บทที่ 58 ไม่งาม Ink Stone_Romance

“ปั้นฉิน”

สาวใช้หน้ายาวคิ้วเรียวนางหนึ่งอมยิ้มแล้วเข้ามายืนขวางไว้

ปั้นฉินหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

“ข้าเอง” สาวใช้พูดขึ้น นางไม่ให้โอกาสปั้นฉินได้พูดอะไร ก่อนจะคว้าถาดน้ำชาในมือปั้นฉินมา

ปั้นฉินยืนเหม่อลอย มองดูสาวใช้ผู้นั้นก้าวเข้าไปในห้องท่านชายโจวหก

ทุกวันนี้ท่านชายไม่อนุญาตให้ปั้นฉินเข้าห้องของตนอีก

“เดิมทีก็เพราะแหกกฎให้ท้ายนางจน…”

“ไม่มีใครว่านาง นางเองเลยแสร้งทำเป็นไม่รู้”

เสียงซุบซิบนินทาของเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงทางเดินลอยเข้ามาในหู ปั้นฉินรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก อยากจะไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน อยากจะอยู่ อยู่ก็…

“ข้าไม่ใช่หญิงสาวสักหน่อย จะดื่มชาก็ดื่มชา ทำขนมของว่างพวกนี้ให้ข้าทำไม! โยนทิ้งไป!”

เสียงตะคอกของท่านชายโจวหกลอยมาจากในห้อง ตามด้วยเสียงจานชามที่แตกกระจาย

ปั้นฉินน้ำตาไหลพราก นางไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ปั้นฉินหันหลังกลับเดินร่างโอนเอนไปมา

ไปหรือ ไปแห่งใด มีที่ไหนไปได้

“ถ้าเจ้าโมโหตัวเจ้าเอง ก็ไปหาพี่ชายทั้งหลายของเจ้าตีกันสักตั้งยังจะดีกว่า” ท่านชายฉินกล่าว เอนหลังพิงพนักพร้อมก้มหน้าเปิดดูสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่ง

“ข้าจะโมโหตัวเองไปทำไม” ท่านชายโจวหกเอ่ยด้วยเสียงขุ่นเคือง

ท่านชายฉินไม่ได้พูดอะไร แต่หัวเราะขึ้นมาทันใด

“เจ้าหัวเราะอะไร!” ท่านชายโจวหกจ้องเขม็งก่อนจะตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์

ท่านชายฉินทำเป็นไม่สนใจว่าเขาโมโห แถมยังยื่นมือมาไล่ชี้บรรทัดบนสมุด

“วันนี้หญิงหน้าบ้านคุยว่าแม่ย่าลูกสะใภ้ขัดแย้งกัน นายหญิงบอกว่านำวงกลมมาให้เราได้” เขาอ่านพลางหัวเราะ “น่าสนใจดี เขียนคำว่าเงินไม่เป็น เลยใช้วงกลมแทน”

“น่าสนใจอะไรเล่า แปลกพิลึกนัก” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างหงุดหงิด ก่อนจะนั่งลงแล้วยกชาคั่วดื่มหมดในทีเดียว

“ชายหกเอ๋ย” ท่านชายฉินมองดูเขาแล้วอมยิ้มกล่าว “หากเจ้าดูสมุดนี่แต่แรก ก็คงจะไม่ก่อเรื่องแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่านชายโจวหกก็กระวนกระวาย

“ข้าก่อเรื่องอะไรเล่า คนหนุ่มวัยฉกรรจ์เช่นข้าย่อมสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่แล้ว ข้าชอบใจสาวใช้ผู้นี้แล้วพากลับมาด้วย แล้วจะทำไมเล่า ก็แค่แย่งคนที่นางรักเท่านั้น รอให้นางมาแล้วข้าจะไปขอโทษนางเอง” เขากล่าว “หากท่านพ่อท่านแม่ว่ากล่าวตีข้าสักที ข้าก็จะคืนสาวใช้นั่นให้นาง แล้วจะให้สาวใช้นางไปอีกเจ็ดแปดคนก็ได้”

ท่านชายฉินหัวเราะ

พอได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ท่านชายโจวหกจึงตามปั้นฉินและเฉินเซ่าไปนั้นไปเรือนด้วยตนเอง เห็นว่าผู้เฒ่าเฉินฟื้นขึ้นมาจำปั้นฉินได้จริงๆ แต่ละคำพูดก็ไม่มีผิดเพี้ยน ท่านชายโจวหกเลยจะไปเจียงโจวรับเฉิงเจียวเหนียงมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ถูกท่านชายฉินห้ามเอาไว้

“เจ้าไปตอนนี้ไม่ได้” ท่านชายฉินกล่าว “เจ้าทำให้นางโกรธไปครั้งหนึ่งแล้ว หากไปอีก คงถูกปฏิเสธกลับมาเป็นแน่ ตอนนี้บ้านตระกูลเฉินรอพวกเจ้าหาเรื่องกันไปมาเช่นนี้ไม่ไหว แก้ไขปัญหาร้อนใจของตระกูลเฉินให้ได้ก่อนนี่สิสำคัญ ไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นเรื่องภายในของคนในบ้านพวกเจ้า หากแพร่ออกไปให้คนนอกรับรู้ เกรงว่าจะไม่งาม”

คำพูดนี้ทำเอาท่านชายหกและคนอื่นๆ พ่นลมออกทางจมูกแสดงอาการเหยียดหยาม

“มีอะไรไม่งามเล่า ก็แค่สาวใช้คนหนึ่ง นางจะทำอย่างไรได้ อีกอย่างนางก็แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น จะไม่งามได้อย่างไร”

ท่านชายฉินส่ายหน้า

“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่านางจะทำอย่างไรได้ ข้าแค่รู้ว่าบ้านพวกเจ้าตระกูลโจวจะต้องอยู่ในหน้าซ้ายของสมุดแน่แล้ว” เขาเอ่ยพลางยื่นมือมาเคาะสมุด

หน้าขวา บันทึกบุญคุณ หน้าซ้าย บันทึกประสงค์ร้าย

“พวกข้าทำอะไรเล่า” ท่านชายโจวหกยิ้มเหยียด “ก็แค่เอาสาวใช้ไปคนหนึ่งเท่านั้น เป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา ประสงค์ร้าย ศัตรูอย่างนั้นหรือ!”

ท่านชายฉินมองดูเขา

“กิ่งก้านแขนขาที่ตนตัดแต่งออกมาทีละนิด จู่ๆ ก็มีคนแย่งไป” เขาเอ่ยพลางแล้วมองดูสมุดตรงหน้า “หากเป็นเจ้า ความแค้นที่ถูกหักแขน เจ้าจะชังหรือไม่”

เขากล่าวพลางยื่นมือมาจับไม้เท้าของตนไว้แล้วลูบไล้เบาๆ

ในสมุดบันทึกเอาไว้ว่าสาวน้อยนั้นโรคภัยรุมเร้า จากเดินไม่ได้จนกระทั่งเริ่มเดินช้าๆ ได้สองสามก้าว จากนอนไม่ได้สติกระทั่งค่อยๆ ได้สติขึ้นมา จากพูดยิ้มไม่ได้ กระทั่งพูดได้ทีละคำจนกลายเป็นประโยค ลำบากเพียงใดเห็นได้ชัดเจน

ต้องกินยา ต้องหาเงิน ต้องพูด ต้องเดิน ต้องหลบภัย วางแผนแยบยล สั่งสอนทีละก้าว แนะนำอย่างตั้งใจ

เขานึกขึ้นได้ว่าท่านชายโจวหกเคยบรรยายว่าเห็นปั้นฉินพูดจาฉะฉานต่อหน้าคนตระกูลเฉิงอย่างไรบ้าง เวลานี้เห็นเพียงหญิงสาวที่พูดจาท่าทางเงอะงะอีกทั้งยังถูกเรียกว่าคนบ้า

คนบ้าหรือ

ท่านชายฉินยิ้มอย่างขมขื่น

“นางหน้าตาเป็นอย่างไร” เขาเอ่ยถามขึ้นกระทันหัน

“ข้าจะจำได้อย่างไร นางมาแล้วเจ้าเจอก็จะรู้” ท่านชายโจวหกกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฟังคำเจ้าแล้วนะ บ้านข้าให้พ่อบ้านไปเชิญพร้อมคนตระกูลเฉินแค่คนเดียว ทีนี้คงจะไม่หักหน้าบ้านตระกูลโจวไม่ยอมมาอีกล่ะ”

หน้าตาของหญิงสาวผู้นั้นลอยขึ้นมาตรงหน้า คนสติไม่สมประกอบที่เคยมองผ่านๆ เวลานี้จะดูอย่างไรก็เป็นการเยาะเย้ย

ตอนนั้นนึกว่าตนเองฉลาดมากที่พาสาวใช้นั้นมา ในสายตานางตนคงจะเหมือนคนบ้ากระมัง

เขายกน้ำชาขึ้นดื่มอึกใหญ่เพื่อจะคลายความหงุดหงิดนี้ลงไป

ท่านชายฉินมองดูเขาดื่มชา

“ที่แท้นางนี่เองที่บอกว่าชาไม่อร่อย” เขากล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย

ท่านชายโจวหกสำลักน้ำชา

ชานี้ก็ดื่มไม่ลงแล้ว!

ผู้เฒ่ารับน้ำชามาจากบ่าวคนหนุ่มแล้วดื่มหมดถ้วย บ่าวชรายื่นผ้ามาให้

ผู้เฒ่าเช็ดหน้าผากเบาๆ มองดูวัดเต๋าตรงหน้า

“เอาล่ะ ไปพักกันได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น พอเห็นว่าบ่าวหนุ่มจะเทน้ำชาอีกจึงรีบห้ามไว้ “ไม่ต้องเทแล้ว เหลือไว้กินกับขนม”

ทั้งสามคนเดินเข้าประตูเรือนมุ่งหน้าตรงเข้าสู่วิหารใหญ่ ถึงแม้จะไม่นับถือเต๋า แต่ผู้เฒ่าก็บริจาคปัจจัยให้

เด็กน้อยนำทางพวกเขาไปนั่งในวิหารด้านข้างด้วยความดีใจ

“วันนี้ข้าได้ปลาสดมา มอบให้นายหญิงปั้นฉิน” ผู้เฒ่ายิ้มกล่าวแล้วส่งสัญญาณให้บ่าวหนุ่ม

บ่าวหนุ่มยื่นตะกร้าไม้ไผ่ให้

“แล้วยังมีข้าวอีก” เขากล่าว

“โยมจะกินข้าวที่นี่หรือ” เด็กน้อยยิ้มกล่าว

“ก็วัดเสวียนเมี่ยวของพวกท่านนั้นร่มรื่นยิ่งนัก” ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ตอนเช้าไปเดินบนเขาจนเหงื่อออกทั่วตัว หากกลับไปเช่นนั้นคงรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง แต่ถ้าถ้าปีนเขาเสร็จแล้วได้มาชะล้างจิตวิญญาณที่นี่ กินอาหารเจสักชาม คงจะสดชื่นเบิกบานอย่างมหัศจรรย์ ”

“อู๋เลี่ยงเทียนจุน” เจ้าอาวาสซุนอมยิ้มกล่าว พร้อมเดินออกมาคำนับจากข้างๆ

ผู้เฒ่าคำนับกลับ

“มีคำพูดนี้ของโยม วัดเสวียนเมี่ยวเราก็ศักดิ์สิทธิ์แล้ว” เจ้าอาวาสซุนยิ้มกล่าว

ไม่นานเด็กน้อยก็เข้ามาพร้อมขนมในมือ

“พี่ปั้นฉินกำลังนึ่งปลา ให้ท่านดื่มชาไปก่อน” นางกล่าว

ผู้เฒ่าเฝ้ารอสิ่งนี้อยู่เลยทีเดียว เขาให้บ่าวคนหนุ่มเทน้ำชาให้อย่างดีใจ ก้อนจะหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

“อืม ครั้งนี้เป็นลูกท้อ” เขายิ้มกล่าวแล้วชี้ขนมชิ้นยาวในจาน

“พี่ปั้นฉินบอกว่า เนื้อลูกท้อจากตีนเขารสชาติไม่ดีนัก นายหญิงไม่ชอบ จึงนำมาคลุกน้ำตาลแทน” เด็กน้อยกล่าว

“ขอเพียงใส่ใจ สรรพสิ่งล้วนสวยงามได้” ผู้เฒ่ามองดูท้อที่บิออกมาในมือ ก่อนถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “สิ่งที่ยากที่สุดในโลกนี้ก็คือความใส่ใจ”

ผลไม้เชื่อมยังเรียกได้หลายแบบหรือ

“โรคหิวอาหารก็เป็นโรคเช่นกันจริงๆ” เด็กน้อยเกาะไหล่ศิษย์พี่พลางเอ่ยกระซิบ

ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าลอยเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมฟุ้งของอาหาร

สาวใช้สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย หน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ก้าวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อเห็นสาวใช้ผู้นี้ คนในห้องก็เผยรอยยิ้มออกมา ต้อนรับด้วยความยินดีจากใจจริง

เด็กน้อยรีบรับกล่องอาหารในมือนางมา เจ้าอาวาสซุนเอียงตัวหลีกทางให้

“ขออภัยที่ให้ท่านผู้เฒ่าคอยนาน” สาวใช้กล่าวพลางคำนับ

เมื่อเห็นนางมาถึง ผู้เฒ่าก็อมยิ้มแล้วลุกขึ้น

“มิกล้า มิกล้า รบกวนนายหญิงน้อยแล้ว” เขายิ้มกล่าว

บ่าวหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นหอมนั้น พลางนึกถึงว่านายท่านของตนมีท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้กับคนไม่มากนัก มีคนตระกูลสูงศักดิ์ขุนนางน้อยใหญ่มากมายมาปรนนิบัติ ท่านก็มีท่าทีไม่สนใจใยดี ไม่คิดว่าจะลุกขึ้นต้อนรับสาวใช้บ้านๆ ผู้นี้ ช่างเห็นแก่กินจนเสียอุดมการณ์เสียจริง

……………………………………………………………..