บทที่ 30 กระบวนท่าอสรพิษร่ายรำ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 30 กระบวนท่าอสรพิษร่ายรำ

หลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะเด็กสาวได้ขาดลอยในกระบวนท่าเดียว

บรรดาสาวกของเขาต่างพร้อมใจกันกู่ร้องออกมาด้วยความชื่นชมเสียงดังระงม “ช่างเยือกเย็นและเด็ดขาด แถมหล่อเหลาอะไรขนาดนี้ เขานี่มันเซียนกระบี่ของแท้เลยจริง ๆ ”

บรรดาเด็กหนุ่มที่ยืนจับกลุ่มอยู่ใกล้กัน ถึงกับพูดไม่อะไรไม่ออกอีกแล้ว

“ทำไมผู้หญิงเหล่านี้ถึงได้สนใจแต่หน้าตาของเจ้าหลินเป่ยเฉินกันนะ หัดดูพวกข้าเป็นตัวอย่างบ้างสิ พวกข้าน่ะชื่นชอบเพราะวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งของเขา มันน่าสนใจมากกว่าหน้าตานัก”

และเมื่อการประลองดำเนินต่อไป ในที่สุด ก็เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 4 คนเท่านั้น

ได้แก่ หลินเป่ยเฉิน อู๋เสี่ยวฟาง มู่ซินเยว่ และเยว่หงเซียง ทุกคนถูกขนานนามให้เป็นผู้มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งนี้

ใกล้ถึงการประลองรอบสุดท้ายเต็มที

การเลือกคู่ต่อสู้ในรอบนี้ ดึงดูดความสนใจได้จากคนทั้งชั้นปี

ในลานประลองหมายเลข 1 กระบอกใส่แผ่นไม้ขนาดเล็กตั้งอยู่บนโต๊ะที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ

หลินเป่ยเฉินและศิษย์ร่วมสถาบันอีก 3 คนก้าวเข้าไปยังลานประลองและจับแผ่นไม้ขึ้นมาคนละชิ้น

ในที่สุด ทุกคนก็มีแผ่นไม้อยู่ในมือ

หลินเป่ยเฉินก้มหน้าลงมองแผ่นไม้ในมือ และพบว่าเขาจับได้หมายเลข 4

ศิษย์ร่วมสถาบันอีก 3 คนต่างก็ถือแผ่นไม้ติดหมายเลขอยู่ในมือ

ผู้คุมสอบนั้นเดินมาตรวจสอบหมายเลขของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน และเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ก็ได้ประกาศชื่อคู่ต่อสู้ในรอบนี้ทันที “หมายเลข 1 อู๋เสี่ยวฟาง ประลองกับหมายเลข 4 หลินเป่ยเฉิน และหมายเลข 2 มู่ซินเยว่ ประลองกับหมายเลข 3 เยว่หงเซียง”

เสียงเชียร์กู่ก้องดังมาจากทุกทิศทุกทาง

หมายเลขบนแผ่นไม้นั้นดูเหมือนจะเป็นใจให้เกิดคู่ประลองยอดบุรุษเจอยอดบุรุษ และยอดสตรีพบยอดสตรีขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

ถึงแม้เยว่หงเซียงจากห้อง 8 จะไม่ได้มีชื่อเสียงในบรรดาศิษย์มากเท่ากับมู่ซินเยว่ แต่นางก็เป็นหนึ่งในเทพธิดาที่บรรดาศิษย์ต่างนับถือและชื่นชมในความนุ่มนวลและความเรียบร้อยสง่างามอย่างเรียบง่าย ในเวลาปกติแล้ว นางมักจะถ่อมตนอยู่เสมอ แต่ก็ยังมิวายจะมีผู้ชื่นชมอยู่ไม่ขาดสาย และอาจกล่าวได้ว่านางนั้นเหมาะสมจะเป็น 1 ใน 4 ผู้เข้ารอบอย่างปฏิเสธมิได้

การประลองระหว่างสองเทพธิดานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว

ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่หลินเป่ยเฉินนั้นทำได้ดีและกลายเป็นที่น่าจับตามองในการแข่งขันที่ผ่าน ๆ มา การประลองระหว่างเขาและอู๋เสี่ยวฟางก็น่าสนใจไปไม่น้อยกว่าการประลองของสองสตรีอีกคู่เลย

“การประลองคู่แรก อู๋เสี่ยวฟางและหลินเป่ยเฉิน กรุณาก้าวขึ้นมาบนเวทีประลอง” อาจารย์ติงซานฉือผู้คุมสอบในการประลองรอบนี้กล่าวขึ้น

สิ้นสุดคำพูดของอาจารย์ชรา บรรยากาศก็ดุเดือดขึ้นมาในทันใด

“เอาเลยพี่อู๋ จัดการเจ้าเศษขยะนั่นซะ”

“ท่านเทพบุตรหลิน ได้โปรดเป็นตำนานต่อไปนะ ข้าจะเริ่มสนับสนุนเจ้าตั้งแต่วันนี้เลย”

“พี่อู๋เสี่ยวฟาง เจ้าจะแพ้ให้กับคนพรรค์นี้ไม่ได้เป็นอันขาดเลยนะ”

อู๋เสี่ยวฟางก้าวขึ้นไปบนเวทีประลองทีละก้าว และเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านล่าง เขาก็อดจะสบถด่าในใจไม่ได้ “เจ้าพวกบ้านี่ พูดอะไรเพ้อเจ้ออยู่ได้ ข้าไม่มีวันแพ้อยู่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินเองก็ก้าวผ่านม่านพลังขึ้นไปบนเวทีประลองพร้อม ๆ กัน

ขณะนี้ คู่ต่อสู้ทั้งสองยืนประจันหน้าห่างกันเพียงไม่ถึงสามผิง

“ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงจนได้สินะ”

อู๋เสี่ยวฟางยิ้มเยาะขณะมองจ้องไปยังหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ต่อให้ข้าจะชอบยำเพื่อนร่วมห้องของเจ้าจนเละขนาดไหน แต่มันคงเทียบไม่ได้กับการได้จัดการเจ้าต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นหรอก คนไร้ค่าแบบเจ้านี่…พร้อมจะพ่ายแพ้ให้กับข้าหรือยังล่ะ”

หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวอย่างช้า ๆ

“ข้าก็จะถามอยู่พอดีเลย ว่าเจ้าพร้อมเจอกับฝันร้ายหรือยัง”

เขากระชับกระบี่ในมือแน่นขณะก้าวไปข้างหน้า

พลังลมปราณในร่างกายไหลเวียนเดือดพล่านจนรู้สึกได้

ผมดำขลับพลิ้วไหวต้องแสงอาทิตย์ ดูราวกับผมแต่ละเส้นนั้นเปล่งประกายออกมา

“โอ๊ย ช่างหล่อเหลาเสียนี่กระไร”

บรรดาศิษย์หญิงต่างอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม

คงยากจะปฏิเสธได้ว่า ถ้าวัดกันแค่ด้านรูปลักษณ์หน้าตาของศิษย์ในชั้นปีที่ 2 แห่งสถานศึกษากระบี่ที่สามนั้น คงไม่มีใครสามารถสู้หลินเป่ยเฉินได้ และอาจจะเรียกได้ว่าสามารถเอาชนะอู๋เสี่ยวฟางได้อย่างสบาย ๆ ด้วยซ้ำ

ก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น โดยที่ไม่ทันจะรู้ตัว กลุ่มผู้สนับสนุนของหลินเป่ยเฉินก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่ออู๋เสี่ยวฟางเห็นท่าทางวางมาดอย่างสง่างามของหลินเป่ยเฉินกอปรกับเสียงกรีดร้องโห่เชียร์ดังก้องด้านล่าง ในสายตาเขาก็สะท้อนความหม่นหมองออกมาแวบหนึ่ง

ก่อนจะค่อย ๆ ชักกระบี่ออกมาเช่นเดียวกัน

ประกายของคมกระบี่สะท้อนต้องกับแสงอาทิตย์ราวสายธารน้ำตก เล่นแสงระยิบระยับตามการเคลื่อนไหวที่สะท้อนกับดวงอาทิตย์

กระบี่ด้ามนี้มีชื่อว่า ‘กระบี่แสงจันทร์’

เป็นหนึ่งในศาสตราวุธโบราณ มีพลังกล้าแกร่ง สามารถตัดได้แม้แต่เหล็กกล้า

เด็กหนุ่มสกุลอู๋ตระเตรียมกระบี่ด้ามนี้มาเพื่อการประลองโดยเฉพาะ

ในการประลองก่อนหน้า เขาไม่เคยนำกระบี่ไพ่ตายด้ามนี้มาใช้เลย เพราะหวังจะให้มันได้ลงสนามในการประลองรอบสุดท้ายเท่านั้น

ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนของทั้งศิษย์และอาจารย์ อู๋เสี่ยวฟางสาบานกับตนเองว่าจะต้องเอาชนะหลินเป่ยเฉินด้วยกระบี่ด้ามนี้ และดึงบุตรชายขุนนางตกอับลงมาจากบัลลังก์ผู้กล้าและส่งกลับไปเป็นเจ้าแกะดำหัวเน่าตัวเดิมให้ได้

“ข้าควรจะแทงขาหรือแขนของเจ้าก่อนดีล่ะ”

อู๋เสี่ยวฟางก้าวเข้ามาใกล้ ไวขึ้นและไวขึ้น

และในที่สุด เขาก็วิ่งตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน

อู๋เสี่ยวฟางเปลี่ยนความเร็วในการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันเสียจนดูเหมือนกำลังโผบินให้ดูเสียอย่างนั้น

หลินเป่ยเฉินเองก็ตอบสนองด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน

ก่อนที่เขาจะตระเตรียมกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่สามพิฆาต “ตวัด!”

ร่างกายของเขานั้นผสานเข้ากับวิทยายุทธ์ที่ฝึกฝนอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

และเมื่อวิถีกระบี่ฟาดฟันแหวกอากาศไปนั้น ทั้งหลินเป่ยเฉินและอาวุธในมือเขาก็ดูราวกับกำลังเปล่งประกาย

“เจ้าต้องแพ้ให้กับข้า!” อู๋เสี่ยวฟางตะโกน

เขากำกระบี่ในมือแน่น

“ควับ”

และทันใดนั้นเอง เงาพร่าเลือนของกระบี่ก็เพิ่มขึ้นถึง 7 เงา จนแทบจะแยกไม่ออกว่าเงาใดนั้นเป็นเงากระบี่ของจริงกันแน่

ในขณะเดียวกัน เงากระบี่แสงจันทร์สั่นไหวไปมาราวกับการเคลื่อนไหวของอสรพิษสีเงิน แทบจะกลืนกินหลินเป่ยเฉินเข้าไปทั้งร่าง

อาจารย์ติงซานฉือถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้เห็นเช่นนั้น

นี่มันน่ากลัวเหลือเกิน

กระบวนท่าที่อู๋เสี่ยวฟางใช้ไม่ใช่วิชากระบี่สามพิฆาต

นี่เป็นวิชากระบี่ระดับสูงหรือที่เรียกว่าวิชากระบี่ 1 ดาว

อู๋เสี่ยวฟางนั้นฝึกฝนวิชากระบี่จนถึงระดับที่ 9 และฝึกฝนจนเหนือไปกว่าวิชากระบี่พื้นฐานแล้ว

ในแง่ของการฝึกวิทยายุทธ์ เมื่อวิชาใดได้รับดาวเป็นเครื่องหมาย นั้นหมายความว่าวิชานั้นเป็นวิชาที่เหนือกว่าทักษะกระบี่พื้นฐานอยู่หลายขุม

และมีดาวทั้งสิ้น 9 ระดับด้วยกัน

แล้วผลการต่อสู้ระหว่างวิชากระบี่ 1 ดาวกับวิชากระบี่พื้นฐานจะเป็นไงน่ะหรือ?

แน่นอนว่าวิชากระบี่ 1 ดาวต้องชนะอยู่แล้ว

อาจารย์ติงอดจะหวั่นใจไม่ได้

บนแท่นสังเกตการณ์ อาจารย์ฉู่ได้ลุกพรวดขึ้น

หากเป็นแต่ก่อน เขาคงจะพอใจมากหากได้เห็นอู๋เสี่ยวฟางใช้กระบวนท่าที่เหนือกว่ากระบวนท่าพื้นฐานเช่นนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดในตอนนี้ อาจารย์ฉู่นั้นกลับเอาแต่กลัวว่าหลินเป่ยเฉินนั้นจะไม่รอดจากอู๋เสี่ยวฟาง และอาจได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิตก็เป็นได้

“แกร๊ง!”

เสียงฟาดฟันกันของกระบี่สองเล่มดังขึ้นเป็นระยะ

และทันใดนั้น ส่วนหนึ่งของกระบี่ก็แตกหักออกเป็นสองเสี่ยงกระจายขึ้นสู่อากาศ

ลอยผ่านศีรษะคู่ต่อสู้ทั้งสองไป

คู่ประลองทั้งสองนั้นแยกห่างออกจากกันในทันที

และกระบวนท่าอสรพิษร่ายรำก็หายไป

หลินเป่ยเฉินมองลงไปยังด้ามกระบี่ในมือของตนด้วยดวงตาเบิกโต

กระบี่ของเขาหักเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

“แม่งเอ๊ย!”

“นี่มันกระบี่ของหวังจง”

“พึ่งพาไม่ได้เหมือนเจ้าของไม่มีผิด”

หลินเป่ยเฉินสบถด่าในใจ

และอู๋เสี่ยวฟางก็หัวเราะขึ้น

“โธ่ เจ้าเศษขยะ ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้เจ้ายังมั่นใจเสียนักหนาหรืออย่างไร ตอนนี้กระบี่ของเจ้าหักเหลือแค่ครึ่งเดียว แล้วแบบนี้จะเอาชนะข้าได้ยังไง”

แต่อันที่จริงแล้ว ในใจของอู๋เสี่ยวฟางเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

เขานั้นมีกระบี่แสงจันทร์อยู่ในมือ

อีกทั้งยังใช้วิชาอสรพิษร่ายรำ ที่นับเป็นเพลงกระบี่ระดับ 1 ดาว

ในฐานะของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ อู๋เสี่ยวฟางแทบจะใช้พลังทั้งหมดที่มี เพื่อจะจัดการหลินเป่ยเฉินให้อยู่หมัด แล้วเอาชนะท่ามกลางสายตาของผู้ชมที่เป็นพยานและกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมา

แต่ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็แค่หักกระบี่ของมันเนี่ยนะ

อีกทั้งในระหว่างการต่อสู้ หลินเป่ยเฉินเกือบทำกระบี่หลุดจากมือเขาหลายต่อหลายครั้ง

ทำไมเจ้าแกะดำมันถึงแข็งแกร่งขนาดนี้กันนะ

อู๋เสี่ยวฟางเริ่มประหวั่นในใจ

เขาเริ่มใช้กระบวนท่าอสรพิษร่ายรำอีกครั้ง

และเมื่อกระบี่แสงจันทร์พุ่งตรงไปยังหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

เพราะสัญชาตญาณของเขาบอกว่า ห้ามขยับเป็นอันขาด

เมื่อการต่อสู้มาถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากัน ผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าถือเป็นผู้ชนะ

กระบี่ครึ่งด้ามในมือของหลินเป่ยเฉินพุ่งแทงไปข้างหน้า

“ตวัด!”

และหลินเป่ยเฉินก็ใช้กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอีกครั้ง

“แกร๊ง!”

เสียงกังวานของคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้น

ประกายของบางสิ่งกระเด็นลอยขึ้นบนอากาศอีกครั้ง

และนั่นคือส่วนที่เหลือของกระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินนั่นเอง

“ฮะฮ่า ตอนนี้ก็เหลือเพียงด้ามจับเท่านั้นสินะ แล้วแบบนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองยังมีโอกาสชนะอีกงั้นหรือ”

อู๋เสี่ยวฟางหัวเราะเสียงดังลั่น

กระบี่ของหลินเป่ยเฉินแตกหักเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเพียงด้ามจับในมือ

และในตอนนี้…

“เวรเอ๊ย นี่เราต้องแพ้จริง ๆ เหรอเนี่ย”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

เขามีเพียงวิชากระบี่ที่ใช้ในการต่อสู้เท่านั้น

กระบี่ของเขาเป็นเสมือนคีย์บอร์ดสำหรับเกมเมอร์ ถ้าไม่มีมัน เขาจะแสดงพลังได้ยังไง

“โชคชะตาของเจ้าถูกกำหนดให้มาเป็นทาสของข้า เจ้าคนไร้ค่า” อู๋เสี่ยวฟางหัวเราะในลำคอ “นี่เจ้าอยากจะล้างแค้นให้คนในห้องเจ้างั้นสิ แต่เสียใจด้วย เพราะชะตากรรมของเจ้าน่ะ ต้องจบแย่กว่าพวกมันหลายร้อยเท่า”

และในตอนนั้นเอง

“พ่อหนุ่ม รับนี่ไป”

อาจารย์ติงซานฉือชักกระบี่ข้างเอวของตนเองออกมา และโยนไปให้หลินเป่ยเฉิน