือนกับการเปิดประตูสู่โลกใหม่ขึ้นในใจหลี่มู่โดยแท้ หากขี่เสือดำได้ เช่นนั้นก็สามารถขี่สิงโต สัตว์เลื้อยคลาน หรือมังกรวารีได้อย่างนั้นหรือ?

เขาตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

ทันทีที่ตื่นเต้นก็ลืมความกลัวไปเสียหมด

หลี่มู่คำนวณระยะทางเสร็จก็ยกแขนง้างคันธนู สูดหายใจเข้าลึกๆ ลูกศรเขี้ยวหมาป่าดอกแรกเล็งไปยังชายขี่เสือดำเบญจมาศที่อยู่ด้านหน้าสุดของกองกำลังทหารม้าโลหิต

………………………………….

[1] ซิ่วไฉ หมายถึงมีความสามารถโดดเด่น เป็นชื่อตำแหน่งเมื่อสอบผ่านเข้ารับราชการในระดับต่ำที่สุด