ตอนที่ 67 เป็นสาวใช้ห้องเชื่อมติดกันกับเจ้าใช่หรือไม่

ปฏิญญาค่าแค้น

ภายในห้องของฮานชิวเยว่ แม่เจียงคอยบีบนวดแข่งขาของหมิงจูที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ขณะเดียวกันหมิงจูยังคงร้องไห้อย่างสาหัสสากรรพลางเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา “ทำมาเป็นพูดว่าข้ามิใช่สมาชิกครอบครัวตระกูลหลี่จึงไม่มีสิทธิ์คุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษ เลยให้ข้าไปนั่งคุกเข่าที่ลานบ้าน บรรดาข้ารับใช้ต่างเดินไปมาให้ขวักไขว่ ทำให้ข้าอับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว…ต่างก็เกิดจากพ่อเดียวกันแท้ๆ เขามีสิทธิ์อะไรถึงได้ไม่ไว้หน้าข้าเช่นนี้…หากข้าได้เป็นบุตรคนที่สามอย่างชอบธรรม ข้าก็คงไม่ต้องเผชิญกับความอับอายขายหน้าเช่นนี้….” 

 

 

แม่เจียงเผยสีหน้าที่เปลี่ยนไป ก่อนจะสะกดเสียงต่ำเอ่ยตักเตือนออกไป “คุณหนูเด็กดีของข้า ประโยคเยี่ยงนี้อย่าได้กล้าเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอีกเชียวเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวขึ้นภายใต้สีหน้าและเนื้อเสียงเย็นชา “เจ้ายังรู้จักตัวตนของตนเองอยู่อีกหรือ ข้าคิดว่าเจ้าจะลืมเลือนไปหมดแล้วเสียอีก!” 

 

 

หมิงจูมองเห็นนัยน์ตาของท่านแม่ซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แล้วดวงตาของนางก็เริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีใสด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ สะอึกสะอื้นจนเรือนร่างกระตุกเล็กน้อย ทว่ากลับไม่กล้าปริปากโต้แย้งใดๆ 

 

 

“เจ้าช่วยเข้าใจอะไรไว้เสียหน่อยนะ อย่าคิดว่าการได้เป็นบุตรคนที่สามอย่างชอบธรรมแล้วเจ้าก็จะมีสถานะสูงส่งขึ้นมาได้ทันที หากตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผยขึ้นมาล่ะก็ พวกเราทั้งครอบครัวได้จบเห่แน่” ฮานชิวเยว่แทบจะกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมาด้วยอารมณ์โกรธ 

 

 

บรรยากาศภายในห้องขณะนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด ธูปในกระถางธูปถูกเผาไหม้จนมอดไหม้ หลงเหลือไว้เพียงควันหมอกจางๆ ขณะเดียวกันเสียงสะอื้นของหมิงจูก็ค่อยๆ เลือนหายไป นางก้มหน้าก้มตาลงพลางบิดม้วนผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยความเจ็บปวดในหัวใจที่ทวีเพิ่มยิ่งขึ้น 

 

 

ฮานชิวเยว่เห็นลักษณะอันน่าเวทนานี้ของนาง สุดท้ายก็อดไม่ได้ จึงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “ตอนนี้ สิ่งที่เจ้าขาดก็เพียงแค่สถานะตัวตนเท่านั้น ในส่วนอื่นๆ มีอะไรบ้างหรือที่ไม่เทียบเท่ากับบุตรสาวชอบธรรมเฉกเช่นตระกูลอื่นเขา รอเจ้าถึงวัยที่เหมาะสม แม่จะช่วยเลือกคู่ครองที่คู่ควรให้แก่เจ้า ทำให้เจ้าได้แต่งงานอย่างสง่างามแล้วได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตลอดไป หมิงจู ฟังแม่นะ หลังจากนี้อย่าได้ก่อกวนพี่รองของเจ้าอีก ในบ้านหลังนี้ สิ่งที่เราต้องระมัดระวังให้มากที่สุดก็คือเขา วันนี้เจ้าเองก็เห็นแล้วหนิ ท่านพ่อของเจ้าตั้งใจจะเชื่อมความสัมพันธ์กับเขาให้ดีขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจักต้องรู้จักอดทนอดกลั้นต่อเขา กระทั่งแม่ยังยอมลดราวาศอกกับเขาเลย ในสถานการณ์เช่นนี้หากเจ้ายั่วโมโหเขากจะเท่ากับเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองเปล่าๆ ” 

 

 

หมิงจูเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “เช่นนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ต้องคอยสังเกตอารมณ์ของเขางั้นหรือ” 

 

 

ดวงตาของฮานชิวเยว่หรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะฉายแววแห่งความกระจ่างแจ้งและครุ่นคิดคำนวณ 

 

 

“เรื่องนี้…แม่มีความคิดของแม่ ขอเพียงเจ้าอย่าได้เพิ่มภาระวุ่นวายให้แก่ข้า อย่าได้ก่อเรื่องเฉกเช่นวันนี้ที่ทุกคนไม่ทันได้ตระเตรียมรับมือขึ้นมาอีกก็เป็นพอ” ฮานชิวเยว่กล่าวตักเตือนอย่างจริงจัง 

 

 

หมิงจูได้แต่พยักหน้าตอบรับทั้งน้ำตา 

 

 

เมื่อฮานชิวเยว่เห็นว่านางรับฟังได้อย่างเข้าใจเสียที จึงรู้สึกอุ่นใจขึ้น ก่อนจะหันไปสั่งการ “แม่เจียง สั่งคนให้พาคุณหนูส่งกลับห้อง แล้วเชิญหมอมาตรวจดูอาการเสียหน่อยด้วย” 

 

 

หลังจากนั้นแม่เจียงจึงเรียกสาวรับใช้จำนวนหนึ่งใช้เกี้ยวแบกหมิงจูส่งกลับไป 

 

 

แม่เถียนหอบเอาเรื่องราวกลับมาการรายงานพร้อมสีหน้าบึ้งตึง หลังจากหมิงจูเพิ่งออกไป 

 

 

ไม่ง่ายเลยที่ฮานชิวเยว่จะสยบอารมณ์โกรธกริ้วเอาไว้ได้ แต่ก็ถูกแม่เถียนจุดประกายไฟขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำบอกเหล่าดังกล่าว นางวางฝาถ้วยน้ำชากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง “ข้าให้เจ้าไปดูแลเรื่องภายใน เจ้ากลับกล้าดีให้คนไปดูแลเรื่องเก็บกวาดทำความสะอาดเสียนี่ งามหน้าเสียจริง” 

 

 

แม่เถียนถึงกับตัวสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก 

 

 

แม่เจียงเอ่ยถาม “เจ้าไม่ได้เอ่ยเจตจำนงการมาอย่างชัดเจนกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรอกหรือ” 

 

 

แม่เถียนรีบตอบทันควัน “เอ่ยสิ จะไม่เอ่ยได้อย่างไรกันเล่า ข้าเอ่ยเจตจำนงการมาไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่เข้าไปเยือน แต่ก็ไม่รู้ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ หรือเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวกันแน่ นางบอกว่าเรือนหลั้วเซี๋ยจายไม่มีห้องเก็บทรัพย์สินล้ำค่า จึงดึงดันที่จะให้ข้าดูแลเรื่องเก็บกวาดทำความสะอาด และให้ซูอวิ๋นกับซูฟางไปปัดกวาดลานบ้าน” 

 

 

แม่เจียงกับแม่เถียนมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด เมื่อเห็นนางตกระกำลำบาก และเห็นฮูหยินมีสีหน้าเคร่งเครียด เลยมีความตั้งใจช่วยเหลือแม่เถียนให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ครั้งนี้ จึงเอ่ยปากขึ้น “ข้าว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านนี้มิใช่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจดีทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว แสร้งทำเป็นอ่อนแอให้เราตายใจแล้วแว้งกลับมาเล่นงาน” 

 

 

แม่เถียนใช้โอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจโดยการเอ่ยถึงผู้อื่น “ยังมีแม่โจวที่ตระกูลเยี่ยส่งมาอีกคน เข้ากับเอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นปลี่เป็นขลุ่ยทีเดียวเชียว ไม่เห็นฮูหยินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ดูท่าแล้วเอ้อร์เส้าหน่ายนายคงให้แม่โจวเป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องภายในของเรือนหลั้วเซี๋ยจายแล้วล่ะ” 

 

 

แม่เจียงกล่าว “จวนหลี่ของพวกเราก็มิใช่ว่าขาดกำลังคน แล้วเหตุใดตระกูลเยี่ยต้องส่งคนมาด้วย หรือว่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่” 

 

 

ฮานชิวเยว่ตกอยู่ในสภาวะร้อนรนกังวลใจ ลำพังหมิงอวินผู้เดียวก็เล่นงานจนนางปวดหัวแทบแย่ ตอนนี้ยังมีหลินหลันเพิ่มขึ้นมาอีกคน เมื่อนางนึกย้อยกลับไปถึงการแสดงทีท่าต่างๆ นาในครั้งก่อนที่หนิงเฮ๋อถาง ภายในใจของฮานซิวเยว่ก็เต็มไปด้วยความกังวลใจ หญิงสาวชาวบ้านผู้นี้อาจเป็นผู้ที่มีความสามารถในระดับหนึ่งและรอบรู้เรื่องราวศึกภายในบ้านเช่นนั้นหรือ มองดูนางเป็นคนมีมรรยาท อ่อนโยนและมีคุณธรรม ทว่าในทุกคำพูดและทุกประโยคที่หลุดออกมาล้วนเอื้ออำนวยต่อหลี่หมิงอวินให้ดึงมาใช้เป็นข้ออ้างก่อปัญหาขึ้นทั้งนั้น เพลานี้ก็เสแสร้งทำเป็นโง่เขลาและใช้เพียงไม่กี่คำพูดเล่นงานแม่เถียน……ฮานชิวเยว่ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง ดูเหมือนว่านี้ครั้งนี้นางจะประมาทเกินไปเสียแล้วจึงพลั้งพลาดไปจนได้ ทว่านางไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะไม่อาจกำราบหญิงสาวชาวบ้านผู้นั้นได้ 

 

 

“แม่โจวเป็นคนเก่าแก่ของตระกูลเยี่ย คอยติดตามนายหญิงชราแห่งตระกูลเยี่ยตั้งแต่เยาว์วัยขึ้นเหนือล่องใต้ไปด้วยกันเสมอ จึงพอมีประสบการณ์และกลวิธีต่างๆ อยู่บ้าง การที่ตระกูลเยี่ยส่งนางมาก็เพื่อเป็นการขัดขวางพวกเรา หลังจากนี้พวกเราจะต้องระมัดระวังตัวไว้หน่อย อย่าได้วางใจอะไรง่ายๆ อีก” ฮานชิวเยว่เผยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“ลำพังนางหญิงชราผู้หนึ่งจะไปมีปัญญาทำอะไรได้เจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวอย่างดูถูก 

 

 

ฮานชิวเยว่แสยะยิ้ม “นางหญิงชราผู้หนึ่งแน่นอนว่าไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก ทว่าเบื้องหลังของนางคือทั้งตระกูลเยี่ยน่ะสิ” 

 

 

เหตุใดทันทีที่เยี่ยซินเหว่ยเสียชีวิตไป นายใหญ่แห่งตระกูลเยี่ยก็ริเริ่มเข้ามาขยายกิจการในเมืองหลวง นี่เป็นเพียงการมุ่งหวังเรื่องกิจการค้าขายเท่านั้นหรือ หลายครั้งที่เหล่าเหยียร้องขอเข้าพบ ทว่ากลับถูกบอกปัดอย่างไร้เยื่อใยอยู่ร่ำไป นั่นหมายความว่าความเคียดแค้นในใจของพวกเขาไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว การกลับมาของหมิงอวินครั้งนี้ ตระกูลเยี่ยทุ่มทุนลงเงินและลงแรงคน ตระกูลเยี่ยคิดทำการใดอยู่กันแน่? ในส่วนที่หมิงอวินคิดทำการใดอยู่นั้น ในใจของนางรู้ชัดแจ่มแจ้งเป็นอย่างดี แต่ในเมื่อหลี่หมิงอวินเป็นบุตรชายร่วมสายเลือดแท้ๆ ของเหล่าเหยีย เขาจึงไม่อะไรนักหนากับผู้เป็นพ่อของเขา จะมีก็แต่พุ่งตรงมาเพียงนางเท่านั้น ฮานชิวเยว่รู้สึกวิตกกังวลและหวาดกลัว หากหลี่หมิงอวินผ่านการสอบคัดเลือกจักรวรรดิ นางเกรงว่าจะยิ่งก่อความยากลำบากเข้าไปใหญ่ ไม่ได้การล่ะ เรื่องนี้สำคัญยิ่ง จักต้องรีบคิดหาวิธีการให้โดยเร็วที่สุด 

 

 

แม่เจียงสงบปากภายใต้อารมณ์หงุดหงิด ตระกูลเยี่ยแล้วยังไงหรือ ก็แค่ครอบครัวพ่อค้าแม่ขายเท่านั้น จะไปมีเงินทองมากมายสักเท่าไหร่ เหล่าเหยียเป็นถึงขุนนางหลวงระดับสอง ขณะที่ฮูหยินก็เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งพิเศษระดับสี่ แล้วยังจะต้องเกรงกลัวพวกเขาอีกหรือ 

 

 

แม่เถียนเอ่ยถามพึมพำอย่างระมัดระวัง “ฮูหยิน เช่นนั้น…ข้าน้อย…” 

 

 

ฮานชิวเยว่ลำดับความคิดอย่างว่องไว แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าก็อยู่ที่นั่นไปก่อนแล้วกัน คอยจับตาสอดส่องสถานการณ์ความเคลื่อนไหวที่นั่นแล้วมารายงานข้า ในส่วนค่าแรง…ระยะเวลาที่เจ้าอยู่เรือนหลั้วเซี๋ยจาย ในแต่ละเดือนให้เจ้าเพิ่มเป็นสามเท่า” 

 

 

แม่เถียนเป็นกังวลในคราแรกที่ได้ยินว่าจะต้องดูแลเรื่องเก็บกวาดความสะอาดที่นั่นจริงๆ ทว่าหลังจากได้ยินว่าให้เงินเพิ่ม ในใจของแม่เถียนก็สงบลงเป็นอย่างมาก 

 

 

“เงินนี้มิใช่ว่าให้เจ้าโดยไม่ต้องทำอะไรหรอกนะ หากเจ้าทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องได้ราว…ตำแหน่งผู้ดูแลห้องคลังทรัพย์สินทันทีที่ไร้คนทำหน้าที่ ก็มีคนคอยจับจ้องกันอยู่ไม่น้อยทีเดียวเชียว” ฮานชิวเยว่เผยสีหน้าไม่พึงพอใจ แม่เถียนซึ่งอยู่ข้างๆ นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นและความประหม่าตื่นตัวก็ลดลงอย่างมาก หากไม่ใส่ความกดดันให้นางเสียหน่อย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางก็คงจุดไม่ติดขึ้นมาได้ 

 

 

แม่เถียนสรุปอย่างสั้นง่ายได้ใจความว่า การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นการรักษาไว้ซึ่งเส้นทางอนาคตของตนเอง แม่เถียนจึงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องทุ่มเทสุดพละกำลังทั้งหมดเท่าที่มี 

 

 

ในเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลังผ่านการจัดสถานที่ต่างๆ โดยแม่โจวเป็นผู้ชี้แนะ ในชั่วพริบตาทุกคนก็จัดวางสิ่งต่างๆ เข้าที่เข้าทางได้อย่างเรียบร้อย 

 

 

จิ่นซิ่วเข้ามาให้การรายงาน โดยกล่าวว่าแม่เถียนเพิ่งออกไปจากเรือนหลั้วเซี๋ยจาย 

 

 

แม่โจวกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแสดงท่าทีเสียดสี “คงไปเรือนฮูหยินนั่นแล้วเป็นแน่ ช่างเถอะ พวกเราก็ห้ามอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ปล่อยนางไป คอยจับตาดูภายในห้องไว้ให้ดีก็เป็นพอ เรื่องที่ไม่ควรให้พวกนางรับรู้ก็อย่าได้แพร่งพรายออกไปแม้เพียงนิดเดียว” 

 

 

จิ่นซิ่วรับทราบ “ข้าจะจับตามองพวกนางเอาไว้เจ้าค่ะ” 

 

 

แม่โจวพยักหน้าอย่างชื่นชม เป็นสาวใช้ที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่งจริงๆ  

 

 

ภายในห้อง หลี่หมิงอวินบอกกล่าวหลินหลันเกี่ยวกับเรื่องการเรียนเชิญแขกเหรื่อ “สหายเก่าที่ดีในเมืองหลวง ข้าจำเป็นต้องไปเรียนเชิญด้วยตนเอง” 

 

 

หลินหลันนำสมบัติของนางวางเก็บทีละชิ้น ทีละชิ้น พลางกล่าวอย่างสบายอกสบายใจ “เช่นนั้นก็ไปสิ! เป็นเรื่องซึ่งสมควรกระทำอยู่แล้วนี่” 

 

 

หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขามองนางพร้อมคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน “เรียบง่ายเช่นนี้ ในใจของเจ้าจะไม่รู้สึกไม่พึงพอใจหรอกหรือ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยความอ่อนใจ “แล้วจะให้ทำอย่างไรได้อีก ท่านพ่อของเจ้าก็พูดไว้ชัดเจนแล้ว และเจ้ายังบอกต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าไม่สนใจพิธีรีตองโอ้อวดเหล่านี้ด้วย หากข้าพูดว่าไม่ได้ก็คงเป็นการสายเกินไปเสียแล้ว” 

 

 

“เช่นนี้เป็นการไม่ไว้หน้าเจ้าเกินไปเสียแล้ว” หลี่หมิงอวินเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจ นัยน์ตาของเขาแฝงเอาไว้ซึ่งคำขอโทษ 

 

 

หลินหลันเหล่สายตามองเขา พลางกล่าวทีเล่นทีจริง “ไม่ใช่ว่าพวกเราแต่งงานกันจริงๆ เสียหน่อย หากเป็นการแต่งงานจริงๆ แน่นอนว่าข้าคงไม่ยินยอมเป็นแน่ ดังนั้นในตอนนี้น่ะ…จะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น” 

 

 

หลี่หมิงอวินก้มหน้าลงพลางให้ความสนใจกับพัดในมือของเขา เนิ่นนานพอตัวที่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ หลุดออกมา 

 

 

เมื่อเห็นเขาตกอยู่ในท่าทีอย่างคนสำนึกผิด หลินหลันจึงปิดฝากล่องขนาดเล็กลงแล้วเอ่ยพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของแม่เถียน “ข้าให้นางไปดูแลเรื่องเก็บกวาดทำความสะอาดน่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินเงยหน้าขึ้นและตามด้วยรอยยิ้มเล็กๆ “เยี่ยมมาก เรื่องภายในบ้านเจ้าจัดการได้เต็มที่ หากมีปัญหาอะไรข้ารับผิดชอบเอง” เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เจ้าอย่าประเมินแม่เถียนต่ำไปเชียว อีกทั้งการที่แม่มดชรานั่นได้รับข่าวสารไป เกรงว่าจะส่งผลให้นางมองเจ้าในทิศทางที่เปลี่ยนไป” 

 

 

“เรื่องนี้ข้าเตรียมใจไว้แล้ว ถึงอย่างไรการตัดไฟแต่ต้นลมก็ยังดีกว่าเสมอ ข้ารับมือได้หรอกน่า” หลินหลันไม่อาจประมาทต่อใครหน้าไหนทั้งสิ้น ตัวหมากรุกทุกตัวล้วนมีประโยชน์ของมัน ต่อให้เป็นเพียงเบี้ยเล็กๆ ก็ตาม การต่อสู้ในจวนหลังใหญ่โตแห่งนี้เพียงแค่ต้องอดกลั้น รอบครอบและโหดเหี้ยมเข้าไว้ แม่มดชราพยายามอย่างหนักเพื่อบ้านหลังนี้ตลอดสามปีที่ผ่านมา แล้วจู่ๆ ก็มีมารพจนโผล่เข้ามาเสียนี่ แน่นอนว่าผู้เดือนเนื้อร้อนใจที่สุดมิใช่หลินหลันแต่อย่างใด 

 

 

ขณะสนทนากันอยู่นั้น ป๋ายฮุ่ยซึ่งอยู่ด้านนอกแสดงความประสงค์ขอเข้าพบ 

 

 

นี่เป็นกฎระเบียนใหม่ที่ตั้งขึ้นโดยหลินหลัน เมื่อนางกับเส้าเหยียกำลังสนทนากันอยู่นั้น ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้ตามอำเภอใจ หากมีเรื่องอันใดก็ต้องตะโกนเข้ามาบอกกล่าวเสียก่อน เรื่องการแต่งงานจอมปลอมนี่ ยิ่งน้อยคนรู้ยิ่งเป็นการดี 

 

 

“เข้ามาสิ!” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยเข้ามาและให้การคาราวะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ทางหนิงเฮ๋อถางแจ้งมาว่า ด้วยเอ้อร์เส้าหน่ายนายบาดเจ็บที่ขา ดังนั้นในระยะนี้จึงไม่ต้องไปฉิ่งอาน [1] แล้วเจ้าค่ะ โดยให้รอจนหายดีเมื่อใดค่อยไปเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าในตระกูลสูงศักดิ์ให้ความสำคัญกับการน้อมทักทายเช้าและค่ำเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทว่าสามารถยืดระยะเวลาออกไปหน่อยก็ดีอยู่เหมือนกัน 

 

 

“เข้าใจแล้ว” หลินหลันฉีกยิ้มบางๆ 

 

 

เมื่อป๋ายฮุ่ยรายงานจบ ทว่านางยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิมภายใต้ทีท่าราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง 

 

 

หลินหลันเอ่ยถาม “ยังมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 

 

 

ป๋ายฮุ่ยมองไปยังคุณชายรอง ริมฝีปากของนางเม้มเข้าหากันเสมือนกำลังรวบรวมความกล้าครั้งยิ่งใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้น “อีกไม่นานเอ้อร์เส้าเหยียก็ต้องเข้าร่วมการสอบจักรวรรดิแล้ว ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นข้ากับจื่อโม่ที่คอยให้การปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียขณะอ่านตำรา ข้าน้อยเกรงว่าจิ่นซิ่วกับเฉี่ยวโหรวจะทำหน้าที่นี้ไม่ได้ดีเท่าที่ควรเจ้าค่ะ……” 

 

 

เนื้อเสียงของนางค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ 

 

 

เดิมทีนี่ก็เป็นคำขอที่ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่หรอก ทว่าสีหน้าท่าทางของป๋ายฮุ่ยดูไม่เป็นปกติเอาเสียเลย หลินหลันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันผิดปกติตรงไหน รู้สึกก็แต่ป๋ายฮุ่ยใจไม่กว้างมากพอ ซึ่งมันช่างแตกต่างจากท่าทีเฉลียวฉลาดและมีความสามารถในการจัดการเรื่องที่ลานบ้านในก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ 

 

 

เมื่อเห็นว่านายหญิงน้อยไม่เอ่ยตอบ ป๋ายฮุ่ยจึงรีบอธิบาย “แค่ระยะนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ รอจนการสอบจักรวรรดิของเอ้อร์เส้าเหยียผ่านไปแล้ว……” 

 

 

หลี่หมิงอวินซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ไม่ต้องหรอก เอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งจะมาจึงยังมีอีกหลายเรื่องที่จำเป็นให้เจ้าคอยช่วยเหลือ เจ้าคอยให้การปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะดีกว่า!” 

 

 

เนิ่นนานพอตัวกว่าป๋ายฮุ่ยจะขานรับ “เจ้าค่ะ…เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันรอจนกระทั่งบานประตูปิดสนิทลง แล้วจึงจับจ้องไปยังหลี่หมิงอวินอย่างไม่ลดละภายใต้นัยน์ตาแห่งความสงสัย 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวพลางยิ้มเยาะ “เหตุใดจึงจ้องมองข้าเช่นนี้” 

 

 

“เจ้าบอกความจริงมาเสียดีๆ ป๋ายฮุ่ยเป็นสาวใช้ห้องเชื่อมติดกัน [2] กับเจ้าใช่หรือไม่” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ฉิ่งอาน (请安) คือธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแมนจู เป็นการน้อมทักทาย โดยตอนเช้าเรียกว่า ฉิ่งจ่าวอาน (请早安) คือ อรุณสวัสด์ และตอนค่ำคือ ฉิ่งหว่านอาน (请晚安) คือ ราตรีสวัสดิ์ 

 

 

[2] สาวใช้ห้องเชื่อมติดกัน (通房丫头) ในที่นี้หมายถึง สาวใช้ที่เป็นเสมือนนางบำเรอ คอยให้การปรนนิบัติอย่างถึงเนื้อถึงตัว แต่ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เรียกว่านางบำเรอ โดยพักอาศัยอยู่ในห้องข้างๆ ที่ไปมาหาสู่กันได้โดยตรง