บทที่ 57 รู้กาลเทศะ Ink Stone_Romance

รถม้าจอดอยู่หน้าวัดเสวียนเมี่ยว บ่าวชราและบ่าวหนุ่มที่บังคับรถม้ากระโดดลงมา หนึ่งในนั้นเข้าไปพยุง

ผู้เฒ่าในรถ ส่วนอีกคนก็ดึงตะกร้าไม้ไผ่ลงมาจากรถ

“ผู้เฒ่าที่ป่วยเป็นโรคหิวอาหารมาอีกแล้ว” เด็กน้อยหน้าประตูเห็นแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปตะโกนบอก

ผู้เฒ่าหัวเราะลั่น ลูบเคราแล้วก้าวเข้ามาในวัด

“อาหารว่างในวัดข้าหรือ” เจ้าอาวาสซุนที่ออกมาต้อนรับได้ยินแล้วก็มึนงง

วัดเสวียนเมี่ยวของนางมีของว่างที่ทำให้คนมาหาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

มีวัดวาอารามมากมายที่รับรองด้วยอาหารเจ ตอนแรกก็ประสงค์เพื่อให้ความสะดวกแก่แขกที่มากราบไหว้บูชา ต่อมากลายเป็นชื่อเสียงไปเสียอย่างนั้นโดยมิได้ตั้งใจ มีบางวัดที่อาหารเจมีชื่อเสียงเลื่องลือนัก แม้มีเงินทองก็ยากจะจับจองได้ ถึงขั้นกลายเป็นชื่อที่เรียกแทนวัดนั้นไป

วัดที่อาหารเจเลื่องชื่อนั้น เช่น วัดวั่นหนิงที่อยู่นอกเมือง ส่วนวัดที่มีขนมเจอันเลื่องชื่อนั้น เช่น วัดผู่ถัวเมืองฝูโจว

แต่นั่นล้วนเป็นวัดอารามใหญ่โตมีชื่อเสียง มีคนมากราบไหว้บูชามากมาย ส่วนอารามเล็กๆ ทั่วไปนั้น ขนาดจะหาอาหารกินเองยังลำบาก จะมีปัญญาทีไหนไปแจกจ่ายอาหารขนมให้คนนอกได้

“ท่านเซียนหญิงอย่าถ่อมตนไปเลย” ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ครั้งนี้ข้าไม่ได้มากินอาหารเปล่าๆ ข้านำวัตถุดิบมาเอง รบกวนท่านเซียนหญิงทั้งหลายลำบากปรุงอาหารให้ทีเพื่อรักษาโรคหิวอาหารของข้า ข้าจะขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างมาก”

เจ้าอาวาสซุนฟังแล้วรับคำนับขอโทษ

ส้มตุ๋นเนื้อปูอะไรนั่น อย่าได้พูดถึงอีกเลย นางไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ แล้วจะปรุงอาหารให้ได้อย่างไร หากสามารถทำอาหารมัดใจผู้มาบูชากราบไหว้ได้ นางเองก็อยากจะลงแรงทำให้อยู่หรอก แต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรนี่สิ

“ท่านอาจารย์ คราวก่อนอาหารนั่นพี่ปั้นฉินเป็นคนทำเจ้าค่ะ” เด็กน้อยกล่าว

เวลานี้เหล่าแม่ชีที่ทำวัดอยู่ก็พากันออกมา พอพวกนางเห็นผู้เฒ่าก็ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะอธิบายให้ฟังเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่พักหนึ่ง เจ้าอาวาสซุนและผู้เฒ่าผู้นั้นจึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ผู้มีพระคุณอาศัยอยู่ที่นี่หรือ” ผู้เฒ่าตกใจเป็นอย่างมาก เขาลุกยืนขึ้น “ขอท่านเซียนหญิงช่วยไปบอกกล่าวนางที ว่าข้าจะขอขอบคุณนางด้วยตัวเองได้หรือไม่”

ปั้นฉินที่กำลังคลุกแป้งอยู่ในครัวได้ยินแล้วก็ตกใจไม่น้อย

“ผู้เฒ่าคนไหน” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย “ขอบคุณข้าหรือ”

“ใช่ ท่านลืมแล้วหรือว่า เขาเป็นลมบนเขา แล้วท่านก็ให้ส้มเชื่อมกับเขา แล้วยังให้หยิกหูอีก” แม่ชีกล่าวแล้วมองสาวใช้ผู้นี้ด้วยความเคารพนับถือ

ช่างเป็นคนดีเสียจริง เรื่องช่วยคนกลับไม่ได้นำมาใส่ใจเลย

สาวใช้นึกได้ในทันใด

“อ้อ นั่นน่ะหรือ คนที่ควรขอบคุณมิใช่ข้าหรอก” นางยิ้มกล่าว “นายหญิงข้าต่างหาก”

คนบ้าคนนั่นหรือ

แม่ชีอึ้งไปสักพัก ในใจก็คิดไปอีกว่าสาวใช้ผู้นี้ช่างดีเสียจริง ให้เกียรตินายเป็นใหญ่

“ยังมีอีก ครั้งแล้วที่ท่านทำส้มเนื้อปูอะไรนั่น เขาก็กินเช่นกัน เขาชอบยิ่งนัก” แม่ชีเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วก็เอ่ยต่ออย่างดีใจพลางดันตะกร้าไม่ไผ่ที่อยู่ด้านหลังมาให้ “ท่านดูสิ เขาตั้งใจเอามาให้ท่าน บอกว่าคราวก่อนได้กินอาหารฝีมือท่าน จึงมาตอบแทน”

สาวใช้วางตะเกียบในมือลงแล้วมองดูตะกร้าไม้ไผ่ จึงเห็นว่าข้างในเป็นส้มกลมสีเหลืองเข้มและปูที่มัดไว้เสียแน่น แถมยังมีสาเกหนึ่งไห

“แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การตอบแทนท่านที่ช่วยชีวิต ผู้เฒ่านั้นไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำส้มเนื้อปู ฉะนั้นนี่เป็นเพียงแค่การตอบแทนของว่างเมื่อคราวก่อน ไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเมื่อครั้งก่อนก่อนหน้า” แม่ชีรีบกล่าวอีก

ครั้งก่อน แล้วเมื่อครั้งก่อนก่อนหน้านั้นใช่เจ้าเป็นคนทำหรือไม่ แสนมึนงงจนสาวใช้หัวเราะออกมา

“เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” นางกล่าว มองดูตะกร้าไม้ไผ่ด้วยท่าทางครุ่นคิด

นายหญิงอยากกินส้มเนื้อปู เสียดายที่วัตถุดิบที่นางไปซื้อจากตรงตีนเขานั้นไม่ดีนัก นายหญิงไม่ชอบจึงไม่กินต่อ

ภายหลังนายหญิงไม่ได้เตือน ตนก็ลืมไปซื้อใหม่เช่นกัน แต่ตอนนี้กลับมีคนเอาของมีส่งถึงที่…

“ท่านรอข้าสักครู่” สาวใช้กล่าว

แม่ชีไม่เข้าใจ มองดูสาวใช้ยกตะกร้าไม้ไผ่เดินเข้าห้องไป

อากาศบนเขาเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกวัน เพื่อป้องกันลมหนาว ม่านม้วนไม้ไผ่จึงถูกยกออกไปแล้วแทนที่ด้วยประตูกระดาษแบบผลักแทน

แม่ชีมองดูสาวใช้ผู้นั้นดึงประตูผลักออก หน้าฉากกั้นข้างในมีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งทำที่ราวกับดูหนังสืออยู่

คนบ้าก็อ่านหนังสือเป็นหรือ

เมื่อแม่ชีอยากจะดูอีกครั้ง แต่ประตูก็ปิดลงเสียแล้ว บดบังสายตาของนางจนมองไม่เห็น

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านดูสิเจ้าค่ะ จะรับไว้หรือไม่เจ้าคะ”

สาวใช้เล่าเรื่องราวความเป็นมาให้ฟังแล้วเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือลง นางพึมพำสักครู่ สายตาก็มองไปยังตะกร้าไม้ไผ่นั้น

“ข้าดูหน่อย ของเป็นอย่างไรบ้าง” นางกล่าว

สาวใช้รีบดันตะกร้าไม้ไผ่มา นำส้ม ปู และสาเก ออกมาจัดวางทีละอย่าง

เฉิงเจียวเหนียงหยิบขึ้นมาตรวจตราทีละอย่าง

“อันนี้ไม่เลว นี่ก็ไม่เลว” นางกล่าว นำส้มและปูที่ถูกใจวางไว้ข้างๆ สุดท้ายหยิบสาเกขึ้นมา ดมเล็กน้อย แล้วรีบกองไว้ข้างๆ

“สาเกนี้ทำนายหญิงสำลักหรือเจ้าคะ” สาวใช้ยืนตัวขึ้นพลางถามอย่างร้อนรน

“ไม่ใช่ เหม็นเกินไป” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “นี่ก็เรียกสาเกได้หรือ”

เมื่อดื่มน้ำในถ้วยหมดลง ผู้เฒ่าจึงยกกาสาเกขึ้นมาแล้วค่อยๆ รินใส่ถ้วย ก่อนจะค่อยๆ ยกขึ้นดื่มทีละนิดทีละนิดอย่างระมัดระวัง

“ท่านผู้เฒ่า” เด็กน้อยข้างๆ กระพริบตามองดูอย่างสงสัย “ยานี้ไม่อร่อยหรือ”

“ยาหรือ” ผู้เฒ่าจ้องตาโต

“แล้วท่านผู้เฒ่ากินอย่างระวังเช่นนี้…” เด็กน้อยกล่าว

ผู้เฒ่าหัวเราะดังลั่น

“เด็กน้อย นี่เป็นสาเกรสเลิศ ข้าเสียดายน่ะ” เขายิ้มกล่าว

“ท่านผู้เฒ่า แล้วท่านให้นางไปมากมายขนาดนั้น สาเกซานเล่อเจียงที่เอามาจากบ้านก็เหลือเพียงเท่านี้แล้ว” บ่าวคนหนุ่มที่อยู่ข้างๆ พูดบ่นด้วยความเสียดาย “ทำส้มเนื้อปูยังต้องใช้สาเกด้วยหรือ”

“เด็กโง่ ต้องใช้สาเกสิ ข้ากินก็รู้แล้ว” ผู้เฒ่ากล่าว “อาหารรสเลิศก็ต้องคู่กับสาเกรสเลิศ ขาดไปอย่างหนึ่ง มีเพียงสาเกอย่างเดียวก็ไม่อร่อยหรอก”

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แม่ชีก็แบกตะกร้าไม้ไผ่กลับมาอย่างรีบร้อน

“ไม่อยู่หรือ” เด็กน้อยรีบเอ่ยถาม

“อยู่” แม่ชีกล่าวพลางพยักหน้า

อยู่หรือ แล้วเหตุใดจึงไม่ออกมาพบเล่า

“พี่ปั้นฉินบอกว่าท่านผู้เฒ่าเกรงใจเกินไป นางกำลังล้างมือปรุงเนื้อปูไข่ให้เป็นการตอบแทน รอทำเสร็จแล้วจะยกมาให้ท่านผู้เฒ่าด้วยตนเอง” แม่ชีกล่าว

ผู้เฒ่าดีใจใหญ่ ปรบมือด้วยความปิติ

“เพียงแต่มีเรื่องหนึ่ง” แม่ชีกล่าวแล้วยื่นตะกร้าไม้ไผ่มาให้ “สาเกไม่ดี ต้องเปลี่ยนเป็นสาเกหมักใหม่ รสชาติจึงจะเข้าเนื้อ”

“สาเกไม่ดีหรือ” ผู้เฒ่าอึ้งงันไปสักครู่

“อะไรกัน สาเกของเรานี่ดีที่สุดแล้ว หากนี่ยังไม่ดีอีก บนโลกนี้ก็ไม่มีสาเกใดดีอีกแล้ว” บ่าวคนหนุ่มรีบกล่าวสีหน้าไม่พอใจ

แม่ชีถูกตะคอกใส่จนหวาดกลัว

“ข้า…ข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เช่นกัน” นางรีบกล่าว “ปั้นฉินเป็นคนบอก บอกว่าสาเกนี้ไม่ดี ต้องใช้สาเกที่หมักใหม่ รสชาติจึงจะเข้าเนื้อ”

หมายถึงอาหารชนิดนี้ต้องใช้สาเกหมักใหม่ ไม่ใช่ว่าสาเกนี้ไม่ดี แต่ว่าไม่ดีสำหรับอาหารจานนี้กระมัง

ผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างโล่งใจ

พิถีพิถันเพียงนี้ แสดงว่าอาหารต้องดีเลิศเป็นแน่ ช่างเป็นคนที่สามารถทำอาหารรสเลิศออกมาได้จริงๆ

“ได้ ได้ ได้” ผู้เฒ่ากล่าว แล้วเร่งเร้าบ่าวหนุ่ม “รีบไปซื้อสาเกมาหมักใหม่”

ไอน้ำลอยฟุ้ง สาวใช้จัดวางเนื้อปูส้มหมักที่เพิ่งออกจากเตาไว้ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียงอย่างระมัดระวัง

“นายหญิงเจ้าคะ ลองชิมดูว่าครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง” สาวใช้กล่าวด้วยความดีใจ

เฉิงเจียวเหนียงหยิบตะเกียบขึ้น คีบมาเล็กน้อย จิ้มเกลือน้ำส้มสายชูกินไปคำหนึ่ง

“สาเกนี้ ก็แค่มีรสใหม่เท่านั้น” นางกล่าว ส่ายหน้า แล้ววางตะเกียบลง

ยังไม่ได้อีกหรือ สาวใช้ผิดหวังเล็กน้อย

“สาเกของหมู่บ้านในเขานี้รสชาติแย่ไปหน่อย ข้าจะไปซื้อสาเกดีๆ จากในเมืองนะเจ้าคะ” นางกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วส่ายหน้า ยื่นมือชี้ไปข้างนอก

“ข้าคิดว่า สาเกที่ดีที่สุด ก็ได้เท่านี้ล่ะ” นางกล่าว

“ท่านผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ ดูแล้วก็ธรรมดานี่เจ้าคะ สาเกที่เอามาเป็นสาเกที่ดีที่สุดหรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามอย่างสงสัย

“คนเราต้องไร้กังวลเสียก่อน แล้วจึงจะเลือกกินอาหารชั้นดีได้ เพื่ออาหารเพียงจานเดียว ถึงขั้นคัดสรรเลือกวัตถุดิบอย่างดีมาให้ด้วยตนเองเช่นนี้ คนธรรมดาจะทำได้หรือ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้ร้อง ‘อ้อ’ แล้วพยักหน้า

นั่นสิ นึกถึงตนเองเมื่อก่อนแย่งข้าวในครัวได้ถ้วยหนึ่งก็เป็นเรื่องน่าดีใจมากแล้ว เคยคิดว่าอันนี้อร่อยอันนั้นไม่อร่อย พอได้มาติดตามนายหญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางได้เรียนรู้แล้วว่าอาหารการกินนั้นมีหลากหลายวิธีมากถึงเพียงนี้

“เช่นนั้นนายหญิง ก็เป็นคนไร้กังวลสิเจ้าคะ” นางยิ้มกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงสีหน้าเรียบเฉย พิงพนักมองออกไปนอกประตูแต่ไม่ได้พูดอะไร

นางเคยคิดว่าเพราะเป็นคนสูงศักดิ์หรูหราฟุ่มเฟือยเท่านั้น มิเช่นนั้นเหตุใดถึงเลือกกินได้เพียงนี้ แต่ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะนายหญิงเป็นคนไร้กังวล

ความทรงจำในอดีตอันแสนเลือนลาง คล้ายกับว่าเห็นเงาคนตะคุ่มกำลังล้มลุกคลุกคลาน นางอยากจะเข้าไปใกล้เพื่อมองให้ชัด แต่ตาทั้งสองข้างกลับปวดแสบ หัวใจก็เจ็บปวดรวดร้าว

นางรู้แล้วว่าตนเองไม่ใช่เฉิงเจียวเหนียง นางคือใคร แล้วเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

เฉิงเจียวเหนียงหลับตาลง

“เจ้า ไปพบผู้เฒ่าผู้นั้นเถิด เขาเป็นคนสง่างามคนหนึ่งเลยทีเดียว ขอให้มีความสุขกัน” นางกล่าว

สาวใช้คิดไม่ถึงเลยว่าในน้ำเสียงเรียบเฉยของนายหญิงนั้นคล้ายว่าจะความโดดเดี่ยวแฝงอยู่ นางไม่กล้าถามอีก จึงขานรับไป

……………………………………………………………