บทที่ 169 กระโจนทับปีศาจร้าย / บทที่ 170 ใจกว้างเหมือนฮองเฮา

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 169 กระโจนทับปีศาจร้าย

 

 

เยี่ยหวันหวั่นปล่อยผมยาวสลวย สวมชุดเดรสสีขาวทั้งตัว ตบหน้าตัวเองสองสามที เข้าสู่โหมดกระต่ายขาวตัวน้อย

 

 

เธอเพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ ประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก สวี่อี้รีบก้าวลงรถ ช่วยเปิดประตูเบาะหลังให้เธอ ขณะเดียวกันอดความประหลาดใจไว้ไม่ไหวจนมองเธอหลายครา

 

 

แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นสภาพเธอหลังลบเครื่องสำอางค์แล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นก็ยังรู้สึกอัศจรรย์ใจ

 

 

ที่นั่งเบาะหลัง ซือเยี่ยหานกำลังยุ่งอยู่ ตรงหน้ามีโน๊ตบุ๊ควางไว้ สวมชุดหูฟังบลูทูธ คล้ายกับกำลังมีการประชุมผ่านวิดีโอคอล

 

 

ไม่รู้เป็นเพราะเนื้อหาในการประชุมไม่ค่อยราบลื่นหรือเปล่า สีหน้าของซือเยี่ยหานจึงดูไม่ค่อยดีเท่าไร มีความหงุดหงิดจางๆ ปรากฎอยู่ระหว่างหัวคิ้ว รัศมีไม่น่าเข้าใกล้แผ่ซ่านโดยรอบ

 

 

เยี่ยหวันหวั่นไม่กล้าไปกวนเขา จึงนั่งเรียบร้อยอยู่ในมุมด้านข้าง พยายามลดความมีตัวตนลงให้น้อยที่สุด

 

 

ระหว่างที่เธอเงยหน้าขึ้นโดยบังเอิญ เธอก็พบว่าวันนี้บนรถนอกจากสวี่อี้แล้ว ที่นั่งข้างคนขับยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย

 

 

ชายหนุ่มสวมชุดสีดำเหมือนเช่นเคย ผมสั้นเรียบร้อย ใบหน้าแหลมคมเหมือนดั่งอาวุธมีคม

 

 

เป็นลูกน้องมือดีที่เก่งกาจที่สุดของซือเยี่ยหาน หลิวอิ่ง ครั้งก่อนเคยเจอกันแล้วที่สวนจิ่นหยวน

 

 

ตอนที่เยี่ยหวันหวั่นเงยหน้าขึ้น บังเอิญมองสบสายตาของหลิวอิ่งที่มองผ่านกระจกมองหลังพอดี ยังเป็นสายตาเยาะเย้ยและดูหมิ่นเหมือนเคย

 

 

สำหรับสายตาแบบนี้ เยี่ยหวันหวั่นชินชาเสียแล้ว ลูกน้องและคนที่อยู่ข้างกายซือเยี่ยหานต่างเห็นเธอเป็นนางสนมล่มเมืองอย่างเปาซื่อ [1] และต๋าจี่ [2]

 

 

สิ่งเดียวที่ต่างไปจากชาติอดีตก็คือ ชาตินี้เธอคืนสู่รูปลักษณ์เดิม ยิ่งสอดคล้องกับหายนะนารีเป็นเหตุของเธออีก และยิ่งดึงดูดความเกลียดชังมากขึ้นด้วย

 

 

แม้ว่าเธอจะชินชาไปนานแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องยอมรับทั้งหมดเหมือนชาติที่แล้ว

 

 

สายตาของผู้ชายคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ !

 

 

หึหึ ในใจคงจะกำลังแอบด่าว่าเธอเป็นนังจิ้งจอก เป็นยัยปีศาจไม่รู้กี่รอบแล้วสินะ?

 

 

แม่เจ้า เจ้านายของนายเป็นคนบังคับฝืนใจผู้หญิงเขามาชัดๆ? มีเหตุผลบ้างหรือเปล่าห๊ะ!

 

 

หากว่าเธอไม่ได้เป็นตามข้อกล่าวหานี้ ไม่เท่ากับเสียเปรียบเกินไปหน่อยเหรอ?

 

 

เยี่ยหวันหวั่นชำเลืองมองซือเยี่ยหานที่อยู่ข้างกาย

 

 

ชายหนุ่มกำลังคุยกับผู้บริหารระดับสูงผ่านวิดีโอคอลด้วยสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง ริมฝีปากบางกำลังพ่นคำศัพท์ไม่คุ้นเคยที่เธอฟังไม่ออกเลยสักคำ

 

 

หลิวอิ่งเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องมองซือเยี่ยหาน สายตาแฝงการแจ้งเตือนและดูถูกมากขึ้นอีก

 

 

เยี่ยหวันหวั่นโค้งมุมปากอย่างมีเลศนัย วินาทีถัดมา เธอก็พุ่งตัวไปที่ซือเยี่ยหานอย่างกะทันหัน

 

 

ซือเยี่ยหานไม่ได้เตรียมป้องกัน ก็โดนเธอกระโจนแนบกายแบบนี้

 

 

คิ้วกระบี่ของชายหนุ่มยกขึ้น กำลังจะเอ่ยปาก กลับถูกความหวานและนุ่มนวลประกบลงไป….

 

 

ซือเยี่ยหานอึ้งตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาลึกล้ำหมุนดำดิ่งลงไปเพียงพริบตา ราวกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่

 

 

นิ้วมือเรียวยาวพับปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คเสียงดังพรึ่บอย่างรวดเร็ว ตัดการมองเห็นจากปลายทาง

 

 

พวกผู้บริหารระดับสูงทั้งโต๊ะที่กำลังประชุมผ่านวิดีโอคอลต่างกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการประชุม ตาลายขึ้นมาทันที เหมือนว่าจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกระโจนรุกใส่ BOSS ของพวกเขา

 

 

กำลังอยากจะมองให้ชัดเจน หน้าจอใหญ่ก็ได้ดับไปแล้ว

 

 

ห๊า!

 

 

ผู้หญิง?

 

 

เมื่อครู่นี้ BOSS ของพวกเขาโดนผู้หญิงคนหนึ่งรุกเข้าใส่ขณะที่กำลังประชุมอยู่?!

 

 

และในเวลาเดียวกันนี้ หน้าของหลิวอิ่งดำคล้ำยิ่งกว่าหน้าจอเสียอีก

 

 

ดวงตาของชายหนุ่มคนนั้นถลึงกว้างเหมือนกระดิ่งวัว สองแก้มแดงเทือก หน้าตาตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อ โมโหจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ชัดเจนว่าตกตะลึงกับการกระทำไร้ยางอายของผู้หญิงอย่างเยี่ยหวันหวั่น

 

 

แม้ว่าสวี่อี้จะโดนโชว์หวานใส่คนโสดหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังเขินอายอยู่ดี รีบกดยกฉากกั้นตัดภาพด้านหลังไป

 

 

“เชอะ!” ชำเลืองหางตาไปเห็นหน้าเครียดราวกับก้นหม้อของหลิวอิ่ง เยี่ยหวันหวั่นถึงรู้สึกคลายโมโหลงได้บ้าง

 

 

เพียงแต่ หลังจากระบายความโมโหได้แล้ว เธอก็พบว่า เรื่องใหญ่แล้ว…

 

 

เยี่ยหวันหวั่นกระพริบตาแข็งทื่อ มองไปยังปีศาจร้ายที่ถูกเธอกระโจนทับ…

 

 

กระตุ้นต่อมปีศาจ…

 

 

เธอไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจริงๆ …

 

 

ถึงได้กล้ากระโจนทับซือเยี่ยหาน…

 

 

………………………………..

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 170 ใจกว้างเหมือนฮองเฮา

 

 

เสี้ยววินาที เยี่ยหวันหวั่นเหงื่อตก เธอช่างฆ่าศัตรูแปดร้อย ตัวเองเจ็บหนึ่งพันจริงๆ !

 

 

แต่ก็ช่วยไม่ได้ กระโจนรุกใส่แล้วก็คือกระโจนรุกใส่ ทำได้เพียงรุกต่อไป

 

 

เยี่ยหวันหวั่นเหมือนนางบำเรอที่ถูกปล่อยทิ้งนอนซบอยู่บนอกของชายหนุ่ม บ่นเสียงออดอ้อน “ฉันมาถึงตั้งนานแล้ว คุณไม่สนใจฉันเลย ของสิ่งนี้มีอะไรน่าดูนักเหรอ คุณถึงได้แต่จ้องมัน มันสวยกว่าฉันงั้นเหรอคะ? สรุปว่าฉันดูดี หรือว่ามันดูดีกันแน่?”

 

 

ช่างเป็นบทพูดมาตรฐานของนางยั่วจริงๆ

 

 

ในรถมีฉากปิดกั้นสายตาได้ แต่ไม่อาจกั้นเสียงได้ เดาว่าหลิวอิ่งได้ยินแบบนี้คงโมโหแทบตาย

 

 

เหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงกัดฟันจากด้านหน้ารถ

 

 

ความจริงเยี่ยหวันหวั่นก็เดาไม่ผิด

 

 

มีดสั้นที่หลิวอิ่งพกติดตัวพร้อมจะชักออกมาได้ทุกเมื่อ “ยัยปีศาจคนนี้!!!”

 

 

แม้แต่คำด่าก็ยังเหมือนกับที่เยี่ยหวันหวั่นคิดราวกับแกะ

 

 

สวี่อี้ป้องกันภัยขว้างเขาไว้ เอ่ยเตือนด้วยเสียงกดต่ำอย่างตื่นเต้นเป็นที่สุด “เบาหน่อย! นายไม่ได้รู้เรื่องนี้เป็นวันแรกสักหน่อย ทำไมถึงได้บุ่มบ่ามขนาดนี้! หากนายท่านได้ยินจะทำอย่างไร! อยากตายหรือไง?”

 

 

เห็นแต่ชายหนุ่มข้างสวี่อี้โกรธจนเส้นผมแทบลุกเป็นไฟ จะให้อดเอาไว้ได้อย่างไร “อยู่ดีๆ ช่วงนี้ผู้หญิงคนนี้ก็แปลกไป เห็นชัดว่ามีเจตนาไม่ดี ทำไมนายท่านถึงได้หลงงมงายแบบนี้ เตรียมรับมือสักนิดก็ไม่มี?”

 

 

สวี่อี้รีบกล่าวปลอบใจ “ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว จะไปก่อเรื่องอะไรได้ นายอย่าตื่นตูมเกินเหตุเลย!”

 

 

หลิวอิ่งแค่นหัวเราะด้วยความโมโห “เหอะ ก่อเรื่องอะไรได้เหรอ? เห็นชัดว่าเมื่อกี้นี้ผู้หญิงคนนั้นตั้งใจ! ตั้งใจทำให้ฉันเห็น! นี่เธอกำลังยุแยงให้แตกกัน! ยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณชายเก้า!”

 

 

“ยุให้แตกกันกับผีสิ? นายเลิกพูดเหมือนกับว่าเขาเป็นศัตรูหัวใจของนายสักทีได้ไหม? สงบสติอารมณ์หน่อย หากเขาเป็นนังมาร งั้นนายท่านของเราไม่ใช่พญามารหรอกเหรอ? นายเห็นนายท่านเป็นคนแบบไหน?” สวี่อี้เอ่ยพูด

 

 

ได้ยินประโยคนี้ หลิวอิ่งถึงได้สงบสติอารมณ์ลงมาบ้าง

 

 

เพราะอย่างไรแล้วในใจของเขา ซือเยี่ยหานเป็นดั่งเทพที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จะเป็นพญามารได้อย่างไร!

 

 

ต่อมา วินาทีที่สวี่อี้เพิ่งจะพูดจบลงไป คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่มดังมาถึงข้างหน้า “เธอดูดี”

 

 

หลิวอิ่ง: “…”

 

 

สวี่อี้: “…”

 

 

เพียงแต่เวลานี้เยี่ยหวันหวั่นยังไม่ยอมหยุด คงจะเห็นว่าซือเยี่ยหานไม่ได้โกรธ ความกล้าของเธอจึงขยายใหญ่ขึ้นอีก

 

 

เยี่ยหวันหวั่นปรายตามองไปทางหน้ารถ ฮึมฮัมเอ่ยถามซือเยี่ยหานต่ออีกว่า “ถ้าหากวันหนึ่ง…ฉันกับหลิวอิ่งตกน้ำไปพร้อมกัน คุณจะช่วยใครก่อน?”

 

 

หลิวอิ่ง: “…”

 

 

สวี่อี้: “…”

 

 

นี่มันเรียกว่าคำถามอะไรกัน? เขาแทบอยากจะคุกเข่ายอมใจกับเยี่ยหวันหวั่นแล้ว!

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่า เวลาที่ผู้หญิงคนนี้เริ่มทำตัวว่าง่าย จะน่ากลัวยิ่งกว่าเวลาที่เธอขัดขืนสร้างความเดือดร้อนอีก!

 

 

อากาศหยุดชะงัก หลังจากความเงียบผ่านไป ก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้นมาถึงด้านหน้า “ช่วยเธอ”

 

 

หลิวอิ่ง: “…” มีดฉันล่ะ!

 

 

สวี่อี้: “…”

 

 

เวลานี้เอง สีหน้าของหลิวอิ่งไม่ต่างไปจากนางร้ายเลยสักนิด สวี่อี้แทบจะเห็นรังสีความโกรธแค้นสีดำลอยพุ่งขึ้นมาเหนือศีรษะของเขา

 

 

กลัวว่าเขาจะสติหลุดวิ่งไปฆ่าเยี่ยหวันหวั่นจริงๆ สวี่อี้รีบเอ่ยเตือนสติดับเพลิงไหม้ที่กำลังเผาวอดวาย “หลิวอิ่ง! วางมีดลง! ใจเย็นหน่อย! นายท่านยังรักนายอยู่นะ! ที่นายท่านพูดแบบนี้เป็นเพราะเห็นว่านายว่ายน้ำเป็น ไม่ต้องให้เขาช่วย! พวกเราอย่าไปเปรียบเทียบกับความรู้ธรรมดาของยัยปีศาจนั่น! พวกเราต้องใจกว้างเหมือนฮองเฮา! ทำใจกว้างๆ หน่อย!”

 

 

สวี่อี้พูดโน้มน้าวไป พลันรู้สึกเหมือนจะมีตรงไหนไม่ถูกต้องนะ?

 

 

………………………………….

 

 

 

 

[1] พระสนมเปาซื่อ พระสนมของโจวโยวหวาง กษัตริย์องค์สุดท้ายของโจวตะวันตก เชื่อกันว่าโจวโยวหวางจุดไฟเตือนภัยให้เจ้าเมืองอื่นยกทัพมาช่วยเหลือเพื่อหยอกเย้านางสนมให้หัวเราะ เมื่อถึงคราวศัตรูยกทัพมาจริง จึงไม่มีเจ้าเมืองไหนยกทัพมาช่วยเหลือ ทำให้ราชวงศ์โจวตะวันตกล่มสลาย

 

 

[2] นางสนมต๋าจี่ พระสนมคนโปรดของโจ้วหวาง กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง เชื่อกันว่าตั้งแต่โจ้วหวางได้พระสนมมาก็ลุ่มหลงอยู่แต่กับนางจนไม่สนใจราชการบ้านเมือง